Mushroom Travel

ตะลุย ยุโรป 33 ประเทศ กรีซ-อิตาลี-วาติกัน

หลังจากอุ่นเครื่องที่โอมาน อียิปต์ และตุรกี ตอนนี้ได้เวลาเข้าสู่ ยุโรป จริงๆ แล้วค่ะ

ที่สนามบินอิสตันบูลตอนเย็นแม้เวลาจะ 19.30 น. ก็ยังเห็นแสงอาทิตย์อยู่ เริ่มใกล้ยุโรปเข้าไปทุกทีแล้ว ที่ไคโรก็สว่างตั้งแต่ตอนตี 5 ที่อิสตันบูลก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมืด ตามกำหนดเราจะออกจากสนามบินเวลา 19.15 น. แต่กว่าจะออกได้ก็ผ่าน 19.30 น. เรายังคงใช้บริการสายการบินเทอร์กิชแอร์ไลน์ อีกครั้งหนึ่ง เวลาบินไม่ถึง 2 ชั่วโมงแต่ก็มีของว่างให้รองท้องขณะบิน เราถึงสนามบินเอเธนส์ในเวลา 21.30 น. ของวันเดียวกัน

เมื่อเข้าสู่สนามบินเราพยายามหาข้อมูลวิธีการเดินทางไปที่พักชื่อโรงแรม Attica Beach Hotel แบบไม่ต้องใช้บริการแท็กซี่ แต่ในเวลานั้นไม่มีบริการรถสาธารณะ เราจึงไปเข้าคิวรอแท็กซี่ พอรถจอดเราส่งชื่อโรงแรมและที่อยู่ให้คนขับแท็กซี่ดู เขาบอกว่าเขาพาเราไปได้แน่ แล้วก็คุยน้ำไหลไฟดับตามประสาคนช่างคุยจนกระทั่งเขาเอะใจ เขาจึงจอดรถขอโทรเช็คโรงแรมจึงรู้ว่าไปผิดทาง เพราะชื่อ แอ็ตติกา คื ชายหาดรอบบ่วง โรงแรมของเราอยู่อีกด้านหนึ่งของบ่วง โชคดีที่เขาโทรหาโรงแรมทำให้ทางโรงแรมรู้ว่าเราจะเข้าพักแน่นอน

ตอนนั้น Costat เขาคุยสนุกมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศเป็นอย่างดี แล้วเขาก็เล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังโดยสรุปคือ รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ลูกชายคนโตอายุ 18 ปีต้องไปเกณฑ์ทหารยังไม่มีรายได้ ลูกชายคนเล็กกับภรรยาคนใหม่อายุ 10 ขวบเขาก็ต้องส่งเสียแต่ไม่ได้พบกันมา 2 ปีแล้ว เพราะภรรยาคนใหม่พาไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่ซึ่งเป็นเพื่อนของเขาเอง…..เรานับถือน้ำใจเขาตรงที่ว่าเขาตัดสินใจกดมิเตอร์ใหม่เมื่อเขารู้ตัวว่าเขาผิดที่พาเราไปหลงทาง แต่เขาก็บวก 5 ยูโรจากมิเตอร์ใหม่เป็นค่าโทรศัพท์กับภาษี สรุปว่าคืนนั้นเราจ่ายค่าแท็กซี่ 25 ยูโร เขาบอกว่าวันพรุ่งนี้เขาว่างและยินดีให้บริการ ขอให้โทรบอกเขาหลังตี 3 ตอนที่เขาไปส่งภรรยาคนแรกที่ทำงานสนามบินที่ไปรับเรา……

กว่าเราจะถึงโรงแรมเวลาที่เมืองไทยก็ตี 2 แล้ว แต่โรงแรมก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ด้านหลังเป็นทะเลที่เจ้าของถมทำเป็นสนามกีฬา ที่จอดเรือยอร์ชและทำกำแพงกันน้ำเซาะ ทำให้เป็นทั้งที่นั่งทอดอารมณ์และลงเล่นน้ำทะเลได้ น้ำใสจนเห็นพื้นทรายและสัตว์ทะเล บรรยากาศรื่นรมย์มากๆ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2558 หลังอาหารเช้าเรานั่งรถบัสเข้าเมืองค่าโดยสารคนละ 2.9 ยูโร รถวิ่งเลียบทะเลผ่านหมู่บ้านที่เป็นเมืองไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่ดอกยี่โถสีขาว แดง ชมพู ส้ม สวยงามทั้งเมืองแต่ไม่มีร่องรอยของกรีกโบราณให้เห็นเลยจนกระทั่งถึงตัวเมือง ผู้คนในเมืองนี้คนสวยหรือหล่อก็พอจะมีให้เห็นอยู่บ้าง

เราถามหาสถานีรถใต้ดินและวิธีการที่จะไปวิหารพาร์เธนอน เดินไปถามไปหลายคนกว่าจะเจอคนพูดภาษาอังกฤษและสามารถให้ข้อมูลได้ก็เดินหลายถนน แต่ในขณะที่เดินไปตามเส้นทางที่เพิ่งได้ข้อมูลมาก็เจอรถทัวร์รอบเมืองแล่นอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน เรารีบวิ่งไปที่ทางม้าลาย ข้ามถนน โบกมือและตะโกน เราคิดว่า เขาจอดเพราะเราเรียก แต่ปรากฏว่ามันเป็นจุดจอดรถพอดี เราซื้อตั๋วพาส 1 วันนั่งรถชมเมืองในราคาคนละ 22 ยูโร แบ่งเป็น 2 สาย สายสีแดงชมโบราณสถานในเมืองทุกซอกทุกซอย ส่วนสีเขียวพาเลียบชายหาด วนรอบบ่วง ผ่านความสวยงามของทะเล และท่าเรือ

บนถนนที่ขึ้นที่สูงแล้วลงที่ต่ำสลับกับทางโค้งและทางตรง ริมทะเลส่วนใหญ่เป็นโขดหิน บริเวณที่เป็นหาดแคบๆ แม้ทรายจะเต็มไปด้วยหินเกร็ดคมๆ ก็ยังมีคนลงเล่นน้ำเพราะเป็นทะเลหน้าร้อน น้ำไม่เย็น ส่วนชายหาดที่มีทรายนุ่มๆ รองรับการย่ำเหมือนในเมืองไทยไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน รถทั้ง 2 สายมีต้นทางอยู่บนเขาซึ่งอยู่ด้านล่างของอะโครโพลิส มีรถม้า แท็กซี่ และรถรับจ้างอื่นๆ รอให้บริการอยู่แล้ว แต่ถ้าใครต้องการปลดทุกข์ ที่นั่นมีห้องปลดทุกข์แต่ไม่มีน้ำหรือกระดาษชำระ มันเป็นแค่ห้องที่ลับตาคน

พอจบรายการทัวร์รอบเมืองเราก็หาซื้ออาหารไปรองท้องที่ตลาดซินตักม่า ในเมืองโบราณที่มีร้านอาหารและของที่ระลึกละลานตา เดินขึ้นเนินลงเนินพร้อมเป้ติดหลังจนขาไม่มีแรง ในที่สุดก็ได้ขนมติดมือไปสนามบินจนได้ เผื่อว่าบนเครื่องซึ่งมีเวลาบินแค่ 2 ชั่วโมงกว่าเล็กน้อยไม่มีอาหารให้จะได้ไม่หิวตอนดึก จากตัวเมืองเอเธนส์เรานั่งรถใต้ดินไปสนามบินโดยใช้เวลาไม่นานนัก เราเดินทางโดยสายการบินอะลิตาเลียสู่สนามบินโรม FCO ออกจากเอเธนส์ 19.15 น.ในขณะที่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงจ้า ถึงสนามบิน Roma FCO ในเวลา 20.35 น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งตามหลังไทยอยู่ 5 ชม.

ขณะนั้นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พอไปถึงสนามบินเราก็หาข้อมูลไปโรงแรมที่จองไว้ จึงรู้ว่าโรงแรมกับสนามบินอยู่คนละทิศกัน สนามบินที่โรมมี 2 แห่งเราไปผิดที่ รถชัตเติลก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแค่ไปส่งคนที่โรงแรมฮิลตันซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสนามบิน แล้วก็ดูเหมือนว่าโรงแรมจะเป็นเจ้าของรถเพราะพอรถไปจอดที่นั่นคนขับก็แวะเข้าไปที่เคาน์เตอร์และพูดคุยกับพนักงานต้อนรับอย่างคนคุ้นเคย เราจึงต้องนั่งชัตเติลบัสกลับไปสนามบิน โชคยังดีที่เวลานั้นยังมีรถด่วนซึ่งมีสถานีอยู่ตรงกันข้ามกับสนามบิน เราตัดสินใจนั่งรถด่วนไปที่สถานีโรมาเทอร์มินิโดยยังไม่ใช้สิทธิ์ตั๋วอียูเรลพาส

ที่สถานีเราสอบถามตำรวจถึงวิธีการที่จะไปให้ถึงโรงแรมที่จองไว้ในคืนนั้น คำตอบคือต้องนั่งแท็กซี่ไปในราคาที่ไม่ต่ำกว่า 50 ยูโรในขณะที่เราจองโรงแรมไว้ในราคา 50 ยูโร ถ้านั่งแท็กซี่อีกไม่ต่ำกว่า 50 ยูโร คงไม่คุ้มแน่ๆ เราจึงตัดสินใจสละเงิน 50 ยูโรที่ถูกหักไปแล้วหาโรงแรมแถวๆ สถานีรถไฟ อยู่แถวนั้นไม่ได้แน่นอกจากสถานีจะปิดแล้วยังมีพวกคนไร้บ้านเต็มไปหมด ทุกที่มีกลิ่นปัสสาวะคละคลุ้ง แถวนั้นไม่มีบริการห้องน้ำฟรี

มีสาววัยรุ่นคนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางตามหาโรงแรมแบบเราและไม่ยอมเสียค่าแท็กซี่เหมือนกัน เราชวนเธอไปหาที่พักด้วยกัน เธอปฏิเสธแล้วบอกว่าจะหา wifi แถวๆ นั้นแล้วติดต่อโรงแรมที่จองไว้ เรานับถือเธอจริง ๆ สาวสวยตัวคนเดียวในต่างแดนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เราเดินวนอยู่หลายที่ในที่สุดก็เจอแขกผิวคล้ำคนหนึ่งชวนเราไปพักที่ที่เขาทำงานอยู่ ลุงไม่ค่อยจะพอใจนัก สำหรับลุงแล้วต้องราคาถูกไว้ก่อน ป้าเดินตามเขาเข้าไปในช่องทางเดินซึ่งเป็นโพรงหินมีโรงแรมเล็กๆ เต็มไปหมด เขาพาขึ้นไปชั้น 2 กดกริ่งแล้วส่งเสียงเข้าไป ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออกมีสตรีสูงวัยสวมชุดนอนเดินมาที่ประตู ทักทายเป็นภาษาอิตาเลี่ยน แต่ป้าทักเป็นภาษาอังกฤษ เธอสื่อสารเรื่องราคาได้ ป้าต่อรองราคาได้คืนละ 50 ยูโร แล้วลงไปบอกลุงลุงดุว่าอยู่ดีๆ ตามเขาขึ้นไปไม่รู้จักกลัว….แล้วคืนนั้นก็ผ่านไป ถึงจะไม่หรูแต่ก็ไม่เลว มี wifi ให้ใช้ด้วย เมื่อถามถึงอาหารเช้าคุณป้าบอกให้ไปนอนก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยรู้

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2558 กว่าจะหาคุณป้าเจอก็เดินเข้าออกโรงแรมอีก 2-3 ชื่อจนไม่รู้ว่าในอุโมงค์หินนั่นมีโรงแรมกี่โรงแรม เพราะแต่ละโรงแรมไม่มีเคาน์เตอร์บ่งบอกว่าเป็นโรงแรม คนที่จะเข้าพักต้องใช้วิธีโทรศัพท์ ที่นั่นเขาทำธุรกิจโรงแรมแบบไม่เปิดเผย ไม่มีชื่อหรือเคาน์เตอร์รับแขกคงเป็นการเลี่ยงภาษีมั้ง? คุณป้าพาไปร้านบาร์ข้างถนนตรงข้ามกับสถานีรถไฟเพื่อรับอาหารเช้าเป็นน้ำส้มคั้น 1 แก้วกับขนม 1 ชิ้นเพราะเราไม่ดื่มกาแฟ

จากนั้นเราก็เข้าไปที่สถานีเพื่อทำการ Activate ตั๋วอียูเรลพาส มีสาวสวยแต่งกายสะอาดเดินเข้ามาทักเสนอให้ความช่วยเหลือ ป้าละล้าละลังในที่สุดก็ยื่นตั๋วให้ดูเธอทำหน้าเอ๋อ พอดีมีเพื่อนของเธออีกคนหนึ่งเข้ามาช่วยในขณะที่กำลังชุลมุนก็มีมาดามผิวสีเดินเข้ามา สาวที่มาทีหลังหันไปหาเธอและเสนอให้ความช่วยเหลือ แต่มาดามชี้หน้าหล่อนแล้วพูดว่า พวกเธออย่ามากะล่อน เธอบอกเราว่า พวกหล่อนเป็นนักล้วงกระเป๋าอย่าไปเชื่อ เท่านั้นแหละวงแตกเลย….เกือบไปแล้วสิ! อุตส่าห์ระวังตัวแจ…จะมาตายเอาน้ำตื้นๆ นี่เอง….

ทีนี้ก็มาถึงเวลาที่ต้องจับตากันแล้ว ปรากฏว่าพวกเธอคือยิปซีนั่นเอง แต่ละคนไว้ผมยาวมัดจุก คนที่เข้ามาหาป้าดูสะอาดและสวยที่สุด ส่วนคนอื่นๆ แม้จะไม่สะอาดและสวยเท่าแต่ก็ไม่มีใครขี้เหร่ พวกนี้จะคอยจ้องคนที่ท่าทางละล้าละลังหมุนไปหมุนมา

ตัดไปที่เรื่องของเราวันนั้นเป็นวันที่รถใต้ดินและรถบัสสาย A ซึ่งเป็นสายที่นำผู้โดยสารไปยังแหล่งท่องเที่ยวประท้วง เราจึงซื้อทัวร์รอบเมืองโดยรถบัส 2 ชั้นเปิดหลังคา ถ่ายรูปจากบนหลังคารถเท่าที่จะทำได้ ชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (วาติกัน ประเทศที่ได้ชื่อว่าเล็กที่สุดในโลก) โคลอสเซียม (สิ่งมหัศจรรย์ของโลก) ประตูชัยคอนสแตนติน โรมันฟอรัม จัตุรัสเวเนเซีย ระเบียงปาลาสโซ อนุสาวรีย์พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอ็ลที่ 2 น้ำพุเทรวี่ บันไดสเปน ปราสาทเซนต์แองเจโลฯลฯ เราตื่นเต้นกับความอลังการของสิ่งก่อสร้างที่เป็นต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมหลายๆ ประเทศในยุโรป ความยิ่งใหญ่และสง่างามของสิ่งก่อสร้างที่สร้างจากหินอ่อน หินแกรนิต การแกะสลักหินที่เสา บานประตู หน้าต่าง หลังคา รวมทั้งรูปปั้นแกะสลักหินที่สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่นักท่องเที่ยวต้องร้อง ว้าว! ว้าว! ตลอดทางที่ผ่าน รถทัวร์รอบเมืองพาวนทุกซอกทุกซอยในกรุงโรม

เราทึ่งกับความโปรของคนขับรถ รถคันใหญ่แต่สามารถแทรกเข้าไปในถนนแคบๆ ที่มีรถจอดอยู่ 2 ข้างถนน เมืองนี้คนธรรมดาที่มีรถส่วนตัวล้วนแต่ใช้รถคันเล็กเพื่อให้หาที่จอดได้ง่าย ความจริงถนนไม่ได้แคบ แต่การจอดรถ 2 ฝั่ง กับต้นไม้สองข้างถนนที่เขียวไปทั้งเมืองต่างหากที่ทำให้ดูเหมือนถนนแคบ โรมเป็นเมืองที่สวยทั้งสิ่งก่อสร้าง ยี่โถหลากสี รวมทั้งดอกไม้อย่างอื่นที่ออกดอกเต็มต้น ไม้ผล (ส้มสีทองแทรกอยู่ตามใบสีเขียว) ต้นเมเปิ้ล เมื่อได้เห็นด้วยตาจึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนเมืองนี้จึงดูหยิ่งนัก พวกเขามีความภาคภูมิใจในความโอ่อ่า สง่างาม แข็งแกร่ง ในสิ่งก่อสร้างที่ผ่านมือสถาปนิกอัจฉริยะ วิศวกรที่เปรื่องปราด และช่างก่อสร้างที่ล้ำเลิศในปฐพี ส่งต่อมรกดกล้ำค่ามาเป็นเวลาหลายร้อยปี และมันจะคงอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่านาน และเมื่อถึงประเทศสุดท้ายในยุโรป เราขอบอกว่า ที่สุดแห่งสถาปัตยกรรมอยู่ที่กรุงโรมนี่แหละ

ตอนค่ำเดินทางไปเมืองฟลอเร็นซ์ ต้องไปรอเปลี่ยนรถที่สถานีปิซ่า เซ็นทรัล ซึ่งเป็นสถานีชุมทาง

เสาร์ 27 มิถุนายน 2558 นั่งรถไปสว่างที่สถานีไฟเรนซ์ หรือที่รู้จักกันเป็นภาษาไทยว่า ฟลอเรนซ์ เมืองพิพิธภัณฑ์ฟิเรนเซ่ซึ่งรักษาความเป็นอดีตไม่สร้างสิ่งใหม่ หรือถ้าสร้างก็ต้องเป็นรูปแบบเดิมจนหนุ่มสาวที่ชมชอบความทันสมัยไม่อยากอยู่ เมืองนี้เป็นเมืองที่มีรูปแบบของสิ่งก่อสร้างที่น่าชื่นชม บานหน้าต่างใช้ไม้เป็นเกล็ดๆ มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เรานั่งรถเปิดหลังคาชมเมือง 3 สายในราคาคนละ 20 ยูโร ผ่านตึกรามบ้านช่องในย่านธุรกิจและสถานที่สำคัญที่คงเอกลักษณ์เดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลงได้แก่ ได้ พิพิธภัณฑ์เดวิด Ponte Vecchio สะพานไม้ 2 ชั้นที่มีอายุเกือบ 700 ปี เป็นสะพานมีหลังคา บนสะพานมีบ้านที่มีคนอยู่อาศัยจริงๆ รถพาขึ้นไปที่จุดชมวิวบนภูเขามองลงไปเห็นความสวยงามของสิ่งก่อสร้างที่เพิ่งนั่งรถผ่าน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ มหาวิหาร หรือ ดูโอโม ดูมีพลังและสวยงามมาก บนภูเขาเป็นป่าไม้เขียวชอุ่ม สลับกับดอกไม้ป่าหลากสีที่ผลิดอกออกใบตอนต้นฤดูใบไม้ผลิตลอดสองข้างทาง ส่วนในตัวเมืองมีต้นเมเปิ้ล ต้นส้มออกลูกสีทอง และดอกยี่โถสารพัดสี

เมื่อสิ้นสุดรายการทัวร์รอบเมือง เราเดินทางกลับไปที่สถานี Pisa Centrale เพื่อไปเดินทางต่อไปที่สถานี Pisa S. Rossore เราไปถึงที่นั่นหลัง 4 โมงเย็น เราเห็นหัวหน้าทัวร์พาลูกทัวร์เดินลงบันไดไปโผล่อีกด้านหนึ่งของรางรถไฟ เราจึงเดินตามไปบ้างเพราะแน่ใจว่าพวกเขาต้องไปที่หอเอนแน่ๆ แต่พวกเขาหายไปทางไหนก็ไม่รู้ เพราะกว่าเราจะตัดสินใจตามไปพวกเขาก็ออกไปจากจุดที่เรามองเห็นอีกด้านหนึ่งของรางรถไฟแล้ว เราเห็นคนท่าทางเป็นนักท่องเที่ยวเดินตรงมาทางเราเพื่อเดินไปที่สถานีรถไฟ แต่พวกเขาเดินมาจากด้านตรงข้ามกับที่คณะทัวร์หายไป พวกเขาบอกเราว่าให้เดินไปทางที่พวกเขามาเพราะมันเป็นเส้นทางที่ใกล้กว่าตอนขาไป เราใช้เวลาเดินแค่ 10 นาที ก็ถึงทางข้ามที่จะเข้าสู่หอเอน ชมจัตุรัสดูโอโม มหาวิหารปิซ่า หอเอนทอเร่ (ที่เรียกว่า หอเอนปิซ่า สิ่งมหัศจรรย์ของโลก) หอศีลจุ่มฯ

ในเวลานั้นมีนักท่องเที่ยวมากมาย ทั้งที่อยู่ที่นั่นก่อนเรา เดินเข้าไปพร้อมเรา เดินตามเรา และกำลังเดินกลับ กว่าจะหาช่องว่างถ่ายรูปได้ก็ต้องหลบหลีกรอจังหวะ เสร็จแล้วเราก็เดินกลับไปที่สถานี มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนก็มีร้านขายของที่ระลึกที่นั่น คนขายของที่ระลึกบริเวณจัตุรัสมักเป็นคนผิวขาว หรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็น ชาวตุรกี ส่วนคนผิวสีก็ขายบนทางเท้าระหว่างทางก่อนถึงทางข้ามไปจัตุรัส

ตอนที่เราเดินกลับเป็นเวลาใกล้ทุ่มแล้ว แต่แสงอาทิตย์ยังเจิดจ้าอยู่เราจึงดูเวลารถที่จะไปที่พักที่เราจองไว้ที่สถานี Guiliano Terme เป็นสถานีที่อยู่ถัดจากสถานี Pisa S. Rossore ใช้เวลาเดินทาง 6 นาที พอรถออกเราเริ่มดูเวลาซึ่งตอนนั้นนาฬิกาข้อมือได้หายไปตั้งแต่ตอนเข้าสนามบินไคโรแล้ว เราจึงดูเวลาจากมือถือ ผ่านไปแล้ว 1 สถานี ผ่านไป 10 นาที ยังไม่มีวี่แววว่ารถจะจอด ทั้งลุงและป้าเริ่มว้าวุ่น มองออกไปข้างนอกผ่านไปอีก 1 สถานี ทีนี้รู้แล้วว่าเรานั่งรถผิด มันเป็นรถทางไกล ไม่ใช่รถท้องถิ่น มันจึงไม่จอดสถานีย่อย

เราจึงเตรียมพร้อมที่จะลงสถานีแรกที่รถจอดเพื่อที่จะย้อนกลับไปใหม่ โชคดีพอลงรถแล้วอีกไม่กี่นาทีก็มีรถกลับแต่เป็นรถที่ไม่จอดสถานีที่เราจะลง เราต้องกลับไปที่สถานีเดิม ในขณะที่เรากำลังดูตารางเวลารถขบวนใหม่ก็มีสาวจากอาร์เจนติน่าเดินมาหาแล้วบอกเราว่า เธอจะไปเจนีวา แต่หารถจากในตารางไม่เจอ ลุงจึงขอมือถือจากป้าเพื่อหาตารางรถไฟจากอียูเรลแพลนเนอร์ ตอนนั้นแบ็ตเหลือน้อยมากต้องรีบเติมจากเพาเวอร์แบงค์ ป้าทำหน้าที่หารถไฟท้องถิ่นที่จะไปที่พัก

ลุงช่วยสาวสวยบัวโนสไอเรสด้วยภาษาจากตารางที่ลุงชำนาญกว่าอย่างอื่น พอป้าได้ขบวนรถจึงช่วยอธิบายว่าเธอต้องไปขึ้นรถที่สถานี Pisa Centrale ซึ่งต้องรอรถ 21.00 น. เพราะเธอพลาดรถ 18.00 น. ไปแล้ว ตอนนี้ลุงดีใจมากที่ได้เป็นคนบอกทางเสียทีหลังจากเป็นคนถามทางมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา สาวคนนี้เธอทำงานแล้วไม่เหมือนสาวน้อยที่เราเจอที่ Roma Termini เธอเดินทางคนเดียวจากอเมริกาใต้ การเดินทางด้วยรถไฟอาจทำให้เราต้องเสี่ยค่าที่พักที่จองไว้ได้ตลอดเวลาเพราะระหว่างทางอาจมีอุบัติเหตุหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางสู่ปลายทางได้ตามเวลา เราเองก็เช่นกัน เย็นนั้นกว่าเราจะไปถึงสถานี Guiliano Terme ก็เวลา 20.30 น.

เราเสียเวลาหาที่พักอยู่นานคุณแม่ยังสาวและเซ็กซี่กับสาวสวยในผับช่วยโทรศัพท์ติดต่อตามหมายเลขในใบจองเพราะที่พักอยู่ห่างจากที่นั่นหลาย กม. แต่ปลายสายไม่มีคนรับ ในขณะที่เราตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นยังมีแสงแดดอยู่ ก็มีรถเก๋ง BMW กดแตรและบอกเราว่าเขากำลังตามหาแขกที่จะเข้าพักที่โรงแรมของเขา…เป็นอันว่าไม่ต้องเดิน

พักไว้เท่านี้ก่อนนะคะ คราวหน้ามาต่อ การเดินทางไป 5 หมู่บ้านมรดกโลก เวนิส มิลาน ลุงกับป้าพลัดหลงกันไปค้างคืนคนละประเทศ และเรื่องตื่นเต้นอีกมากมายที่ต้องแก้ปัญหากันตลอดเวลา ใครที่มีคำถามอะไร สามารถถามทิ้งไว้ได้ที่นี่ หรือจะไปถามที่แฟนเพจ “ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ก็ได้นะคะ

พูดคุยกดไลค์ได้ที่ www.facebook.com/uncleandauntiearoundtheworld

ตะลุย ยุโรป 33 ประเทศ กรีซ-อิตาลี-วาติกัน was last modified: May 25th, 2022 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version