สวัสดีครับ ผมจะมารีวิวทริปไปเที่ยวจีน-มองโกเลีย-รัสเซียที่ผมไปมาทั้งหมดรวม 28 วัน โดยเริ่มต้นจาก คุนหมิง ประเทศจีน และไปสิ้นสุดที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ประเทศรัสเซียครับ
ผมจะพยายามรีวิวให้ละเอียดที่สุดโดยเฉพาะการเดินทางครับ เผื่อใครไปจะได้รู้วิธีไว้ล่วงหน้า บางที่ผมหารีวิวเจอแต่ซื้อทัวร์ แต่ผมไปคนเดียวซื้อทัวร์ไม่ไหวครับ หาคนแชร์ด้วยไม่ได้ ผมจึงไปลองผิดลองถูกหาวิธีเที่ยวเอง ที่สุดแล้วให้ถามพนักงานของโรงแรมหรือคนท้องถิ่นอีกรอบเพื่อความชัวร์ครับ เพราะระบบขนส่งมวลชนอาจเปลี่ยนแปลงได้
Preparation
- สิ่งแรกสำหรับการท่องเที่ยวแบบนี้ต้องเป็นกระเป๋าครับ ผมเตรียมไป 2 ใบ ใบแรกเป็น Deuter act lite 40+10 ครับ ซื้อมาจากร้านมหามิตรไทยอาร์มี่ ร้านอยู่ BTS สะพานควายครับ มีให้เลือกเยอะมากๆ ใบที่สองเป็นกระเป๋าไนกี้ไว้ใส่ของจำเป็นและสะพายเวลาไปเดินเที่ยวครับ
- เสื้อผ้าครับ ผมเตรียมเสื้อยืดแขนสั้นไปทั้งหมด 7 ตัว เสื้อ+กางเกง Heatec อย่างละหนึ่ง กางเกงยีนส์ เสื้อ Sweater กันหนาวหนึ่งตัว เสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาว 2 ชั้น หมวกไหมพรหม ถุงมือกันหนาว กางเกงในและถุงเท้าครับซึ่งผมคำนวณไว้ว่าพอครบครึ่งทริปที่มองโกลเลียจะซัก 1 ครั้งครับ (ซักฟรีบ้านเพื่อน) ตอนที่เช็คสภาพอากาศก่อนไป ที่เอียร์คุสจะหนาวที่สุดครับ ติดลบประมาณ 15-20 มอสโควและเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ประมาณ 0 ถึงลบ 5 ครับ
- ยารักษาโรคครับ ผมดูจากเว็บ 2baht.com ครับ
- ตั๋วเครื่องบินและรถไฟ ผมจะแบ่งเป็นพาร์ทๆ นะครับ มีดังนี้ครับ
- เครื่องบินจากกรุงเทพไปคุนหมิง ขาไปผมจอง Thai Air Asia จากดอนเมืองไปลงที่คุนหมิงครับ ราคาไม่แพงครับผมได้มา 1,600 บาท
- รถไฟภายในประเทศจีนทั้งหมดจนถึงปักกิ่ง ตั๋วรถไฟจีน ผมจองผ่านเอเจนท์ไปเฉพาะเที่ยวที่ดูแล้วว่าน่าจะหมดก่อน ซึ่งได้แก่ คุนหมิงไปหนานหนิง, หนานหนิงไปปักกิ่งครับ จากเว็บไซต์ www.travelchinaguide.com มีอัพเดทบอกตลอดครับว่าตั๋วที่นั่งไหนเหลือกี่ใบ โดยเสียเงินค่าตั๋วเพิ่มใบละ 7 US dollar ครับ วิธีรับตั๋วคือปริ้นใบจองและพาสปอร์ตไปยื่นที่เคาน์เตอร์สถานีรถไฟครับ และเขาจะให้ตั๋วเรามา (ถ้าเป็นตั๋วรอบรถไฟคนละเมืองกัน จะโดนบวกเพิ่มใบละ 5 หยวนครับ เช่น อยู่คุนหมิงแต่เราจะเอาตั๋ว หนานหนิง-ปักกิ่ง แบบนี้ครับ) ส่วนเที่ยวไป-กลับ คุนหมิง-ลี่เจียง ผมไปจองจากเคน์าเตอร์หน้าสนามบินครับ บวกเพิ่มมาใบละ 5 หยวน
- รถไฟจากปักกิ่งออกไปอูลานบาตอร์ ตั๋วปักกิ่งไปอูลานบาตอร์ อันนี้ผมหาแหล่งเช็คจำนวนตั๋วไม่ได้ ผมจึงจองผ่าน www.chinatripadvisor.comครับ อันนี้ไม่แน่ใจว่าบวกเพิ่มไปเท่าไหร่แต่โดนไป 243 เหรียญฯ ครับ
- รถไฟจากอูลานบาตอร์ไปเอียร์คุส ตั๋วอูลานบาตอร์ไปเอียร์คุสนี่ผมจองที่สถานีรถไฟเมืองอูลานบาตอร์ครับ เป็นอาคารสีขาวอยู่ใกล้ๆ ทางออกครับ ตู้ Hard Sleeper ราคาประมาณ 1,600 บาทครับ
- รถไฟรัสเซียจนถึงเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ส่วนรถไฟรัสเซียเราสามารถจองโดยตรงผ่านเวปไซต์ pass.rzd.ru ได้เลยครับ ซึ่งผมก็ได้จองเส้นทาง เอียร์คุส – มอสโคว และ มอสโคว – เซนต์ปีเตอร์เบิร์กครับ
- เครื่องบินขากลับ ขากลับผมกลับโดยสายการบิน S7 ครับ ทรานซิสเครื่อง 3 ไฟลท์ เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก – มอสโคว – เอียร์คุส – กรุงเทพ ราคาประมาณ 11,000 บาท
- ที่นอน ผมเลือกจากเว็บwww.hostelworld.com ครับ โดยใส่ชื่อเมือง วันที่ จำนวนคน (1) จากนั้นผมเลือก Sort by price ก่อนเลยครับ ทางเว็บจะเรียงโฮสเทลที่ถูกที่สุดไปจนถึงแพงที่สุดครับ จากนั้นผมก็ดูเรทคะแนนและรีวิวจากคนไปพักเปรียบเทียบครับ
- PASSPORT and VISA ทริปนี้ต้องขอวีซ่าเฉพาะที่จีนครับ ค่ายื่นได้ปรับราคามาเป็น 1,500 บาท เป็น Single entry นะครับ
- เงินครับ ควรไปแลกที่ Superrich สะพานควายนะครับที่ร้านลินดา ได้ราคา 5.6 บาทต่อ 1 หยวน และ 0.56 ต่อ 1 รูเบิ้ลครับ ควรเก็บเงินติดตัวไว้ตล เพราะราคาเรทดีสุด แต่ตอนก่อนผมไปผมจำไม่ได้ว่าที่ Superrich เงินรูเบิลรัสเซียหมด หรือปิดทำการครับ ผมเลยไปแลกอดเวลานะครับ แบ่งรายจ่ายเป็นวันๆ เข้ากระเป๋าตังค์ทีละไม่มากดีกว่าครับ หรือเตรียมบัตรเดบิตไปกดเงินก็ได้ครับ
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผมมี iphone 5 ซึ่งเป็นกล้องถ่ายรูปเดียวทั้งทริปนี้ของผมครับ และ Ipad mini ที่ยืมเพื่อนมาเพื่อโหลดหนังสือไปอ่านครับ ผมเตรียมแฮร์รี่ พอตเตอร์ไป 3 เล่ม และเพชรพระอุมาไป 24 เล่ม สุดท้ายผมอ่านแฮร์รี่จบ และอ่านเพชรพระอุมาไป 23 เล่มครึ่งครับ อีกอย่างที่สำคัญคือ Power Bank ครับ และ Adapter สำหรับยุโรปครับ จะเป็นกลมๆ 2 รูเล็กๆ
- โปรแกรมเที่ยว ผมก็ศึกษาจาก Pantip นี่แหละครับ ทำเป็นวันๆ ว่าไปไหน นั่งรถตอนกี่โมง เที่ยวอะไรได้บ้าง ราคาเท่าไหร่ ผมทำทุกเมืองยกเว้น หนานหนิง และอูลานบาตอร์ครับ เพราะผมมีเพื่อนอยู่ที่โน่น จึงปล่อยให้โลคอลเขาพาเราเที่ยวดีกว่าครับ และเว็บ http://www.seat61.com/ อันนี้จะบอกข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องรถไฟเมืองต่างๆ ครับ
- อาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากต้องนั่งรถไฟกันข้ามคืน หรือยิ่งสายทรานไซบีเรียจากเอียร์คุสไปมอสโคว ใช้เวลา 3 วัน 4 คืนผมเตรียมมาม่าซึ่งสำคัญมากครับ เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพี่จีน ไม่ถูกโฉลกกับลิ้นผมเลยครับ มีแต่เค็มและน้ำมันลอยฟ่อด นอกจากนี้มีแครกเกอร์ทูน่า โรซ่าพร้อมทาน หอยลายกระป๋อง โดยแกะใส่ถุงมัดปากไปครับ นอกนี้ก็มีกาแฟ โอวัลติน และชาครับ โดยผมเตรียมถ้วยทัปเปอแวร์ และแก้วกระดาษไปด้วยครับ (รถไฟทั้ง 3 ประเทศมีน้ำร้อนบริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมงครับ)
START
- เวลาเครื่องออกของผมจากกรุงเทพสู่คุนหมิงคือ 9 โมงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายนครับ ผมมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 7 โมงครึ่งโดยเช็คอินผ่านเว็บไซต์มาเรียบร้อยแล้ว เข้าไปทักทายพี่ๆ เพื่อนๆ ในออฟฟิศเล็กน้อย ถึงเวลาประมาณ 8โมงกว่าๆ ก็ออกมาจากออฟฟิศไปยัง ตม. ครับ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องปั๊มตราออกแล้วนะครับสำหรับคนไทย เดินไปสแกนพาสปอร์ตและนิ้วมือก็สามารถออกได้เลย ข้อดีคือสะดวกและเร็วครับ ข้อเสียคืออดได้ตราปั๊มบนพาสปอร์ตครับ
- ขึ้นเครื่องเรียบร้อยครับ นับคนไทยในเครื่องได้ 3 คนถ้วนครับนอกนั้นจีนล้วน โชคดีที่คนไทย 3 คนนั้นนั่งติดกันครับ เลยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน รวมถึงแพลนในทริปนี้ว่าไปไหนกันบ้าง
- พอถึงสนามบินฉังสุ่ย คุนหมิงเรียบร้อยแล้ว แพลนวันนี้ของผมคือเดินเที่ยววันหยวนตงและในตัวเมืองก่อนจะนั่งรถไฟนอนคืนนี้ไปถึงลี่เจียงในวันพรุ่งนี้ครับ ซึ่งสำหรับตั๋วรถไฟไป-กลับคุนหมิงผมยังไม่ได้จองไว้ และผมเห็นเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ด้านหน้าประตูสนามบิน ผมเลยจองที่นี่ซะเลย (จ่ายค่าจองเพิ่มใบละ 5 หยวน) เพราะผมเคยเห็นความวุ่นวายของเคาน์เตอร์ขายตั๋วของสถานีรถไฟมาแล้ว เลยยอมจ่ายเพิ่มแล้วคุยกันง่ายๆ คนไม่เยอะที่นี่ดีกว่าครับ ได้มา 2 ใบ เป็นตู้ Hard Sleeper เตียงกลางทั้งคู่ครับ (ตู้ Hard Sleeper จะมี 6 เตียงใน1ห้องครับ เรียงกันข้างละ 3) ใบละ 152 หยวนครับ จากนั้นก็นั่งรถ Bus No.2 ไปยังสถานีรถไฟคุนหมิง ราคา 25 หยวน นั่งมาประมาณ 40 นาทีก็ถึงครับ
เจอกระทิงตัวนี้ ถูกที่แน่นอนครับ
พอถึงสถานีรถไฟ ผมนำกระเป๋าใบใหญ่ผมไปฝากไว้ก่อนครับ ค่ารับฝาก 5 หยวน จากนั้นก็นำใบจองตั๋วรถไฟที่จองผ่านเอเจนซี่มาแลกตั๋วจริงครับ โดยเที่ยวคุนหมิง – หนานหนิงรับฟรีได้เลยครับ แต่ผมบอกขอรับตั๋วหนานหนิง – ปักกิ่งไปด้วยเลย เสียค่าบริการ 5 หยวนครับ จากนั้นผมจะไปวัดหยวนตงครับ เดินออกไปหน้าสถานีรถไฟครับ ข้ามถนนไป จากนั้นก็เดินจั้มไปประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน South Ring Rd. ครับ
ตีตั๋วมาที่สถานี Chuanxingulou ครับออกทางออก A นะครับ ข้ามสะพานมาจะเจอป้ายบอกทางครับ
วัดหยวนตง ค่าเข้าวัด 6 หยวนนะครับ
จากนั้นผมนั่งวินมอเตอร์ไซจากหน้าวัดมายังถนนจินบิครับ เพราะระยะทางดูแล้วมันไกล 2 โลครึ่ง ค่ารถต่อรองมาได้ในราคา 15 หยวนครับ
พอถึงก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ครับ ผมบังเอิญไปเจอป้าย The Hump Hostel โดยบังเอิญครับ ซึ่งจะเป็นโฮสเทลที่ผมพักหลังจากผมกลับมาจากลี่เจียง ผมเลยเข้าไปถามวิธีไป – กลับโฮสเทลกับสถานีรถไฟครับ ก็ได้ทราบมาว่าให้นั่งรถสาย 107 หรือ K12 จากป้ายรถเมล์หน้าโฮสเทลไปลงที่ YongPing Rd. ใกล้ๆ สถานีรถไฟได้เลยครับ จุดสังเกตไม่ยากครับ ถ้านั่งมาฝั่งโฮสเทล ให้สังเกตประตูเมืองเก่าคู่นึงตรงจัตุรัสครับ ส่วนฝั่งสถานีรถไฟให้สังเกตว่ารถจะมุ่งตรงไปสถานีและพอถึงสี่แยกก่อนสถานีรถจะเลี้ยวซ้ายครับ ให้ลงป้ายนั้นและเดินต่อมาครับ
พอรู้วิธีกลับก็สบายใจแล้วครับ เดินเล่นแถวๆ ถนนจินบิไปเรื่อยๆ ครับ พอใกล้เวลาก็มาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายหน้าเดอะฮัมป์ และผมก็ได้รู้จักเพื่อนคนแรกบนรถเมล์ครับเธอชื่อ ลี่ เจี่ย ขวาผมถามเธอว่าผมจะลงถนน YongPing ลงป้ายไหน ด้วยความที่ผมพูดจีนได้แค่หนีห่าว เล่าซือแต่ดีที่เธอพอเข้าใจภาษาอังกฤษอยู่บ้างครับ เธอหันไปถามคนนู้นคนนี้รวมถึงคนขับรถเมล์ให้ผมด้วยความเต็มใจ สุดท้ายเราลงป้ายเดียวกันครับ เพราะโรงแรมของเธอก็ต้องกลับป้ายนั้น ตอนนั้นเวลาประมาณ 1 ทุ่มครับ และรอบรถไฟของผมคือ 3ทุ่ม 21 นาที ผมเลยชวนเธอไปหาร้านกาแฟนั่งคุยและฆ่าเวลารอขึ้นรถไฟ เธอก็มากับผมครับ สุดท้ายเราก็ได้เทคโนโลยีโลกสมัยใหม่ช่วยชีวิตกันครับ นั่งคุยกันเขียนในกระดาษบ้าง คำไหนไม่เข้าใจก็เปิดดิกส์ เธอเป็นนักท่องเที่ยวมาจากเมืองอื่นครับมาเที่ยวคุนหมิงกับเพื่อน 8 คน แต่วันนี้เธอแยกออกมาคนเดียว
สุดท้ายเวลาประมาณ 2 ทุ่ม 45 เธอก็มาส่งผมที่สถานีรถไฟครับ เราก็แลก WeChat ID กัน จากนั้นผมก็ขึ้นรถไฟสาย K9686 คุนหมิง – ลี่เจียง ครับ
ผมถึงลี่เจียงเวลา 7 โมงเช้าครับ เดินออกมาหน้าสถานีจะเจอชาวแท็กซี่เชื้อชวนไปกับเขากันเยอะแยะไปหมดครับ แต่ผมไม่ไปครับเพราะผมงก และโฮสเทลที่จองไว้ก็มีอธิบายวิธีเดินทางไปด้วยรถเมล์อยู่แล้วครับ ผมจองโฮสเทลชื่อ OCTOBER INN HOSTEL ไปครับ สำหรับผม ผมถือว่าเป็นโฮสเทลที่ดีเลยครับ ผมสงสัยว่าทำไมไม่มีคนจีนมาพักเลย เจ้าของบอกผมว่าเขาไม่รับคนจีนมานอนบ้านเขาครับ ซึ่งทำให้บรรยากาศสงบและผมรู้สึกถึงความสะอาดมากกว่าโฮสเทลที่ผมนอนรวมกับคนจีนครับ ฝรั่งเตียงข้างๆ ผมก็ชมว่าโฮสเทลนี้ดีกว่าโฮสเทลเมื่อคืนที่เขาพักมา
วิธีเดินทางอันดับแรกให้ขึ้นสาย 8 ลงที่ป้าย Zhongyi Shichang ครับจากนั้นก็ข้ามถนนมาขึ้นสาย 2 ลงที่ Beimen Shichang จากนั้นก็เดินขึ้นถนนทางชันไปเรื่อยๆ ครับ จะมีตัวอักษรว่า OCTOBER INN สีแดงพ่นอยู่ข้างทางตลอดทางครับ
วิธีเดินทางบนรถเมล์ของผมคือ ผมจะเลือกนั่งหรือยืนใกล้ๆ คนขับครับ และผมก็จะเอาป้ายที่ผมจะลงเป็นภาษาจีนยื่นให้เขาอ่าน และพูดว่า ” เก๊า สู่ เว่อ ” แปลว่า ” บอกผมด้วย ” ถ้าอยากกันเหนียวก็สะกิดคนจีนในรถแล้วให้เขาดูเลยครับ ถึงพูดกันไม่รู้เรื่องแต่ภาษากายก็สื่อกันรู้เรื่องครับ คนจีนที่ผมเจอส่วนใหญ่นิสัยดีทั้งนั้นเลยครับ เต็มใจช่วยผม ยิ้มแย้มเฮฮากันดี
October Inn Hostel
ผมมาถึงโฮสเทลก็ปาเข้าไปเกือบ 9 โมงแล้วครับ ดีที่ซื้อซาลาเปากินระหว่างทางนั่งรถเมล์มา ผมก็เอาแผนการผมไปปรึกษากับลุงเจ้าของโฮสเทล แผนการของผมวันนี้คือไปเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก ลุงบอกผมให้รีบไปโดยด่วนเลยครับ แกว่ารถตู้ที่วิ่งจากลี่เจียงไปภูเขานี่สายๆ มันจะไม่ค่อยมีแล้ว เขาจะรอคนเต็มรถถึงจะออกครับ ผมทำท่าจะนั่งพักเหนื่อยสักครึ่งชั่วโมง ลุงก็ไม่ให้ครับ บอก GO GO GO NOW NOW NOW อย่างเดียวเลย ผมก็คว้าแจ๊กเก็ตกันหนาวแล้วออกมาตามทางที่ลุงบอกครับ
เจอรูปปั้นท่านประธานเหมาแล้วมองไปฝั่งตรงข้ามจะเจอคิวรถตู้เบอร์ 17 ครับ ค่ารถ 20 หยวน ผมโชคดีมากครับที่นั่งในรถเหลือเป็นที่สุดท้ายพอดี ถ้าช้ากว่านี้คงได้รอนานแน่ๆ วิ่งไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถจะจอดจุดแรกให้เราซื้อตั๋วขึ้นกระเช้า 180 หยวนและ ตั๋วรถบัสภายในอุทยาน 20 หยวนครับ
พอถึงทางเข้าอุทยาน คนขับกับคนเก็บตังค์บนรถก็ให้ผู้โดยสารคนนึงคลุมผ้าแล้วนอนท้ายรถครับ เพื่อซ่อนตัวจากเจ้าหน้าที่อุทยานที่มานับจำนวนคนบนรถ พอถึงด่านนี้ผมใช้บัตรนักเรียนลดราคาได้ 50 เปอเซนต์สำหรับค่าเข้าอุทยานครับ จาก 130 หยวนเหลือ 65 หยวน และมีค่าบำรุงรักษาเมืองลี่เจียงอีก 80 หยวน อันนี้ใช้บัตรนักเรียนลดไม่ได้ครับ
พอถึงที่ก็มุ่งตรงไปขึ้นรถบัสภายในครับ มวลมหาประชาชนชาวจีนเยอะมากๆ ครับ ค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไปทีละนิด พอถึงรถบัสเราก็นั่งไปลงป้ายแรกที่จอดเลยนะครับ ป้ายนี้จะเป็นป้ายกระเช้าขึ้นสู่ภูเขาหิมะมังกรหยกครับ
ออกซิเจนกระป๋องเป็นสิ่งจำเป็นนะครับ ผมเห็นคนเป็นลม อ้วกไปต่อหน้าต่อตาเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่ได้ครับ มีวางขายระหว่างทางเรียงรายกันเยอะมากครับ แต่ผมพลาดครับไม่ได้ซื้อ ลงท้ายด้วยผมเดินขึ้นบันได สลับกับนั่งพักหายใจครับ พอรู้สึกว่าเริ่มเวียนหัว หายใจไม่สะดวกก็นั่งครับไปเรื่อยๆ
ด้วยความที่ไปคนเดียวครับ จะลำบากก็ไอ้เวลาอยากมีรูปกะเขาบ้างครับ ผมเจอคนจีนยืนถ่ายรูปอยู่คนเดียวเลยขอให้เขาถ่ายให้ผม และผมก็ตอบแทนโดยการถ่ายให้เขาไปสลับกันครับ คุยกันได้เล็กน้อยก็รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกันครับ เขาเป็นช่างซ่อมเครื่องบินเจ็ตอยู่ที่เมืองจีนครับ แต่เสียดายภาษาอังกฤษเขาพูดได้น้อยไปหน่อย หลังจากนั้นเราก็เดินลงมาด้วยกันครับ เขาก็แนะนำผมให้รู้จักเพื่อนๆ เขา ซึ่งมีกันมา 8 คน และหนึ่งในนั้นมีคนนึงพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากครับ เขาชวนผมไปเที่ยวต่อด้วยกัน ซึ่งผมก็ไม่มีโปรแกรมไปไหนอยู่แล้ว ก็เลยติดตามเขาไปด้วยครับ
จากนั้นก็ขึ้นรถตู้ไปกับเขาครับ ไม่รู้เลยครับว่าจะไปไหน ทำอะไรกัน สุดท้ายพอถึงที่ก็อ๋อครับ เขาจะมาขี่ม้ากัน ค่าขี่ม้าราคา 170 หยวน ประมาณเกือบ 2 ชม. ซึ่งทีมงานทั้งหมดพร้อมใจกันขี่ครับ ผมเลยต้องขี่ไปกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้ไม่เคยขี่ม้ามาก่อนเลย
เริ่มขึ้นม้ามาก็เริ่มไม่เข้าใจแล้วครับ ทำไมลุงต้องจับสายม้าผมด้วยยยย คนอื่นยังควบไปเองสบายๆ ผมบอกให้เพื่อนผมแปลให้หน่อยว่าผมขอขี่เองไม่ต้องจับ ลุงบอกไม่ๆๆ อะไรก็ไม่รู้ครับ สงสัยเพราะผมเป็นต่างชาติมั้งครับกลัวผมควบม้ากลับเมืองไทย
สุดท้ายหลังจากขี่ม้าเสร็จ เขาใจดีกับผมมากๆ ครับ พามากินข้าวกันเขาก็เลี้ยงผมอีก
วันต่อมาครับ วันนี้ผมมีแพลนจะเที่ยวตัวเมืองเก่าและสระมังกรดำครับ ถามคุณลุงเช่นเคยครับ โชคดีมากครับที่โฮสเทลผมอยู่ใกล้ๆ กับสระน้ำเลย เดินไต่เขาไปด้านหลังโฮสเทลเรื่อยๆ ครับ จนกระทั่งถึงทางลง จะเห็นสระมังกรดำไกลๆ จากบนเขาเลยครับ เส้นทางนี้ใช้เวลา 30 – 40 นาทีครับ ไม่แนะนำถ้ามีคนอายุเยอะมาด้วยนะครับ เพราะค่อนข้างลุยต้องเดินขึ้นเดินลงตลอดทางครับผม
เริ่มเห็นรำไรๆ แล้วครับ
จากนั้นก็เดินออกไปยังตัวเมืองเก่าลี่เจียงครับ
ระหว่างทางแวะซื้ออาหารข้างทางครับ เป็นมันฝรั่งทอดน้ำมันเยิ้มๆ ราดด้วยผงพริกเครื่องเทศครับ พอกินได้ครับแค่ครึ่งถ้วย ต่อจากนั้นก็ทนเลี่ยนไม่ไหวครับ
ถึงตัวเมืองเก่าลี่เจียงครับ ก่อนจะเข้าไปได้เขาจะขอดูตั๋วสีเหลืองๆ ที่เป็นค่าบำรุงรักษาราคา 80 หยวนที่ผมจ่ายไปเมื่อวาน ห้ามทำหายเด็ดขาดเลยนะครับ ไม่งั้นอาจจะต้องจ่ายอีกรอบ โดยด้านในก็ยังคงความเป็นเมืองเก่าแค่สิ่งปลูกสร้างครับ นอกนั้นเป็นสถานที่เที่ยว ร้านขายของล้วนๆ ครับ
เดินเสร็จผมก็เดินกลับโฮสเทลครับ โฮสเทลผมอยู่ใกล้ๆ กับประตูทางทิศเหนือเลย เพื่อเตรียมตัวนั่งรถไฟนอนคืนนี้กลับคุนหมิงครับ ขบวนที่ผมขึ้นคือ K9684 ลี่เจียง 21:30 – คุนหมิง 6:41 ครับผม วิธีเดินทางจากโฮสเทลไปสถานีรถไฟก็ใช้วิธีเดิมครับ แต่พอถึงป้ายรถเมล์ก็ต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งครับ ขึ้นรถเมล์สาย 2 ลงป้าย Zhongyi Shichang จากนั้นจะไปสถานีรถไฟเราไม่ต้องข้ามถนนนะครับ ยืนรอรถเมล์สาย 8 ป้ายนั้นได้เลย เพราะสาย 8 ที่นั่งมาจากสถานีรถไฟตอนแรกจะวิ่งเป็นวงกลมครับ
เช้าวันต่อมาผมก็มาถึงสถานีรถไฟคุนหมิงโดยสวัสดิภาพครับ ผมเดินทางไปยัง The Hump hostel อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนนะครับ ถึงโฮสเทลเรียบร้อยครับ วันนี้ผมจะไปเที่ยวป่าหินครับ วิธีไปก็ไม่ยากครับเดินตรงจากโฮสเทล ไปตามแผนที่ครับ จะเจอป้ายรถเมล์ ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่นะครับ จะอยู่หันหน้าเข้าถนน Sanshi นี่แหละครับสังเกตป้ายรถเมล์ง่ายๆ โดยการหาเลขที่เราจะขึ้นที่ป้ายได้เลยครับ ถ้ามีก็แสดงว่ามีถูกป้าย จากนั้นขึ้นรถเมล์สาย K9 ไปลงที่ Kunming Eastern Bus Station ครับ
* จุดสังเกตสำหรับขากลับของผมนะครับ คือวิ่งมาประมาณ 500 เมตรจะเจอร้าน Mcdonald กับ ร้าน Converse อยู่ติดกัน ขากลับผมก็จ้องหาร้านคู่นี้อย่างเดียวเลยครับ (ในรูปอาจจะเห็นยากหน่อย)
พอถึงก็เดินเข้าไปจะเจอประตูใหญ่เขียนว่า Stone Forest Express Bus เลยครับ จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถบัสครับ บอกเขาว่า Stone Forest หรือ Shilin ได้เลยครับ ราคา 34 หยวน นั่งมาประมาณ 1 ชม. เราก็จะถึง Bus Terminal หรือจุดจอดรถของทางอุทยานครับ ตอนนี้ต้องเดินต่อไปยังเคาน์เตอร์ขายตั๋วครับ สำหรับผมได้บัตรนักเรียนอีกแล้วครับ ราคาค่าเข้าเหลือ 87.5 หยวนและค่ารถ Cable car สำหรับไปส่งเราจากจุดซื้อตั๋วไปหน้าอุทยานจริงๆ ราคา 25 หยวนครับ หรือใครจะเดินก็ได้ครับ ผมพอเห็นคนเดินอยู่บ้างแต่ระยะทาง 3 กิโล แดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ผมยอมมอบครับ
ป้ายใกล้จุดจอดรถบัสครับ เค้าจะมาส่งเราขากลับอย่างเดียวนะครับ ขาเข้าต้องเดินเอง
ขากลับผมซื้อตั๋วจาก Bus Terminal ตอนแรกที่ลงรถครับเพื่อจะมาลงที่สถานีรถบัสสายตะวันตก ราคาเท่าเดิมโดยพนักงานขายตั๋วเขียนเลขทะเบียนรถขากลับให้ผมครับ ถ้ารถบัสที่มาถึงเลขไม่ตรงกับในตั๋วเราก็ยังขึ้นไม่ได้นะครับ ขึ้นได้เฉพาะคันที่เลขตรงเท่านั้น