เชื่อแน่ว่าทุกคนที่เคยได้ชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง “Hachiko” ก็ต่างชื่นชมในความจงรักภักดีของเจ้าฮาจิโกะ สุนัขผู้ซื่อสัตย์แห่งแดนอาทิตย์อุทัยเป็นแน่
เจ้าฮาจิโกะที่น่ารักน่าเอ็นดูตัวนี้เป็นสุนัขสายพันธุ์อะกิตะ มีถิ่นกำหนดอยู่ที่จังหวัดอะกิตะ ในภูมิภาคโทโฮกุของประเทศญี่ปุ่นและเป็นสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่สายพันธุ์หนึ่งในแดนอาทิตย์อุทัย สมัยที่ผู้เขียนเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นก็มักจะไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ หรือทางเดินเรียบแม่น้ำในวันที่อากาศดี ภาพที่คุ้นตาเป็นอย่างดีคือภาพคุณลุงชาวญี่ปุ่นจูงเจ้าสุนัขหน้าตาญี่ปุ่นๆตัวโตขนปุกปุยมาเดินเล่น และเจ้าปุกปุยตัวนี้ก็เชื่อฟังเจ้าของเป็นอย่างดี (แอบได้ยินคุณลุงเรียกสุนัขข้างกายว่า “จินจัง”) ในตอนแรกคิดว่าเจ้าตัวนี้คือสุนัขพันธุ์ชิบะที่กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเรา แต่พอเข้าไปถามคุณลุงก็ถึงบางอ้อว่าเจ้าตัวนี้เป็นพันธุ์อะกิตะซึ่งมีลักษณะสูงใหญ่กว่าชิบะนั่นเอง
สำหรับจุดเด่นของเจ้าสุนัขพันธุ์อะกิตะนั้นก็คือความสุขุม และความจงรักภักดีต่อเจ้าของ อย่างเจ้าอะกิตะตัวนี้ คุณลุงเล่าให้ฟังว่า ถ้าวันไหนคุณลุงมีธุระต้องออกไปข้างนอก เจ้าจิน จะยืนเฝ้าที่หน้าบ้านจนคุณลุงเดินลับตาไป เหมือนจะสื่อสารว่า “พ่อไม่ต้องห่วง ทางนี้ผมดูแลเอง” หรือเวลาจูงไปในที่ๆมีคนเยอะๆ จินจังจะไม่วอกแวกกับสิ่งล่อตาล่อใจต่างๆ แต่จะคอยมองว่าคุณลุงเดินตามมาหรือยัง แล้วเดินผ่านความวุ่นวายต่างๆไปอย่างสง่าผ่าเผย “อะกิตะไม่ใช่สุนัขขี้เล่นหรือชอบทะเลาะกับคนอื่น แต่จะมีโลกส่วนตัวและมีความเป็นผู้นำ” คุณลุงบอกไว้อย่างนั้น ซึ่งตรงตามข้อมูลคุณลักษณะของสุนัขพันธุ์อะกิตะที่ผู้เขียนไปอ่านมาเป๊ะๆเลยล่ะค่ะ
สำหรับการเลี้ยงดูนั้น คุณลุงบอกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการออกกำลังกาย อย่างเจ้าจิน คุณลุงจะพามาเดินและวิ่งอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง เพราะอะกิตะเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่(เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่พันธุ์เดียวในญี่ปุ่น) มีพละกำลังเยอะ เพราะในสมัยก่อน สุนัขสายพันธุ์นี้จะถูกเลี้ยงเพื่อเป็นสุนัขที่ใช้ในการอารักขาบุคคลสำคัญ ล่าสัตว์ และลาดตระเวน (มีการนำอะกิตะมาผสมพันธุ์กับเยอรมันเชพเพิร์ดเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ตัวใหญ่และแข็งแรงขึ้น ซึ่งถูกเรียกว่าอเมริกันอะกิตะ)
ถ้าวันไหนคุณลุงไม่พามาเดินเล่น เจ้าจินจะหงุดหงิดจนถึงขั้นรื้อสวนดอกไม้ที่ภรรยาของคุณลุงบรรจงปลูกไว้ จนทำให้คุณลุงถูกภรรยางอนไปหลายวัน (มีความน่ารักกกก) หรือทำลายข้าวของเครื่องใช้ก็มี นั่นเป็นเพราะพละกำลังที่สะสมอยู่ในตัวไม่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้สุนัขเครียดจนต้องหาทางปลดปล่อยกับสิ่งของในบ้านนั่นเอง (สมแล้วที่เป็นคนญี่ปุ่น จะเลี้ยงอะไรจะทำอะไร ข้อมูลต้องแน่นจริงๆ)
นอกจากเรื่องออกกำลังกายแล้ว ก็ยังมีเรื่องการดูแลรักษาความสะอาด เพราะขนของเจ้าอะกิตะจะมีสองชั้นเพื่อป้องกันความหนาวเย็น(ก็ต้นกำเนิดของเค้ามาจากเมืองหนาวนี่เนอะ) อะกิตะจะวิ่งเล่นกับหิมะได้สบายใจเฉิบ แต่พอถึงหน้าร้อนเมื่อไหร่ พลังก็ลดระดับไปบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วง การดูแลในหน้าร้อนก็แค่หมั่นอาบน้ำ แปรงขน และจัดที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกให้อยู่ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ประเทศร้อนชื้นอย่างบ้านเรานั้นเลี้ยงได้ไหม คำตอบคือเลี้ยงได้ไม่มีปัญหาเช่นกัน เพราะหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นนั้น ก็ร้อนโหดไม่แพ้บ้านเราเลยล่ะค่ะ สำหรับท่านใดที่สนใจอยากเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อะกิตะ ในประเทศไทยก็มีร้านสุนัขนำเข้าแบบจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายไว้คอยแนะนำและให้คำปรึกษาอยู่หลายร้าน ก่อนจะเลือกร้านก็อย่าลืมหาข้อมูลประกอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและความน่าเชื่อถือของร้าน เพื่อสุนัขของเราจะได้แข็งแรงและอยู่กับเราไปนานๆ และที่สำคัญของการเลี้ยงสุนัขก็คือความรักความเอาใจใส่ มีเวลาให้เขา และมีบริเวณให้เขาได้วิ่งเล่น เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ
ถึงเวลาพลบค่ำพอดี คุณลุงและจินจังก็ถึงเวลากลับบ้าน (เพิ่งสังเกตว่าจินจังก็นั่งฟังเราคุยกับคุณลุงได้นานแบบไม่มีหงุดหงิดเลย อดทนและสุขุมมากๆ) พอคุณลุงลุกขึ้นยืน เจ้าอะกิตะตัวโตหน้าตาท่าทางใจดีนามว่าจินจัง ก็เดินนำหน้าคุณลุงกลับบ้านด้วยท่าทางสุขุมและสง่าผ่าเผย สมแล้วที่เป็นสายพันธุ์ที่ทั่วโลกขนานนามให้ว่า “The royal friend from the land of rising sun”
ป.ล.ผู้เขียนไม่ได้ถ่ายภาพจินจังและคุณลุงตัวจริงไว้นะคะ เนื่องจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้นเป็นการคุยเล่นโดยบังเอิญ ผู้เขียนจึงได้บันทึกเรื่องราวมาบอกกล่าวและเก็บความประทับใจไว้เท่านั้นค่ะ
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก : Dogfan.jp และ Akitainu-hozonkai.com