เมื่อผมไปเป็นอาสาสมัคร ล่า แสงเหนือ ที่ประเทศไอซ์แลนด์
….Scoured by Ice Age glaciers, the dramatic east coast boasts long, narrow fjords with steep sides and jagged peaks which contrast with inland fertile farmlands. Natural harbours mean picture-postcard fishing villages and seemingly never-ending roads cross the region.
อ่านข้อความนี้แล้วรู้สึกอย่างไรครับ เฮ้ย ! มันต้องสวยมากแน่ๆๆๆ แล้วอีกอย่างมีใครล่ะไม่อยากไปดู แสงเหนือ ที่ประเทศไอซ์แลนด์ ! ผมได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งส่งมาให้แจ้งว่ามีองค์กรอาสาสมัครแห่งหนึ่งกำลังเปิดรับคนไปล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์
ผมไม่รอช้ากดเข้าไปอ่าน อ่านแล้วอ่านอีกสรุปใจความได้ว่าองค์กรนี้กำลังเปิดรับสมัครคนไปไอซ์แลนด์ ชื่อโครงการเต็มๆคือ “Renovation and Aurora Hunting in the East of Iceland” โอ้โห โคตรเฟี้ยว !!! ตอนนั้น link ที่เพื่อนส่งมาคือ VSA Thailand (Volunteer spirit association) เป็นต้นทางของโครงการ ซึ่งผมต้องขอขอบคุณองค์กรนี้มากๆครับ ที่เป็นฝ่ายประสานงานทั้งหมดให้กับอาสาสมัคร ใครสนใจลองกดไปดู www.volunteerspirit.or.th
โดยปลายทางหรือเจ้าของโครงการนี้อยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ เป็นองค์กรอาสาสมัครชื่อ Worldwide Friends ผู้สนใจสามารถกดเข้าไปดูได้ครับว่าเขามีเปิดรับสมัครช่วงไหนบ้าง รายละเอียดอย่างไรที่ www.wf.is หรือที่ FB: Worldwide Friends, Veraldarvinir
ขอบอกก่อนว่าการไปเป็นอาสาสมัครแบบนี้ – ไม่ฟรี – นะครับ มีค่าใช้จ่ายทุกอย่าง
ทั้งค่าทำวีซ่าเชงเก้น ตั๋วเครื่องบิน รถรับส่งในประเทศ ค่าธรรมเนียมค่าย (ซึ่งเงินตรงนี้แหละจะรวมกันมาเป็นค่าซื้อวัตถุดิบทำอาหารให้ชาวค่ายครับ) ที่ฟรีก็คงเป็นค่าที่พักซึ่งไม่เสีย (หรือรวมในค่าธรรมเนียมแล้วล่ะ) ซึ่งขอบอกว่าถ้าเทียบว่าเงินที่จ่ายไปเพื่อมาค่าย กับมาเที่ยวเองกับบรรดาเพื่อนฝูง ผมว่าอาจจะพอๆกันครับ เพราะผมก็หมดไปพอสมควร (ส่วนมากค่าเครื่อง) แต่ถ้าบอกว่าคุ้มไหม ประสบการณ์ดีไหม ส่วนตัวผมคิดว่าดีมากๆๆๆครับ ได้เปิดโลกทัศน์และได้พูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ โคตรสนุกครับ ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ
ส่วนขอบเขตรวมๆของโครงการสรุปแบบง่ายๆตามที่ผมพอจะอธิบายได้ง่ายๆคือ กิน นอน เที่ยว ทำงาน (คือการพัฒนาปรับปรุงที่พักหรือโรงเรียนเก่า เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์ให้กับชาวไอซ์แลนด์หรือให้เป็นประโยชน์แก่อาสาสมัครที่จะมาในอนาคตครับ) และถ่ายภาพครับ ส่วนเรื่องของแสงเหนือ ก่อนจะสมัครโครงการเค้าก็ไกด์มาคร่าวๆว่า ไม่มีคนสอนถ่ายนะ ยูต้องเตรียมตัวเตรียมอุปกรณ์มาเอง มาแชร์ แบ่งปันกับเพื่อนๆเองครับ แต่ผมว่าเห็นด้วยตาก็คุ้มแล้วล่ะ ซึ่งเมืองที่ผมต้องไปใช้ชีวิตในฐานะอาสาสมัครคือเมืองในแถบ East Iceland ซึ่งอุดมไปด้วย Fjord ตอนแรกคือเมือง Eskifjörður (อ่านยากมาก และจำไม่ได้ด้วย – -“) แต่ก็มีเหตุให้ต้องได้ย้ายเมืองมาที่เมือง Stöðvarfjörður แทนซึ่งก็สวยมากๆเช่นกันครับ ระยะเวลาของโครงการคือ 11.03.16 – 22.03.16 ราวๆ 11 วัน
ส่วนเรื่องของการล่าแสงเหนือตามแคมเปญของโครงการต้องขอบอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรแบบว่าต้องถ่ายมาให้ได้ เป็นผลงานระดับชาติเพื่อมาแข่งขันกันอะไรแบบนี้หรอกครับ เค้าก็คงเขียนเท่ๆเป็นแคมเปญเชิญชวนคนเฉยๆ แต่การที่เราได้มาสัมผัสสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาตินี่สำคัญกว่าครับ ส่วนแสงเหนือคืออะไรผมว่าในพันทิพย์มีกระทู้แนะนำไว้เยอะแล้วครับ รบกวนหาอ่านเอาเด้อ !
ปล.พล่ามกันมานานเตรียมเข้าเรื่องสักที ชอบรบกวนโหวตด้วยนะครับ ขอบอกว่า แสงเหนือ ผมไม่ได้ตัดแปะนะครับ ! ๕๕๕๕๕+
– เริ่มเดินทาง –
การเดินทางในครั้งนี้ผมทราบจากข้อมูลว่าค่ายเราจะมีสมาชิกทั้งหมด 15 คน ยังไม่รวมหัวหน้าค่าย ซึ่งต้องไปเจอกันที่เมือง ในช่วงนั้นระหว่างกำลังหาข้อมูลการเดินทาง และการสมัครเป็นอาสาสมัคร ผมก็ได้รู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งผ่านพันทิพย์นี่แหละ เธอชื่อ แจน ช่วงที่รู้จักกันคือช่วงที่นางเขียนกระทู้เที่ยวแชงกรีล่า และตอนนั้นด้วยความที่เห็นเป็นผู้หญิงชอบเที่ยว ทิ้ง FB ไว้ ผมก็แอดไปตามเรื่องตามราว คุยกันไม่ทันไรผมก็ชวนนางดู เผื่อจะมีเพื่อนไปไอซ์แลนด์ด้วย ปรากฎว่านางก็ตบปากรับคำอย่างไวว่า ไป ! เอ้า ง่ายจังวะ สรุปเราเลยมีเพื่อนร่วมทางแล้วหนึ่งคน และระหว่างช่วงทำความเข้าใจกันก่อนเดินทางระหว่างทางผู้สมัครกับทางองค์กร VSA ผมถึงได้รู้ว่ามีคนไทยอีกคนที่จะร่วมเดินทางไปด้วย เธอชื่อ ลี่ เป็นสาวรุ่นน้อง และเรื่องที่น่าตลกที่สุดคือ ทั้งผมและสองสาว เราดันเป็นคนเชียงรายเหมือนกัน บ้าไปแล้ว !
การเดินทางครั้งนี้ส่วนตัวผมแล้วอุปสรรคก็คือการขอวีซ่าเชงเก้น ที่กว่าจะได้ก็ช้ามากๆจนผมต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินไปหนึ่งวันเลยทีเดียว (ใช้เวลาขอแล้วรวมสองสัปดาห์เป๊ะ) เพราะพึ่งได้วีซ่าตรงวันที่ต้องบิน ทำให้แผนการแวะเที่ยวมอสโควของผมเป็นอันต้องปิ๋วไป (ตั๋วเครื่องที่ผมจองไว้คือ ไทย-รัสเซีย แวะทรานสิทรอไปนอร์เวย์ – นอร์เวย์ – ไอซ์แลนด์) จนสุดท้ายผมเลยนัดเจอกับแจนที่สนามบินมอสโคว ก่อนต่อเครื่องไปนอร์เวย์ โดยที่น้องลี่จะตามมาสมทบที่ไอซ์แลนด์
หลังจากพบกันและต่อเครื่องมาที่นอร์เวย์แล้ว คืนแรกของการเดินทางด้วยวิถีคนเขียมก็จัดเลยครับ นอนสนามบินนอร์เวย์เลย ขอบอกว่าใครลงเครื่องที่ออสโลแล้วต้องรีบออกมาจับจองที่นอนให้ไว เพราะคนเยอะมาก และต่างคนต่างต้องการพื้นที่ตรงนี้มากๆครับ ที่สำคัญใต้ที่นั่งมีที่ชาร์จแบตด้วยนะ โคตรดี
ถึงบอกว่านอนที่สนามบิน แต่ก็หนาวมากๆครับ จนผ่านมาเป็นเช้าวันใหม่ วันนี้เรามีไฟล์ทบินต่อไปที่ไอซ์แลนด์ช่วงบ่ายๆ ช่วงเช้าเราเลยตั้งใจจะไปเดินเที่ยวในเมืองออสโล เมืองที่เคยว่ากันว่าค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก และก็เป็นอย่างที่เขาว่าเลยครับ กินอะไรไม่ลงเลยแพงมากๆ T_T เงินที่มีต้องเจียดไว้เป็นค่าฝากกระเป๋า กับค่ารถไฟเข้าไปในเมืองก็หลายโครนอยู่ครับ เก็บบรรยากาศมาฝากกันไม่มากเพราะขาวหมด และหนาวโคตร
Oslo Opera House
ขาวจั้วะไปทั้งเมืองจริงๆ เที่ยวไปหนาวไปทรมานสุดๆ
เที่ยวและละลายเงินกันไปได้พอสมควรก็ได้เวลาบินไปไอซ์แลนด์แล้วครับ บอกเลยว่าขาวจั้วะทั้งการเดินทาง แผนที่ตั้งใจจะถ่ายภาพไอซ์แลนด์จากมุมสูงเป็นอันยุบไปหมด และพอล้อแตะสนามบิน เรคยาวิค พายุหิมะก็มาต้อนรับเราทันที อาห์ จบกันไปไอซ์แลนด์คืนแรกของฉัน – -”
– Iceland Day 01 –
เช้าวันนี้ที่เรคยาวิค เราฝากชีวิตไว้ที่โฮสเทลแห่งหนึ่ง เพราะคืนก่อนตามเป้าหมายเราตั้งใจจะนอนกันที่สนามบินเรคยาวิค แต่นอนไม่ได้เพราะถูก จนท มาไล่ – -” เราเลยเปลี่ยนเป้าหมายว่างั้นไปนอนกันที่โฮสเทลในเมืองแล้วกัน ตอนเช้าจะได้ไปที่จุดนัดหมายที่ทาง WWF (Worldwide Friends) นัดแนะไว้ ซึ่งตอนนี้เราได้พบกับ น้องลี่ เรียบร้อยแล้ว การผจญภัยของสามกะเหรี่ยงดอยกำลังจะเริ่มขึ้น
จากที่โฮสเทลที่พักของเราเดินมาไม่ไกลก็ถึงแล้ว WWF ซึ่งจริงๆแล้วที่นี่ก็เป็นโฮสเทลเหมือนกัน … หลังจากได้เข้าไปแนะนำตัวกับหัวหน้าค่ายเรารอบนี้ชื่อ Gezzer เป็นคนเม็กซิโก จ่ายค่าธรรมเนียมค่ายกับค่ารถเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทาง อ้อ ! ระหว่างทาง Gezzer บอกว่ารถจะแวะให้เราเที่ยวตามทางก่อนไปค่ายด้วย เย้ ! ยังไม่ทันไรก็ได้เที่ยวเลยวุ้ย
รถพาเราออกเดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ จุดหมายแรกที่รถพามาแวะคือ น้ำตก Seljalandsfoss น้ำตกนี้เป็นหนี่งในน้ำตกที่สูงและสวยมาก และยังสามารถมองเห็นได้จากข้างทางระหว่างที่รถกำลังวิ่งด้วย แต่วันที่มาถึงหิมะตกหนักมาก หนาวมาก พื้นก็ลื่นจนทำให้เราเดินเข้าไปข้างหลังน้ำตกเพื่อถ่ายภาพไม่ได้เลย เสียดายเหมือนกัน แต่มันสวยมากๆ โอววว
แวะเที่ยวน้ำตก Seljalandsfoss เสร็จแล้ว อีกน้ำตกที่ได้แวะคือ น้ำตก Skogafoss น้ำตกในหนังเรื่อง The secret life of Walter Mitty ที่โด่งดัง
รถขับล่องลงใต้มาอีกถึงเมือง Vik ที่แทบจะเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวในแถบนี้ มีที่ท่องเที่ยวสำคัญๆคือ Black Sand beach หรือหาดทรายสีดำ และผาหินแท่งบะซอลต์ที่เกิดจากลาวาภูเขาไฟที่แข็งตัวแล้ว สวยมาก คลื่นแถบนี้ก็แรงมาก ทำไมประเทศนี้มีแต่อะไรแปลกๆ ประทับใจสุดๆ
แวะเที่ยวถ่ายรูปกันเสร็จ รถก็นำพาเราไปยังจุดหมายสุดท้าย ธารน้ำแข็ง Jökulsárlón อันเลื่องลือ
ฟ้าปิดเหมือนเดิม แต่มันสวยจริงๆ ใจจริงอยากได้ภาพคลื่นซัดใส่น้ำแข็ง แต่หาก้อนน้ำแข็งเล็กๆไม่เจอ T_T
สุดท้ายเรามาถึงที่เมือง Stöðvarfjörður ก็ค่ำแล้วราวๆสองทุ่ม ซึ่งระหว่างทางมีแต่หิมะตกมองวิวอะไรแทบไม่เห็นเลย และแน่นอนคืนนี้ผมก็แอบคิดในใจว่าเราจะได้เห็น แสงเหนือ รึเปล่านะ ? เพราะเป็นความหวังสูงสุดของการเดินทางในครั้งนี้ แต่สุดท้ายก็แห้ว เมฆเต็มฟ้าจร้าา
– Iceland Day 02 –
เช้านี้ที่ค่ายของเรา ตึกนี้เป็นตึกที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้จนจบค่าย และเป็นตึกที่เราต้องช่วยกันทำความสะอาด ปรับปรุงให้เป็นที่พักสำหรับชาวเมือง และชาวค่ายในอนาคตที่จะมาครับ เป็นตึกที่ด้านล่างเคยเป็นธนาคารเก่า
กิจกรรมวันนี้ของค่าย WWF เราทำความรู้จักกันว่าใครชื่ออะไร มาจากไหน ทำงานอะไร ทำให้ผมรู้ว่า เฮ้ย ! พวกฝรั่งที่มากันนี่มีแต่คนอายุน้อยๆกันทั้งนั้นเลย ส่วนมากเป็นพวกที่กำลังเรียน หรือเรียนจบใหม่ๆ ไม่มีใครที่อยู่วัยทำงานเหมือนพวกเราคนไทยสามหน่อเลย เรียกได้ว่าแทบจะเป็นพี่ใหญ่ล่ะนะถ้าไม่นับเพื่อนชาวอิสลาเอลที่อายุมากที่สุด และเราเรียกกันว่าขุ่นแม่ ฮ่าๆ และกิจกรรมน่ารักๆของค่ายก็เริ่มแต่เช้าคือให้เราทำความรู้จัก และเวียนกระดาษให้เพื่อนทุกคนวาดความเป็นเราออกมา เป็นกิจกรรมที่น่ารักดี และตลกด้วย ๕๕๕๕๕+
จบกิจกรรมแนะนำตัวกันได้ไม่นาน Gezzer หัวหน้าค่ายก็แจกแจงหน้าที่การทำอาหารของแต่ละทีม ประเทศที่มาค่ายนี้ในรอบนี้มี เม็กซิโก, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ไทย, ฝรั่งเศษ, เยอรมัน, เกาหลี และ อิสราเอล ซึ่งพวกเราต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำอาหารเย็น (อาหารเช้ามีขนมปัง แยม แฮมให้ทุกวัน) ให้กับเพื่อนชาติอื่นๆ ตามวัตถุดิบที่มี ซึ่งก่อนจะมาทาง VSA ได้แนะนำเราแล้วให้เรานำเครื่องแกงจากไทยมาจะได้ทำอาหารรสจัดได้ง่ายๆ และมื้อแรกนี้หัวหน้าค่ายจากเม็กซิโก ก็จัดอาหารให้เราเลยด้วยอาหารเม็กซิโก เรียกว่าอะไรไม่รู้ เหมือนมักกะโรนีคลุกซอสมะเขือเทศแล้วกินกับแป้งโรตี
หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยกิจกรรมก็เริ่มขึ้นง่ายๆคือการทำความสะอาดบ้าน จัดสิ่งละอันพันละน้อยให้เข้ากัน เป็นงานเบาๆที่ใครก็ทำได้ หลังจากช่วยกันทำความสะอาดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว Gezzer ก็พาเราเดินเล่นชมเมืองเล็กๆเมืองนี้ Stöðvarfjörður ซึ่งเป็นเมืองเล็กที่อยู่ในแนว Fjord (ภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำแข็ง) ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นท่าเรือที่ทำอุตสาหกรรมการประมงอยู่พักหนึ่ง แต่ก็หยุดไปเพราะทางรัฐต้องการให้ย้ายไปทำอุตสาหกรรมที่เมือง Eskifjörður แทน อ้อ ! ลืมเล่าไปว่าที่ตอนแรกเราจะได้ไปค่ายที่เมือง Eskifjörður แต่เปลี่ยนมาเมืองนี้เพราะว่าทางค่ายที่เมือง Eskifjörður มีคนเยอะมาก เพราะกำลังมีค่ายของพวกนักข่าว Journalist อยู่ ทางหัวหน้าค่ายเกรงว่าถ้าคนจากค่ายเราไปสมทบอีกจะมีคนเยอะมากเกินไป ทาง WWF เลยจัดที่ให้เราใหม่มาพัฒนาที่เมืองนี้แทนครับ
เดินเที่ยวชมเมืองจนเพลินแล้ว พอตกเย็นก็ถึงเวลาเตรียมตัวรอลุ้น แสงเหนือ กันแล้วครับ คืนนี้เราเช็คพยากรณ์อากาศแล้วว่าฟ้าเปิดแน่นอน และมีโอกาสเกิดออโรร่า Kp3 (Kp คือค่าความแรงของ แสงเหนือ ยิ่งเลขมากเรายิ่งเห็นชัด) เว็บที่เราใช้เช็คคือเว็บ www.en.vedur.is/weather/forecasts/aurora/ ซึ่งผมคิดว่าแม่นพอสมควรครับ เพราะพยากรณ์ทีไรได้เรื่องทุกที
ตัวอย่างวิธีดูคือถ้าในแผนที่ของเว็บบอกค่าความแรงของแสง (KP) มามากกว่า 3 คือพอให้ลุ้นแล้ว (เลขทางขวามือ 0 – 9) และดูว่าส่วนไหนในแผนที่เป็นสีขาวคือบริเวณที่ไม่มีเมฆ คืนนั้นให้ตั้งป้อม รอลุ้นกันเลยครับ
…และคืนนั้นเป็นคืนที่ผมประทับใจที่สุดในชีวิต เพราะได้เห็น แสงเหนือ กับตาครั้งแรก ซึ่ง Gezzer พาพวกเราเดินออกจากบ้านมาตามถนนเรื่อยๆเพื่อเลี่ยงความสว่างจากไฟเมือง ระหว่างที่รอเราต่างคนต่างไม่เคยเห็นว่า แสงเหนือ มันรูปร่างเป็นยังไง (นอกจาก Gezzer) ผมก็เลยลองใช้กล้องดัน ISO สูงๆ ถือถ่ายตามมุมต่างๆจนติดสีเขียวๆในภาพ เราถึงรู้ว่านี่แหละคือ แสงเหนือ โอ๊ยยย ย อย่างฟินนน
จากความรู้สึกที่มองเห็น แสงเหนือ ด้วยตาเปล่าแล้ว สีสันจริงๆของมันไม่ได้เป็นสีเขียวนะครับ ออกขาวๆๆ เหมือนเส้นเมฆแต่ดิ้นไปมา และเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ ในระดับ Kp3 เราอาจจะเห็นแค่ขาวๆ แต่ถ้า Kp สูงขึ้นมาจนระดับ 4 แล้วจะเริ่มเห็นเป็นสีเขียวเลย และมีคืนหนึ่งที่ผมเห็นกับตาเป็นสีเขียวอมม่วง คืนนั้นคือความแรงของ Kp 5 น้ำตาแทบไหลล่ะครับ
ฟินกันไป ออโรร่าครั้งแรกในชีวิตของพวกเรา
– Iceland Day 03 –
วันนี้หลังจากที่ปลื้มปริ่มกับ แสงเหนือ ที่มาเต้นระบำกันให้เห็นเมื่อคืนแล้ว วันนี้ฟ้าปิดสนิท อากาศหนาวมากกกกก หลังจากทำงานเก็บนู่นเก็บนี่กันเสร็จแล้ว วันนี้ Gezzer บอกจะพาเราเทรคกิ้งขึ้นเขาไปดูประตูหินธรรมชาติ ซึ่ง Gezzer ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่เห็นจากในหนังสือนำเที่ยวเมืองนี้ว่ามี พูดแล้วก็จัดเลย เตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม เรากำลังจะเทรคกิ้งขึ้นเขา
ระหว่างทางเราเดินออกมาจากหมู่บ้านเรื่อยๆ เลียบ Fjord ริมทะเลไปเรื่อยๆบางจุดก็จะเห็นก้อนน้ำแข็ง (มาจากไหนวะ) เกยตื้นริมหาด แปลกดีสำหรับคนที่มาจากประเทศแถบร้อนแบบเราๆ
หลังจากเดินฝ่าความหนาว ข้ามลำธาร – น้ำตกเล็กๆมาร่วมสองชั่วโมง Gezzer ก็บอกว่าเราคงหลงแล้ว เพราะหาประตูหินไม่เจอ แล้วตอนนั้นนอกจากความหนาวที่เราเจอ ฝน ! ก็กำลังจะตก ตอนนี้เราต้องทยอยกันกลับไปค่าย ส่วนพวกที่ยังไม่อยากกลับ Gezzer ก็พาเดินเล่นกันอีก สรุป หลง ! ๕๕๕๕๕+
ขากลับลงเขามาฝนก็เทกระหน่ำอย่างหนัก เราเดินฝ่าฝนกลับที่พักกันแค่ 5 คน นอกจากนั้นเค้าหนีกลับค่ายไปก่อนล่ะ เลยได้ Hitchhiking (โบกรถชาวบ้าน) ครั้งแรก กว่าจะมีคนจอดก็ปาเข้าไปหกเจ็ดคัน สนุกดี
วันนี้เวรทำอาหารเย็นเป็นของสองสาวจากเกาหลี (ใต้) Estelle กับ Kim อร่อยดี ถูกปากชาวเอเชียเช่นเราๆ
หลังทานอาหารเสร็จ คืนวันนั้นแสงเหนือก็มาอีก คราวนี้มาเหนือค่ายเราเลย อู้วหู้ว ไม่ต้องเดินไปไกล
– Iceland Day 04 –
เช้าวันนี้ฟ้าเปิด ทาง WFF ได้เสนอข้อเสนอขายแพ็คเก็จทัวร์พาไปเที่ยวแถบทางเหนือของ Iceland มีจุดแวะหลักๆคือ น้ำตก Goðafoss , น้ำตก Dettifoss, Green Lagoon บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ และชมวิวแถบภูมิภาค Mývatn ในภาคเหนือ ในราคาสบายกระเป๋า (หรือเปล่า !?) แต่ว่าไปได้แค่คราวละ 8 คน ซึ่งค่ายเรามีทั้งหมด 17 คน รวมหัวหน้าค่ายกับแฟนหัวหน้าค่าย วันนี้เลยมีสมาชิกชาวค่ายครึ่งหนึ่งที่ออกไปเที่ยวกับทัวร์นี้ ส่วนผมและเพื่อนๆก็ไปด้วย เพราะไหนๆก็มาแล้วอยู่แต่ที่นี่เดี๋ยวเบื่อแย่ แต่พวกเราจะไปกันพรุ่งนี้ครับ
วันนี้เราเลยทำตัวกันฟรีๆ ตา Gezzer ก็ฟรีๆด้วย ไม่ทำงานกันล่ะเว้ย เดินเที่ยวกันดีฝ่า
และเย็นวันนั้นเป็นเวรทำอาหารของพวกเรากะเหรี่ยงชาวไทย น้องลี่กับแจนเลยจัดอาหารไทยให้เลย ต้มยำ ฯลฯ พร้อมกิจกรรมสอยดาว จับฉลากแลกของที่ระลึกพวกแม่เหล็ก , รถตุ๊กตุ๊กจำลอง, กางเกงมวย ฯลฯ เป็นที่สนุกสนานกันใหญ่ แต่ผมดันลืมถ่ายภาพอาหารซะนี่ – -”
และคืนที่สี่นี้ถือเป็นคืนที่เราได้เห็นออโรร่าระเบิดรุนแรงเต็มท้องฟ้ามากที่สุดในช่วงเวลาทั้งหมดที่ใช้ชีวิตในค่ายมาครับ ด้วยความแรงออโรร่า Kp 5 มีบางจังหวะของการระเบิดแสงเป็นสีม่วงเลย แต่ผมถ่ายไม่ทันจริงๆ มันตื่นเต้น ตื้นตัน น้ำตาคลอไปหมด นี่คือส่วนหนึ่งของช่วงเวลานั้น …
We live in a beautiful world !!!
– Iceland Day 05 –
เช้านี้ในที่สุดก็เป็นวันของพวกเราที่ยังเหลืออยู่ครับ หลังจากครึ่งหนึ่งของสมาชิกได้ไปทัวร์มาเมื่อวาน วันนี้ตาพวกเราไปเที่ยวบ้างล่ะ
ภูมิภาคทางเหนือของ Iceland เต็มไปด้วยพื้นดินที่เต็มไปด้วยพลังความร้อนใต้พิภพ แปลกตามาก มีทั้งหิมะ ทั้งไอร้อนจากผืนดิน
ไฮไลท์สำคัญของวันนี้ น้ำตก Goðafoss (Godafoss) สวยมากครับ และความจริงต้องได้ไปอีกที่คือน้ำตก Dettifoss แต่คนขับแจ้งมาว่าหิมะถล่มทางสูงมาก ทำให้รถเราเข้าไปไม่ได้ ฮืออออ อดดดดด แล้วทำไม่ไม่ลดราคาให้ฟะ
เที่ยวกันจนเหนื่อย สุดท้ายรถก็มาส่งถึงที่พักในยามเย็น พร้อมอาหารญี่ปุ่นของสาวน้อย Su ข้าวแกงกะหรี่
คืนที่ห้านี้ฟ้ายังเปิด พยากรณ์ออโรร่าคือระดับ 4 แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆจะเริ่มเบื่อกันแล้ว ฮ่าาา เพราะเห็นติดต่อกันมาสามคืน หลายๆคนก็หมดแรงหลับไปเพราะเที่ยวมาทั้งวัน วันนี้ด้วยจิตวิญญาณแห่งช่างภาพ (ว่าไปนั่น) ผมก็แบกกล้องเดินออกไปหลังหมู่บ้านคนเดียวเผื่อจะได้เห็น แสงเหนือ และก็เป็นดังนั้น … มาจริงๆ เป็นคืนที่ผมได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของแสงเหนือเพียงลำพัง ได้เห็นแสงพุ่งขึ้นมาจากอีกฟากของภูเขา ค่อยๆขึ้นมาเหมือนบันได และสุดท้ายพาดผ่านหัวผมไปอีกข้าง ตอนนั้นแทบจะอยากร้องตะโกนโวยวายอยากให้มีคนมาเห็นด้วย คือมันฟินจริงๆนะ
– Iceland Day 06 –
เช้าวันที่หก วันนี้อากาศดีมาก แดดอ่อนๆ มองไปทางไหนวิวก็สวย
หลังจากทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะวันนี้ทาง WWF ต้องการให้เราทุบทำลายกำแพงครัวด้านบนเพื่อขยายห้องให้ใหญ่ขึ้น ก็เล่นกันซะเมื่อย วันนี้พวกเพื่อนๆก็เลยเกรียน ลงไปแช่น้ำเย็นๆกัน ใครว่ามีแต่คนไทยเกรียนนี่อย่าเชื่อนะครับ ฝรั่งก็เกรียนไม่แพ้กัน ๕๕๕๕๕+
อาหารเย็นวันนี้เป็นอาหารอิสราเอลจากขุ่นแม่ Udi เหมือนแกงกะหรี่ซอสมะเขือเทศ แต่เปลี่ยนจากข้าวเป็นขนมปังร่วนๆ
คืนที่หก วันนี้พยากรณ์แสงเหนือแค่ Kp2 ผมเดินออกมาคนเดียวเหมือนเคย (กะจะออกทุกคืน) แต่คืนนี้เห็นแค่เลือนๆที่ขอบฟ้าเท่านั้น …
– Iceland Day 07 –
เช้าวันนี้อากาศดีเหมือนเดิม งานต่างๆเริ่มเพลาๆลงเพราะว่าเริ่มไม่มีอะไรทำ ฮ่าา
เมื่อไม่มีงานทำอะไรมากก็เหมือนเดิมครับ ออกไปเที่ยวดิแกร !!!
เทรคกิ้งขึ้นหลังหมู่บ้านกันฮะ
ส่วนหนึ่งที่ทำให้การเดินทางสนุกก็คือพวกนี้แหละ โอยย เกรียน – -“
เมืองที่เราอยู่ Stöðvarfjörður จากมุมสูง
คืนที่เจ็ด คืนนี้พยากรณ์ออโรร่า Kp4 อีกครั้ง ผมเลยคุยกับ Gezzer ว่าเมื่อคืนที่ออกไปถ่ายอ่ะโคตรสวย ฟินเลย อยากให้พวกยูไปกันอีก วันนี้เราก็เลยเกณฑ์คนรวมตัวกันไปอีกครั้ง และแสงก็มาอีกตามเคย (คนอ่านเริ่มเบื่อยัง ?)
ปล.วันนี้จำไม่ได้ว่าอาหารประจำชาติไหน เพราะดันไม่ได้ถ่ายภาพไว้ แหง่ว – -“
– Iceland Day 08 –
วันที่แปดนี้เป็นวันเหงาๆ ฟ้าปิด อากาศหนาวมาก สรุปถ่ายอะไรไม่ได้เลย
วันนี้เป็นอาหารจากเพื่อนสาวชาวเยอรมัน Michella มันคือมันทอดผัดกับอะไรสักอย่าง และคืนนี้ได้พักยกหนึ่งคืน แสงมาแต่ฟ้าปิดมองไม่เห็นนนน
– Iceland Day 09 –
วันที่เก้าล่ะ วันนี้ฟ้าเปิด วิถีชีวิตของเรายังคงวนที่เดิม ทำงานตอนเช้า ตอนบ่ายออกมาเดินเล่นถ่ายภาพ ใกล้จะจบภารกิจแล้วสิ และวันนี้ทาง Gezzer อยากจะให้พวกเราได้ไปเที่ยวเมือง Eskifjörður กันจะได้รู้ว่าค่ายที่นั่นเป็นยังไง พวกเราตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอรถ ปรากฎว่ารถมาก็จริง แต่ที่นั่งไม่พอ เพราะรถโดยสารระหว่างเมืองของไอซ์แลนด์คันเล็กมากกก เราเลยต้องแบ่งกำลังกัน ส่วนหนึ่งไป ส่วนหนึ่งเฝ้าบ้าน และผม…เฝ้าบ้าน ฮ่าา
วันนี้เวรเพื่อนชาวฝรั่งเศส ทำ Meat ball + ไก่ทอด และของหวานตบท้าย แป้งอะไรไม่รู้ทากินกับแยม (สรุปผมจำชื่ออะไรได้มั่งวะเนี่ยย)
คืนนี้ออโรร่า Kp2 มาเยือนอีกแล้ว ลองนับดูสิว่าเห็นมากี่วันล่ะ เริ่มเบื่อ 555++
– Iceland Day 10 –
เช้าวันที่ 10 เอาล่ะ วันนี้ความจริงจะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของพวกเรา และเป็นวันที่เราจะได้อยู่ค่ายกันพร้อมหน้า … แต่ผมกับ Gezzer และน้อง Kim ขอหนีเที่ยวไปเมือง Eskifjörður ฮ่าา ส่วนบางคนที่ขี้เกียจไปเพราะไม่ตื่นเขาก็นอนอยู่บ้าน – -‘
ค่ายที่เมือง Eskifjörður คือโรงเรียนเก่า เรามาถึงก็แวะทักทายหัวหน้าค่ายเจ้าบ้านหน่อย บรรยากาศชิวจริง Eskifjörður เป็นเมืองในแถบ Fjord เหมือนเมืองที่เราอยู่ แต่เมืองนี้ใหญ่กว่า มีโรงงานอุตสาหกรรมประมง และท่าเรือพร้อมสรรพ พูดง่ายๆคือเจริญกว่าเมืองของเรา ดูแล้วไม่ค่อยน่าอยู่เท่า Stöðvarfjörður แต่ก็มีเอกลักษณ์ความสวยงามที่แตกต่างกัน
ภูเขา Hólmatindur ถือเป็นภูเขาแลนด์มาร์คของเมืองนี้ วันไหนอากาศดี ฟ้าเปิด สามารถเทรคได้ถึงยอดเขาเลย ความสูง 985 เมตร มาถึงก็ถ่ายภาพกันหน่อย ตอนน้ำนิ่งนี่สวยมากกก
เดินเที่ยวกันรอบๆ เหมือนเคยประเทศนี้สวยมาก ไปทางไหนก็สวยยย
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่เราไม่พลาด คือบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งของเมืองนี้ ซึ่งใครก็สามารถมาใช้บริการได้ด้วยราคาสบายกระเป๋า แต่ถ้าใครเป็นสมาชิกของค่ายอาสา WWF แช่ฟรีด้วยแหละ ! หนาวๆแบบนี้แช่น้ำร้อนกลางแจ้งธรรมชาติ ฟินเฟอร์
หลังจากกลับมาค่ายของเรา ฟ้าจากที่ปิดก็เปิดออกมาแปปหนึ่ง และออโรร่า Kp2 ก็มาทักทายเหมือนจะอำลาเราในคืนสุดท้าย …ถ้านับรวมทั้งหมดตอนนี้เฉพาะผมเองนี่เห็นออโรร่ามา 8 คืนแล้ว คุ้มเป็นบ้า !
– Iceland Day 11 –
วันสุดท้ายแห่งการร่ำลา สิบวันที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่โคตรๆคุ้มค่าครับ ดีใจที่ได้เจอทุกคน มันจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป
มุ่งหน้ากลับเรคยาวิค เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ระหว่างทางฟ้าปิดตลอดทางและขากลับรถจะพาเราแวะเที่ยว Jokulsarlon อีกครั้ง
Jokulsarlon ในวันนี้ ช่างแตกต่างจากเมื่อ 10 วันก่อนยิ่งนัก เฮ้ยย น้ำแข็งหายไปไหนหมด – -“
ออกจาก Jokulsarlon รถก็จอดแวะเติมน้ำมัน ผมวิ่งข้ามถนนอีกฟากมาถ่ายภาพ ไกลลิบๆตานั่นธารน้ำแข็งทั้งนั้นน่ะนี่
และสุดท้ายเราก็มาถึงเรคยาวิคค่ำ คืนนี้ที่เมืองหลวงฟ้าปิด ฝนตก ลมแรง คืนนี้ไม่มีแสงเหนือ ~
– Iceland Day 12 –
หลังจากจบภารกิจค่ายอาสา พวกผมยังมีเวลาเหลืออีกสามวันให้ล่องเที่ยวไอซ์แลนด์เพิ่มเติม แน่นอนสำหรับช่างภาพใครก็อยากได้ภาพภูเขา Kirkjufell กับแสงเหนือกันทั้งนั้น ! ทริปเสริมจากนี้เลยเกิดขึ้นได้เพราะทุกคนช่วยกันหารค่ารถ ฮ่าาา เราเลยรวมตัวคนที่ยังไม่กลับประเทศ นอกจากกะเหรี่ยงไทยสามคนเราแล้ว ก็ยังได้เพื่อนเกาหลีอีกสองคน สาวญี่ปุ่นอีกหนึ่งคน และพี่คนไทยสมาชิกใหม่อีกคนชื่อพี่เริก ที่เราเจอกันที่เรคยาวิค และพี่เริกมีความใฝ่ฝันอยากเห็นแสงเหนือสักครั้ง เพราะตั้งแต่มาเที่ยวเองสามวันพี่แกยังไม่เห็นแสงเลย ฮ่าา
ก่อนเดินทางเลยแวะชมสิ่งที่พลาดไม่ได้ของเรคยาวิค คือ โบสถ์ Hallgrímskirkja โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์
กับปฎิมากรรมศิลปะริมทะเลอย่าง The Sun Voyager
พร้อมออกเดินทาง ! คืนนี้เราจะไปเก็บแสงเหนือที่ภูเขา Kirkjufell กัน แต่ระหว่างทางจะเจอม้าพวกนี้ตัดกำลัง ตัดเวลาเรื่อยๆ Icelandic Horse หรือม้าพื้นถิ่นของประเทศไอซ์แลนด์ ขนยาว สวย เหมือนไว้ผมอย่างหล่อ
กว่าจะมาถึง Kirkjufell ก็ปาเข้าไปเย็นมากแล้ว เมื่อมาถึงก็รู้สึกเลยว่า เฮ้ย มันไม่ได้สูงใหญ่อย่างที่เราคิดเลย เป็นภูเขาเตี้ยๆลูกหนึ่งที่มีถนนตัดผ่านด้วยนะ ! ตอนนั้นไม่คิดอะไรแล้ว จอดรถได้รีบหยิบขาตั้งกล้องกับกล้องวิ่งขึ้นไปถ่ายก่อนแสงหมด อย่างเหนื่อยได้มาภาพเดียว โถ่ !!
พอถ่ายเสร็จฟ้าก็มืด เมฆเต็มท้องฟ้าไปหมดเลย ผมเริ่มหวั่นใจแล้วว่าเราจะแป๊กกับเป้าหมายวันนี้ T_T
เวลาราวสองทุ่ม ตอนนั้นฟ้ามืดไปหมดล่ะ เรานอนรอ แสงเหนือในรถไม่ไหว เพราะอากาศเย็นแถมปวดฉี่ ผมเลยขับรถวนเข้าไปในเมือง Grundarfjörður เพื่อหาห้องน้ำ แต่ปรากฎว่าร้านอาหาร ร้านอะไรต่างๆนานาๆก็ปิดหมด ดีนะที่เราซื้อขนม ของกินมาจากมินิมาร์ทสุดฮิตของประเทศ อย่างร้าน Bonus ทำให้ยังพอประทังชีวิตไปได้ สุดท้ายห้องน้ำเราก็มาจบกันที่โบสถ์ๆหนึ่งบนเนินเขาเตี้ยๆหลังนี้ และแอบภาวนาเล็กๆกับพระเจ้าว่าช่วยให้ลูกช้างได้เห็นแสงเหนือด้วยคร้าบบบ
เหมือนคำภาวนาเป็นผล เพราะหลังจากเข้าห้องน้ำ ทำธุระเรียบร้อย เราก็พากันกลับมาที่ Kirkjufell อีกครั้ง ให้ตาย ฟ้าเริ่มเปิดแฮะ ! และสิ่งที่เฝ้ารอก็มาจนได้ ออโรร่า Kp4 กรี๊ดดดดดดดดดด
คืนนั้นถือว่าผมฟินโคตรๆล่ะในฐานะช่างภาพ เพราะได้ภาพที่ตั้งใจไว้ว่าอยากได้ แต่ความซวยคือเพลทขาตั้งกล้องผมอยู่ๆก็เสียกระทันหัน ทำให้ใช้ขาตั้งตัวเองไม่ได้ จำต้องยืมขาตั้งกล้องป๊อกแป๊กของเพื่อนเกาหลีมาใช้ ซึ่งมันสู้แรงลมไม่ได้เลย T_T ภาพที่ได้มาจึงมีทั้งดี และเสีย เห่ออ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ทุกคนยอมมาที่นี่เป็นเพื่อนผมนะครับ เพราะถ้าไม่มาผมคงไม่ได้มาทำความฝันครั้งนี้
– Iceland Day 13 –
วันนี้เราร่ำลาแยกทางจากเพื่อนสาวๆเกาหลี+ญี่ปุ่น เหลือแค่ชาวไทย 4 คน เป้าหมายวันนี้คือขับรถไปเที่ยวโดยจบที่เมือง Vik อากาศวันนี้ไม่เป็นใจเลย จุดหมายแรกที่แวะคือ Þingvellir เป็นสถานที่ๆแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ กับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย แยกออกจากกัน
จากนั้นไปต่อกันที่น้ำตก Gullfoss หรือ Golden waterfall ราชินีแห่งน้ำตกในไอซ์แลนด์ สวยมาก หนาวมากกก
ปิดท้ายด้วยการแวะเที่ยว Geysir น้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทุก 5 นาที สวย แปลกตา และหนาวมากๆเช่นกัน
ซึ่งเส้นทางการท่องเที่ยวของเราวันนี้เรียกกันว่า Golden circle มีจุดท่องเที่ยวหลักๆตามที่ผมได้ไปมาคร่าวๆครับ (ความจริงแวะได้ตลอดทาง) แต่เราแวะเฉพาะจุดสำคัญเพราะค่ำนี้เราต้องรีบตีรถไปนอนที่เมือง Vik เพราะจองโรงแรมไว้ก่อนหน้าแล้วจากไทย และคืนนี้ไม่มีแสงเหนือเพราะฟ้าปิด T_T
– Iceland Day 14 –
การเดินทางล่วงเลยมาจนถึงช่วงสุดท้ายแล้วครับ วันนี้เราตั้งต้นจากเมือง Vik ตั้งใจจะไปเก็บธารน้ำแข็ง Jokulsarlon อีกครั้ง แต่ไปๆมาๆก็เปลี่ยนเป้าหมายเพราะความไม่แน่ใจว่าจะมีน้ำแข็งไหม กลัวไปแล้วเงิบเหมือนรอบก่อน แต่เราก็ได้จุดหมายใหม่มาระหว่างเดินทางซึ่งสวยมากๆ จะเป็นที่ไหนมาดูกันครับ แต่ก่อนอื่นแวะเที่ยวถ่ายภาพกับทุ่งมอสก่อน มันนุ่มนิ่มดีจริงๆ
ระหว่างที่ขับรถเพื่อไป Jokulsarlon สายตาผมดันไปเหลือบเห็นป้ายๆหนึ่งเขียนไว้ว่า Skaftafell glacier เออ แปลกดี ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่มองด้วยตาไปตามป้ายแล้วเห็นธารน้ำแข็งลิบๆ ฟ้ากำลังเปิดอยู่ด้วย เฮ้ย แวะไปสิๆ
พอไปถึงที่ทำการอุทยานปรากฎว่ารอดจอดได้แค่ด้านหน้า ถ้าจะดูธารน้ำแข็งต้องเดินเข้าไปอีก เราตัดสินใจเอาเวลาที่จะไป ธารน้ำแข็ง Jokulsarlon มาเดินเทรคไปที่นี่แทนครับ และภาพข้างหน้าเมื่อเดินถึง โอ้โห โคตรงาม น้ำแข็งเป็นแท่งๆต่อหน้าเรา สวยมากๆ
พอเรามาถึงตีนธารน้ำแข็ง เห็นคนหลายคนเดินขึ้นไป Hiking กันบนน้ำแข็ง เห็นแล้วอดใจไม่ไหวครับ บ่องตง ติดที่ว่าเราไม่ได้เช่ารองเท้าสำหรับ Hike บนน้ำแข็งมา (ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีให้เช่า) เราก็เลยลองเดินขึ้นไปกันจนถึงตรงกำแพงน้ำแข็ง บอกเลยว่าเสียวมาก และฟินมาก คือลื่นมากครับ ตอนเดินนี่ได้ยินเสียงกรอบแกรบจากด้านล่างเลย คือถ้าน้ำแข็งแตกขึ้นมาก็ลาก่อนล่ะครับ T_T
เที่ยวเล่นกันบนธารน้ำแข็งจนพอใจแล้วก็ได้เวลากลับล่ะครับ ขากลับนี่บอกเลยว่าพึ่งเคยขับรถฝ่าพายุหิมะครั้งแรก อย่างหลอน
ระหว่างทางก่อนถึงเรคยาวิค แวะน้ำตก Skogafoss กันอีกครั้ง และเหมือนเดิม ฟ้าปิดอีกล่ะ
คืนนี้เราถึงเรคยาวิคโดยสวัสดิภาพ แต่ฟ้าปิดเหมือนเดิม
– Iceland Day 15 Last Day –
วันสุดท้ายแล้วครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะเขียนมายาวถึง 4 ชั่วโมง – -”
วันนี้เราไม่มีแพลนออกไปนอกเมืองแล้วครับ เป็นเวลาส่วนตัวให้เดินเที่ยวเรคยาวิค ซื้อของฝาก ชมเมืองกันให้เต็มที่
Harpa concert hall
เรคยาวิคมุมสูงจาก Perlan
โบสถ์ Hallgrímskirkja ตอนค่ำ
ปิดท้ายด้วย แสงเหนือ มาร่ำลาก่อนจะขึ้นเครื่องกลับนอร์เวย์ในคืนนี้ครับ สรุปแล้วทริปนี้ผมเห็นแสงเหนือทั้งหมด 10 คืน ดูกันตาแฉะ ขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามและแวะมาอ่านนะครับ กระทู้นี้เขียนค่อนข้างช้าเพราะทิ้งช่วงยาวเป็นปี แต่สุดท้ายก็เข็นออกมาจนได้
ขอให้ทุกคนได้มีโอกาสทำตามความฝันให้สำเร็จนะครับ ถ้าเรามุ่งมั่นสิ่งที่เราฝันไว้เป็นจริงได้แน่นอนครับ
ขอบคุณรีวิวน่ารักๆจากคุณบอย Guest สุดพิเศษ ที่มามอบประสบการณ์จัดเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย แปะๆๆ !!
ระดับความน่าซื้อ : ✩✩✩✩✩
พูดคุยกับ Guest ได้ที่ : www.facebook.com/Travel.Rhinohorn