Mushroom Travel

Autumn in Kansai – Nara, Osaka

     ญี่ปุ่น… ประเทศในฝัน ของใครหลายๆ คน ซึ่งนั่นก็หมายถึงตัวผมด้วย ความผูกผันที่เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่อง พอเลยวันเด็กเข้าสู่วัยรุ่นก็เริ่มฟังดนตรีจากฟากฝั่งญี่ป่นทั้ง J-Pop และ J-Rock เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละบ้านแต่ก่อนก็มีแต่ของที่มาจากญี่ปุ่น ก่อนที่วัฒนธรรมเกาหลีจะเริ่มเข้าสู่ประเทศไทย แม้จะเอนเอียงไป K-Pop บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความอยากที่จะไปเยือนดินแดนซากุระลดน้อยลงไป จนกระทั่งทางการญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นสำหรับคนไทย ทำให้การเดินทางเข้าญี่ปุ่นง่ายมากขึ้น

Autumn in Kansai – Nara, Osaka

ญี่ปุ่น ประกอบด้วยเกาะหลักๆ 4 เกาะ คือ ฮอกไกโด ฮอนชู ชิโกกุ และ คิวชู
แบ่งออกเป็น 8 ภูมิภาค คือ ฮอกไกโด โทโฮคุ คันโต ชูบุ คันไซ ชูโกกุ ชิโกกุ และ คิวชู

ครั้งแรกและภูมิภาคแรก ที่ได้มีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งนี้คือคันไซ ที่ตั้งอยู่บนที่ราบคินคิที่มีขนาดใหญ่ ไม่แพ้ที่ราบคันโต ซึ่งเป็นที่ตั้งของโตเกียว

ภูมิภาคคันไซเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญภูมิภาคหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นภูมิภาคที่เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของญี่ปุ่นในยุคแรกๆ นั่นก็คือนาราและเกียวโต ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปโตเกียว

ภูมิคาคคันไซจะขึ้นชื่อในเรื่องของอาหาร อาหารที่เป็นหน้าตาของภูมิภาคนี้ก็เช่น ทะโกะยะกิ โอะโคะโนะมิยะกิ คิตสึเนะอุด้ง เนื้อโกเบ

ภูมิภาคคันไซจะประกอบไปด้วย 7 จังหวัด คือ มิเอะ ชิกะ เกียวโต โอซาก้า เฮียวโงะ นารา และ วากายาม่า

          ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง โดยสายการบิน Air Asix X ในเวลาประมาณ 15.20 น ถึงท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (KIX) ประมาณ 22.40 น. ด้วยความที่กังวลที่ว่าเครื่องอาจจะดีเลย์หรืออาจจะใช้เวลาในการผ่านขั้นตอนเข้าประเทศญี่ปุ่นนาน ก็เลยตัดสินใจไม่จองโรงแรมในวันแรกที่มาถึง อาศัยนอนที่สนามบินแทน แล้วในตอนเช้าค่อยเดินทางเข้าเมือง หลังจากผ่าน ตม. ญี่ปุ่นมาเรียบร้อยแล้ว ก็เดินหามุมสงบเพื่อจับจองเป็นที่นอนในค่ำคืนนี้ที่ชั้น 2 ฝั่งทิศใต้ ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับ KIX Airport Lounge (อยู่ฝั่งทิศเหนือ) โดยเลือกแถวโซนร้านอาหารที่เรียกว่า Kanku Minami Norengai ในด้านในของโซนร้านอาหารจะมีห้องน้ำ เอาไว้ทำธุระตอนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน ก่อนออกเดินทางเข้าเมือง ใกล้ๆกับบริเวณที่จะนอน จะมีตู้ Locker ให้เช่าเก็บสิ่งของ หรือกระเป๋าเดินทาง

          ตื่นเช้ามา ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ก็พร้อมออกเดินทางเข้าเมือง ซึ่งที่ขายตั๋วรถไฟทั้งสาย JR และ Nankai จะอยู่ติดกัน โดยอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเข้าสถานี ใครอยากใช้บริการรถไฟเจ้าไหนก็เลือกได้ตามแต่สะดวกครับ ส่วนด้านข้างจะเป็น JR Office ผมรอเวลาเปิด เพื่อที่จะนำตั๋วที่ซื้อมาจากไทยไปแลกเป็น JR Pass ก่อน

          วิธีแลกให้นำตั๋ว Passport และกำหนดวันที่เริ่มใช้งานกับเจ้าหน้าที่เพื่อออก JR Pass ให้ครับ ซึ่งที่ผมซื้อมาจะเป็น JR Kansai Wide Area Pass แบบ 4 วัน ราคา 7,200 เยน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.westjr.co.jp/global/en/travel-information/pass/kansai_wide/

สำหรับวันแรกที่ไปถึง ผมจะยังไม่ได้ใช้ Pass อะไร โดยตามแพลนจะไปแค่นาราแล้วกลับมาเดินสำรวจแถวๆ โรงแรมที่พัก ซึ่งเป็นแหล่ง Shopping หลักๆ แห่งหนึ่ง ของ Osaka อยู่แล้ว

ทั้งนี้การเดินทางออกจากสนามบิน เพื่อเข้าเมือง ผมเลือกใช้บริการรถไฟของค่าย Nankai สาย Nankai Airport Express (Kansai Airport – Nankai Namba) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 48 นาที ราคา 920 เยน

          หลังจากลงที่สถานี Nankai Namba ก็เดินไปโรงแรม Business Inn Sennichimae ที่ได้จองไว้ อยู่ในย่าน Namba สามารถเดินไป Shopping หรือหาของกินแถว Dotonbori ได้ง่ายๆ ไม่ไกลจากโรงแรมเลยครับ ในส่วนของโรงแรมก็ดูโอเค หัองพักสะอาด อุปกรณ์ต่างๆ ก็ตามมาตรฐาน Business Hotel ของญี่ปุ่น

เนื่องจากตอนที่ผมไปถึงโรงแรมยังเช้าอยู่ จึงไม่สามารถ Check In ได้ ก็เลยฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วออกเดินทางไปเมืองนารา โดยนั่งรถไฟ Kintetsu Nara Line Rapid Express (Osaka Namba – Kintetsu Nara) ใช้เวลาเดินทาง 39 นาที ราคา 560 เยน ไปลงที่สถานี Kintetsu Nara ซึ่งไม่ไกลจากสวนสาธารณะนาระ (Nara Park) หรือวัดโทไดจิมากนัก แต่ถ้านั่งรถไฟสาย JR มาลงที่ JR Nara ระยะทางจะไกลกว่า

นาราเคยเป็นที่ตั้งอดีตเมืองหลวงเก่าแห่งแรกของญี่ปุ่น ในช่วงปี ค.ศ. 710-784 มีวัดและศาลเจ้าโบราณมากมาย จนยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1998 บริเวณสวนสาธารณะนาระมีกวางอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนารา

หน้าสถานี Kintetsu Nara ทางออกที่ 2 จะเป็นเสมือนจุดนัดพบของเมืองนาราจุดหนึ่ง โดยจะมีน้ำพุและมีรูปปั้นของพระ Gyoki ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1970

          จากหน้าสถานี Kintetsu Nara ให้เดินเลี้ยวมาทางขวา เพื่อไปวัดโทไดจิ เดินมาสักพักก็จะถึงทางเดินเข้าวัดโทไดจิ จะมีร้านค้าต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นของกิน ขนม ของฝาก ฯลฯ

          วัดโทไดจิ เป็นวัดเก่าแก่ที่ก่อสร้างราว ค.ศ. 752 ตามพระบรมราชโองการของจักรพรรดิเซยบุ ในวัดจะมีวิหารไดบุทซึ เป็นวิหารโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ Daibutsu ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าไวโรจนะ หรือพระพุทธเจ้า 1 ใน 5 องค์ตามความเชื่อแบบมหายาน โดยองค์พระมีความสูงประมาณ 15 เมตร หนักราว 380 ตัน

          บริเวณทางเข้าวัดมีประตูไม้โบราณแกะสลักเป็นรูปยักษ์จำลองนันไดมง (Nandai-mon) ขนาดใหญ่ยืนเฝ้าวัดทั้งสองด้าน และภายในบริเวณยังมีพระพุทธรูปยากูชิ เนียวไร (Yakushi Nyorai) ซึ่งเป็นพระแห่งการรักษาพยาบาลและยา วิหารนิเกซึโด และวิหารโฮเกโด
         บริเวณวัดเข้าชมฟรี แต่ถ้าเข้าชมในส่วนของวิหารไดบุทซึ เปิดให้ชมเวลา 08.00-17.00 น. ค่าใช้จ่าย 500 เยน

 

ซุ้มประตูไม้นันไดมง (Nandai-mon) (Great South Gate) ที่สร้างขึ้นตามศิลปะสมัยราชวงศ์ซ้อง ทั้ง 2 ด้านของประตู จะมีรูปยักษ์จำลอง นันไดมง (Nandai-mon) ขนาดใหญ่ เฝ้าวัดทั้งสองด้านประตู

ผ่านซุ้มประตูนันไดมง เข้ามาก็จะเป็นสวน ทางเดินไปวิหารไดบุทซึ ซุ้มประตู (Naka-mon) ของวิหารไดบุทซึ แต่เวลาเข้าชมวิหาร ต้องเดินไปเข้าประตูเล็กทางด้านซ้ายครับ

          วิหารไดบุทซึ (Great Buddha Hall) (Daibutsu-den) ไม่ได้เข้าชมภายใน อาศัยถ่ายจากช่องประตู Naka-mon

          บริเวณรอบๆ วิหารไดบุทซึ (Daibutsu-den)

          สระน้ำ Kagami-ike ด้านหน้าวิหารไดบุทซึ

          สวนสวยใกล้ๆ กับสระน้ำ Kagami-ike สีสันกำลังสวยงามมาก

          สวนสาธารณะนารา (Nara Koen) สวนสาธารณะริมเขาขนาดใหญ่กว่า 6 ตารางกิโลเมตร อันเป็นที่ตั้งของวัดและศาลเจ้าสำคัญ เช่น วัดโทไดจิ วัดโคฟุคุจิ ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ สวนสาธารณะนาราก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1880 เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกวางในธรรมชาติ กวางในสวนนี้เป็นมิตรกับผู้คน เราสามารถซื้ออาหารที่มีขายให้กวางในบริเวณสวนได้ นอกจากนั้นยังมีโรงน้ำชาแบบพื้นเมืองให้บริการในบริเวณสวนอีกด้วย

         จากวัดโทไดจิ เดินต่อไปที่ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ กัน ทางเดินขึ้นไปบนศาลเจ้าค่อนข้างชันนิดๆ เดินเมื่อยพอควรครับ กว่าจะถึงศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ ระหว่างทางเดินเข้าสู่ศาลจะต้องผ่านโคมไฟหินจำนวนนับพัน ที่ตั้งเรียงรายอยู่ระหว่าง 2 ข้างทาง

          ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine) ตั้งอยู่เชิงเขาคาซูกะยามา ศาลเจ้าแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างขวาง บริเวณรอบๆ จะเป็นที่ตั้งศาลเจ้าเล็กๆ อีกจำนวนกว่า 15 แห่ง ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของเมืองและเป็นศาลเจ้าที่มีคนมากราบไหว้มากที่สุดในเมืองนารา ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับการสร้างวัดโคฟุคุจิ เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลฟูจิวาระ โดยก่อสร้างขึ้นเพื่อให้คุ้มครองเมืองหลวงกรุงนารา จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือ แนวตะเกียงที่เรียงรายอยู่ในบริเวณศาลเจ้า นอกจากนั้นยังมีหอที่เก็บรักษาสมบัติและโบราณวัตถุของศาลเจ้าไว้อีกด้วย
ศาลเจ้ากลาง เปิดให้ชมเวลา 07.00-16.30 ค่าเข้าชม 500 เยน วิหารเก็บของมีค่า เปิดให้ชมเวลา 09.00-17.00 ค่าเข้าชม 500 เยน

          จากศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ เดินย้อนกลับมาทางสถานี Kintetsu Nara เพื่อไปวัดโคฟุคุจิ (Kofuku-ji) ผ่านสวนสาธารณะก็จะถึงวัดโคฟุคุจิ

          วัดโคฟุคุจิ (Kofuku-ji) เป็น วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.710 โดยตระกูลฟูจิวาระ เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ มีสิ่งปลูกสร้างมากมายราว 150 หลัง แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงไม่กี่หลัง โดยยังมีอาคารเก่า 3 ชั้น และเจดีย์ขนาดใหญ่ 5 ชั้น (โกะจูโนะโท) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น ตอนนี้เป็นอันดับ 2 รองจากเจดีย์ของวัดโทจิ ในเกียวโต นอกจากนั้นภายในวัดยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดเก็บพระพุทธรูปโบราณ เศียรพระเก่าแก่และรูปปั้นที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับวัดตั้งแต่สมัยอดีตกาล
บริเวณวัดเข้าชมฟรี ส่วนของพิพิธภัณฑ์ เปิดให้ชมเวลา 9.00-17.00 น. ค่าเช้าชม 800 เยน

วิหารไม้โทคอนโดะ (Tokon-do) (Eastern Golden Hall) ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปไม้แกะสลักยาคุชิ เนียวไร และ เจดีย์ 5 ชั้น (โกะจูโนะโท)

Nanendo Hall ภายในวัดโคฟุคุจิ (Kofuku-ji)

         หลังจากเดินชมวัดและศาลเจ้าสำคัญๆ ของเมืองนารา ก็ได้เวลาหาของกิน ผมเดินกลับมาที่สถานี Kintetsu Nara ซึ่งด้านข้างของสถานีจะเป็นถนนคนเดิน Higashimuki แหล่งรวบรวมร้านค้าของที่ระลึกและร้านอาหาร

ร้านโมจิแชมป์เปี้ยน Nakatanidou ร้านอยู่สุดถนนคนเดิน Higashimuki เปิดเวลา 10.00-19.00 น จุดเด่นของร้านนี้คือลีลาการตำแป้งโมจิที่รวดเร็วและดุดัน ส่วนขนมโมจิรสชาติดีทีเดียว ไม่เสียชื่อแชมป์ทำขนมโมจิ ในรายการ TV Champion 2 สมัย

          ผมแวะกินข้าวที่ร้านอาหารภายในถนนคนเดิน Higashimuki ซึ่งมีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่น แต่ก็ดูรูปอาหารที่คุ้นเคยแล้วก็สั่ง

          ทานอาหาร ซื้อของเสร็จแล้วก็นั่งรถไฟจากสถานี Kintetsu Nara กลับไปยังเมืองโอซาก้า โดยใช้สายเดียวกันกับขามา คือ Kintetsu Nara Line Rapid Express (Kintetsu Nara – Osaka Namba)
จากนั้นก็ Check In เข้าโรงแรม เก็บของเข้าห้องพัก จัดของอีกนิดหน่อย แล้วก็ออกมาเดินเล่นแถวบริเวณใกล้ๆ โรงแรม นั่นก็คือถนนคนเดิน Ebisu Bashi-Suji ที่มีร้านค้าต่างๆ มากมาย

          ส่วนถนนคนเดินที่ขนานกับ Ebisu Bashi-Suji ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับโรงแรมที่พักก็จะเต็มไปด้วยร้านปาจิงโกะ

          หลังจากเดินวน 1 รอบ ก็ข้ามกลับมายังถนนคนเดิน Ebisu Bashi-Suji ฝั่งโรงแรมที่พัก โดยในตรอกเล็กๆ ของฝั่งนี้ก็มีร้านอาหารหลายร้านที่น่าสนใจ เดินมาเรื่อยๆ ก็จะถึงคลอง Dotonburi ที่นี่ค่อนข้างคึกคักมาก มีร้านอาหารตั้งอยู่ตลอดทั้ง 2 ฝั่งคลอง

          เดินเลียบคลองมาเรื่อยๆ ก็จะเจอป้ายไฟกูลิโกะ ที่เปรียบเสมือนป้ายสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้า

Pablo ร้านขนมชื่อดัง แถวๆ Dotonburi ใกล้ๆ กับทางเข้า ถนนคนเดิน Shinsaibashi-Suji

         บริเวณสะพานเอบิซุ จุดกึ่งกลางที่มาบรรจบกันระหว่างถนนคนเดิน Ebisu Bashi-Suji และถนนคนเดิน Shinsaibashi-Suji

        ร้าน Matsumoto KiYoshi ร้านขายเครื่องสำอางของญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อในด้านราคาถูกเป็นที่นิยมของคนไทย

ร้าน Kani Doraku Honten ร้านปูยักษ์เจ้าดังแห่งย่าน Dotonburi อยู่เชิงสะพานเอบิซุ

ร้านขาย Konomiyaki ขนาดกลางคืนดึกๆ แล้ว ยังมีคนรอคิวกันเต็ม

ร้านของฝากดองกี้ (Don Quijote) เปิดตลอด 24 ชั่วโมง มี 6 ชั้น ขายทุกอย่างตั้งแต่ขนม เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้านหน้าจะมีป้ายเป็นรูปเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งกำลังอุ้มเพนกวินชื่อดอนเพน จะเห็นร้าน Ichiran Ramen ร้านราเมนข้อสอบอยู่ใกล้ๆ กัน

ร้าน Kinryu Ramen ย่าน Dotonburi เป็นร้านขายราเมน ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

          ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมตอนแรกของทริปคันไซครับ

         

Autumn in Kansai – Nara, Osaka was last modified: March 24th, 2020 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version