Guest ของ มัชรูมทราเวล วันนี้เป็น… ผู้ที่มาเล่าเรื่องราวของการท่องเที่ยวในแถบ Kansai ด้วยภาพสวยๆ ให้เราได้รู้จักภูมิภาคแห่งนี้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้ติดตามไปแล้วทั้งหมด 6 ตอน สำหรับเมืองสุดท้ายใน Kansai ที่เค้าจะพาเราไปเที่ยวนั้นคือเมืองอะไร และจะสวยงามขนาดไหน ไปดูกันค่ะ!!
Autumn in Kansai Day 7 – Hyogo (ตอนจบ)
วันสุดท้ายของทริปใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kansai แล้วครับ เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ยังไม่อยากจะกลับเลย อยากจะอยู่ต่อนานๆ ครับ จังหวัดสุดท้ายที่จะไปในทริปนี้ คือ จังหวัดเฮียวโงะ
ในวันสุดท้ายจะออกเดินทางไปเที่ยวจังหวัดเฮียวโงะ ก็เลยต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อจัดการเรื่อง Check Out และฝากกระเป๋าที่โรงแรมกันก่อนออกเดินทางครับ จุดแรกของวันนี้คือ ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ เดินทางจากสถานี Kishibe โดยนั่งรถไฟสาย JR Kyoto Line Local for Shinsanda ไปลงที่สถานี Osaka ก่อน แล้วจึงเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย JR Special Rapid Service for Himeji ไปลงที่สถานี Himeji ใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 นาที
ออกจากสถานี Himeji ด้านหน้าสถานีจะเห็นปราสาทฮิเมจิอยู่ไกลๆ แต่ก็ยังสามารถเดินไปได้ครับ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที หรือถ้าใครไม่อยากจะเดินสามารถใช้บริการ Loop Bus ได้ในราคา 100 เยน ขึ้นที่ป้าย Shinki อยู่ด้านหน้าสถานี Himeji แล้วไปลงที่ป้าย Himeji Castle Ote-mon Gate ประตูด้านหน้าปราสาทฮิเมจิครับ
แผนที่การเดินไปปราสาทฮิเมจิ
ด้านหน้าสถานี Himeji
Ekimae Flower Road ดูแล้วคล้ายๆ Shopping Street แต่ไม่รู้ว่าสินค้าหลักๆ ที่ขายกันคืออะไร ใช่เป็นดอกไม้ตามชื่อถนนหรือเปล่า
เดินไปตามถนนเรื่อยๆ ค่อนข้างจะเงียบๆ รถไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ตามริมถนนจะเจอต้นไม้เปลี่ยนสี ที่เป็นสีเหลืองเป็นระยะๆ
Nikai Machi นี้ก็น่าจะเป็น Shopping Street อีกเหมือนกันครับ
สามแยกด้านหน้าทางเข้าปราสาทฮิเมจิ
ฝั่งตรงข้ามปราสาท จะมีร้านค้าขายขนม ของฝาก ของที่ระลึก ร้านอาหาร ที่ร้านของฝากจุดนี้ ได้ Kitkat Kobe Pudding กลับมาด้วย อร่อยมากๆ เลยครับ
เดินเข้าไปชมปราสาทฮิเมจิกันครับ
ประตูด้านหน้าทางเข้าปราสาท Ote-mon Gate
ผ่านเข้ามาจะเป็นในส่วนของ Himeji Park กันก่อน ณ จุดนี้ ยังไม่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ
เดินเข้ามาด้านใน ซึ่งจะเป็นทางเข้าชมตัวปราสาทฮิเมจิ
ประตูแห่งฮิซิ (Hishi Gate) เป็นประตูขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งคงสภาพในยุคอาจึชิโมโมยามะ
คูเมืองซังโคคุ (Sangoku Moat) คูน้ำที่ว่างเปล่าภายในประตูแห่งฮิซิ อีกแผนที่ชื่อ Mikuni Moat งงดีครับ
I Gate เป็นประตูที่อยู่ด้านข้างๆ คูเมืองซังโคคุ
ผ่านประตู I (I Gate) จะเป็นประตู Ro (Ro Gate) เดินขึ้นบันได แล้วเลี้ยวไปทางซ้าย เพื่อไปหมู่หอคอยนิซิโนะมารุ (Nishi-no-Maru (West Bailey))
ภายในปราสาทฮิเมจิ จะมีการกำหนดเส้นทางให้เดินชม เราควรจะเดินชมตามเส้นทางที่กำหนดไว้จะดีที่สุดครับ จะได้ไม่พลาดจุดสำคัญๆ ด้วยครับ
หมู่หอคอยนิซิโนะมารุและทางเดินระเบียงยาว(ระเบียงเฮียกุมะ)(Nishi-no-Maru (West Bailey) ถูกสร้างเพื่อให้ฮอนดะ ทาดะโทกิและเจ้าหญิงเซ็นอยู่อาศัยอย่างสงบ และเพื่อเป็นการป้องกันจุดอ่อนของรูปทรงปราสาทฮิเมจิ จึงได้สร้างโครงสร้างรั้วหน้าต่างที่แข็งแกร่ง หอคอยทิ้งก้อนหินใส่ข้าศึก เป็นโครงสร้างที่มีประตูไม้ขนาดใหญ่ตัดขวางและไม่มีโครงซึ่งเป็นส่วนเกิน นอกจากนั้นตรงข้างประตูทิศใต้มีลานรวมตัวเหล่าซามูไรก่อนออกรบ สวนที่มองเห็นตั้งตระหง่านอยู่ทางฝั่งตะวันตกของหอคอยโฮเท็นเป็นลานกว้างที่สงบและสว่าง
ระเบียงเฮียกุมะ ทางขึ้นระเบียงจะอยู่อีกด้านหนึ่ง ด้านที่เห็นในรูปจะเป็นทางลงจากระเบียงเฮียกุมะ
ภายในระเบียงเฮียกุมะ จะเป็นพื้นไม้ ซึ่งจะต้องถอดรองเท้าเดินครับ บันไดบางจุดก็ค่อนข้างจะชันนิดๆ ครับ เมื่อขึ้นไปข้างในแล้ว บางจุดจะคล้ายๆ กับจุดชมวิวเมือง หรือตัวปราสาทฮิเมจิ
ตอนแรกก็เดินผ่านกันไปน่ะครับ เพราะขี้เกียจขึ้น แต่ช่วงเวลาที่ไปตัวปราสาทหลักยังปิดซ่อมแซมอยู่ เดินกันไม่นานก็ทั่วล่ะ เลยเดินย้อนกลับมาและลองขึ้นไปดูครับ หลังจากลงมาจากระเบียงเฮียกุมะ เดินไปตามทางเดิน ที่ไปตัวปราสาทหลักครับ
ทางนี้น่าจะเป็นทางขึ้นตัวปราสาทหลักครับ ช่วงที่ไปยังคงปิดซ่อมแซมอยู่ครับ
Okiku Well เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณที่ชื่อ Okiku ผู้ซึ่งเป็นทาสรับใช้ของซามูไร ที่ชื่อ Tessan Aoyama
อันนี้เดาว่าน่าจะเป็นประตู Ru (Ru Gate)
ทางเดินเลียบกำแพงตัวปราสาท เพื่อกลับออกไปด้านนอก
ปราสาทฮิเมจิอีกสักหน่อยก่อนไปจุดที่ 2 ของวันสุดท้ายครับ
เดินกลับไปทางสถานี Himeji เจอ Shopping Street อีกละ ที่แถบ Kansai ถนน Shopping แบบนี้เยอะมากมายจริงๆ ไม่แน่ใจว่าภูมิภาคอื่นจะเป็นเหมือนแบบนี้มั้ย
ร้าน Manneken ร้านขายขนมวาฟเฟิล ก่อนถึงสถานี Himeji ซื้อมาลองชิม 2 ชิ้น อร่อยดีครับ
จากสถานี Himeji นั่งรถไฟสาย JR Special Rapid Service for Nagahama ไปลงที่สถานี Kobe กันต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที ระหว่างทางเดินจากสถานี Kobe ออกไปริมอ่าวโกเบ
อันนี้น่าจะเป็นรูปวาดท่าเรือโกเบในยุคแรกๆ
แผนที่การเดินไปอ่าวโกเบ
ด้านนอกห้าง Umie South Mall
เดินเข้าไปด้านในห้าง Umie South Mall เพื่อเดินทะลุไปออกอีกฝั่งหนึ่ง จะได้ไม่ต้องเดินอ้อมมากครับ
Crepe ร้านนี้น่าจะอร่อย คนต่อคิวกันตลอดเลย เห็นทั้งขาไปและขากลับ
เดินทะลุ Umie South Mall ออกมาอีกด้านที่ใกล้ๆ กับอ่าวโกเบ ข้ามถนน แล้วเดินไปทางอ่าวโกเบ ฝั่งตรงข้ามมีนักดนตรีมาเปิดหมวกแสดงด้วย เล่นกันกลางแดดกันเลยทีเดียว แต่อากาศหนาว ก็คงไม่ร้อนมากนะ
บริเวณที่เดินเล่นกันอยู่จะเรียกว่า Umie MOSAIC เป็น Shopping Mall ติดอ่าวโกเบ ฝั่งตรงข้ามอีกด้านของอ่าวจะเป็น สวนเมริเคน (Meriken Park) เป็นสวนสาธารณะที่ขนาดใหญ่ริมทะเล ในบริเวณนั้นก็จะมี Kobe Port Tower และ Kobe Maritime Museum เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ในตอนกลางคืนจะสวยงามมาก จะมีแสงสีของไฟนีออนของตึกและอาคารต่างๆ
Kobe Port Tower หอคอยรูปทรงกลองสีแดง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1963 มีความสูง 108 เมตร ภายในหอคอยจะมีทั้งหมด 5 ชั้น
จุดจำหน่ายตั๋วจะอยู่ที่ชั้นล่าง พร้อมทั้งร้านขายของที่ระลึก
ชั้น 2 และ 3 จะเป็นร้านอาหาร
ชั้น 4 และ 5 จะเป็นจุดชมวิวเมืองและอ่าวโกเบ
เวลาเปิด-ปิด 09.00-21.00 น. (มี.ค.-พ.ย.), 09.00-19.00 น. (ธ.ค.-ก.พ.) ค่าเข้าชม 600 เยน
Kobe Maritime Museum เป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นโครงเหล็กสีขาวสานต่อกันเป็นรูปเรือใบ ด้านในจัดแสดงประวัติท่าเรือโกเบตั้งแต่เริ่มสร้างจนถึงปัจจุบัน
เวลาเปิด-ปิด 10.00-17.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ ค่าเข้าชม 500 เยน
Umie MOSAIC เป็น Shopping Mall ติดอ่าวโกเบ ด้านในมีร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ โรงภาพยนตร์และศูนย์รวมร้านอาหารทั้งญี่ปุ่นและยุโรป
เวลาเปิด-ปิด 10.00-23.00 น.
ชิงช้าสวรรค์ MOSAIC เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งบริเวณอ่าวโกเบ ชิงช้าสวรรค์มีความสูง 50 เมตร ติดอยู่กับตัวห้าง ในตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟสลับสีต่างๆ
เวลาเปิด-ปิด 10.00-22.00 น. ค่าเข้าชม 800 เยน
บรรยากาศอ่าวโกเบ
พิพิธภัณฑ์เด็กอันปังแมน (Anpanman Children’s Museum & Mall)
ด้านหน้า Umie MOSAIC
ชั้นล่างของ Umie MOSAIC จะเป็นร้านอาหาร ดูน่านั่งดีครับ
ขากลับก็เดินเข้าไปด้านในห้าง Umie South Mall เหมือนเดิมครับ
พ้นจากห้าง Umie South Mall ออกมาจะเจอห้าง Culmeni ด้านหน้าจะมีรูปปั้นคล้ายๆ กับยีราฟตัวใหญ่ๆ ตั้งอยู่
จากสถานี Kobe นั่งรถไฟสาย JR Kobe Line Local for Nishi-Akashi ย้อนกลับไปลงที่ สถานี Shinnagata ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที เดินออกจากสถานี Shinnagata ไปตามแผนที่ เพื่อไปหา หุ่นเหล็กหมายเลข 28 ครับ
ด้านข้างๆ หุ่นเหล็กหมายเลข 28 เป็น Tokyu Plaza
หุ่นเหล็กหมายเลข 28 ตัวจริงสูง 18 เมตรสีน้ำเงินออกม่วงๆ ผลงานของอาจารย์ โยโกยาม่า มิตสึเทรุ
ระหว่างเดินไปสถานี Shinnagata บริเวณนี้ก็มีทั้ง Shopping Street และห้างสรรพสินค้าให้เดิน Shopping อยู่บ้างเหมือนกัน
ห้างสรรพสินค้า Tokyu Plaza
สถานี JR Shinnagata
จากนั้นนั่งรถไฟจากสถานี Shinnagata ไปลงสถานี Kishibe เพื่อเข้าโรงแรมที่เคยพัก เอากระเป๋าที่ฝากไว้ เก็บของจัดกระเป๋าใหม่อีกรอบ เก็บของเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางจากโรงแรม ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (KIX)
โดยจากสถานี Kishibe นั่งรถไฟสาย JR Kyoto Line Local for Shinsanda ไปเปลี่ยนรถที่สถานี Shin-Osaka แล้วนั่งรถไฟสาย Ltd. Exp Haruka ซึ่งเป็นรถด่วน ไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (KIX) ในส่วนนี้ JR Kansai Wide Area Pass ครอบคลุมหมดนะครับ แต่ต้องดูตู้ที่ขึ้นให้ดี ต้องเป็นแบบ Non-Reserve ถ้าขึ้นผิดตู้ก็จะโดนเจ้าหน้าที่ไล่ให้ไปตู้ที่ถูกต้องเองครับ
ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (KIX) ระหว่างรอเวลา Check In ด้านข้างๆ McDonald จะเป็น KIX Airport Lounge จะเป็นที่พักพิงอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไฟท์ดึกแล้วไม่มีรถสาธารณะเข้าเมือง ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยนอนหรือนั่งพักอยู่ในสนามบิน แล้วค่อยออกไปแต่เช้าเพื่อเดินทางเข้าเมือง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kansai-airport.or.jp/service/relax/pdf/airportlounge_multi.pdf
ขากลับเครื่องออกจาก ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ (KIX) ประมาณ 00.10 น. ถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 4.00 น.
จบการเดินทางโดยสวัสดิภาพ สำหรับทริปที่ Kansai นี้ น่าจะต้องมีการซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไปอีกสักรอบ หรือสองรอบ เพราะยังมีอีกหลายๆ ที่ที่ยังไม่ได้ไป รวมถึงอีก 3 จังหวัดที่เหลือ คือ Shiga , Wakayama และ Mie
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมครับ หวังว่าข้อมูลที่รีวิวมาอาจจะเป็นประโยชน์กับนักท่องเที่ยว ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ผจญโลกกว้าง ด้วยตัวเองบ้างนะครับ
ประสบการณ์มาเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย แปะๆๆ !!
ระดับความสนุก: ✩✩✩✩✩
เครดิต: www.facebook.com/WinterSeaPage