ถือเป็นข่าวดีของนักท่องเที่ยวชาวไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2559 เมื่อรัฐบาลไต้หวัน ได้ประกาศยกเว้นการตรวจลงตราหรือวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเป็นเวลา 30 วัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป และจะทดลองใช้มาตรการดังกล่าวเป็นเวลา 1 ปี งานนี้ใครที่กำลังวางแผนจะไปเยือนที่นี่อยู่แล้ว ก็ต้องบอกว่า ขอแสดงยินดีด้วยจากใจจริงค่ะ
เอ… ว่าแต่นอกจากตึกไทเป 101 ทะเลสาบสุริยันจันทรา และสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอื่นๆ แล้ว ไต้หวัน ยังมีที่ไหนให้ไปเยือนอีกบ้างน้า ไปดูกันดีกว่าว่า 11 แหล่งท่องเที่ยวสุดชิคที่มัชรูมทราเวลนำมาฝากนั้นมีที่ไหนกันบ้าง
หมู่บ้านสายรุ้ง
ประเดิมที่แรกกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งเขตหนันถุน นครไถจง ที่ครั้งนึงหมู่บ้านแห่งนี้เคยเกือบๆ จะโดนยุบและรื้อทิ้งอยู่มะรอมมะร่อ หากไม่เพราะคุณปู่หวง หยุง ฝู อดีตทหารผ่านศึกที่อาศัยอยู่ที่นี่จะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องที่นี่เอาไว้ ด้วยการสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาให้แก่หมู่บ้านด้วยการวาดรูปต่างๆ ด้วยสีสันที่หลากหลาย ทั้งรูปบุคคลที่มีชื่อเสียงที่คุณปู่เคยเห็นในทีวี พืช สัตว์ และคนพื้นเมือง เป็นต้น ทำให้หลายๆ คนที่ผ่านมาเห็นก็มักจะมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกอยู่เสมอ จนในที่สุดที่นี่ก็มีชื่อเสียงมากขึ้นๆ โดยแต่ละวันก็จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย กระทั่งถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ และกลายเป็นจุดท่องเที่ยวสุดชิคอีกแห่งดังเช่นปัจจุบันนี้
ฝงเจี๋ยไนท์มาร์เก็ต
จุดที่สองยังคงอยู่ในเมืองไทจงเหมือนเคย เพียงแค่เปลี่ยนจากเวลากลางวันมาเดินช้อปชิมชิลล์ในยามค่ำคืนกันบ้าง ที่ฝงเจี๋ยไนท์มาร์เก็ต ตลาดกลางคืนที่ตั้งอยู่ติดๆ กับมหาวิทยาลัยฝงเจี่ย ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงเรียงรายอยู่ตลอด 2 ฝั่งถนน และยังรวมไปถึงภายในตรอกซอกซอยต่างๆ โดยสินค้าที่วางขายที่นี่ นอกจากสินค้าประเภทแฟชั่นอย่างเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ทั้งแบรนด์เนมและไม่แบรนด์เนมแล้ว อีกอย่างที่ขายกันเยอะสุดๆ ก็คงจะเป็นอาหารหลากหลายชนิดนั่นเองค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าเมนูเด็ดของที่นี่คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “เต้าหู้เหม็น” แสนอร่อยที่รสชาติและกลิ่นนั้นช่างเดินสวนทางกันอย่างชัดเจน หากใครไม่เชื่อ อันนี้ก็ต้องไปลองชิมดูค่ะ
ปราสาทซินเช่อ
ปราสาทซินเช่อคือพื้นที่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมืองไทจง ที่มาพร้อมกับสิ่งปลูกสร้างสุดอลังการอย่างปราสาทสไตล์ยุโรปที่ล้อมรอบไปด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลาคราฟสีสด และสวนดอกไม้ที่สวยงาม อย่างกระท่อมลาเวนเดอร์ ซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังของตัวปราสาท ที่ภายในแบ่งออกเป็นร้านอาหาร และคาเฟ่ โดยในแต่ละปีที่นี่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือนได้เป็นล้านๆ คนเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งกิจกรรมยอดนิยมภายในปราสาทซินเช่อ นอกจากการมาทานข้าว ดื่มกาแฟ เดินเล่นให้อาหารปลาแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังนิยมนำกล้องมาถ่ายภาพมุมต่างๆ ของสวนสาธารณะแห่งนี้อีกด้วย
วัดหลงซาน
วัดหลงซาน หรือวัดเขามังกร เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 260 ปี ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ในยุคเฉียนหลงฮ่องเต้ เมื่อปี ค.ศ.1738 กระทั่งปัจจุบันแม้วัดหลงซานจะมีการบูรณะซ่อมแซมอาคารภายในวัดอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังคงอนุรักษ์ความเป็นศิลปะจีนโบราณที่งดงามและอ่อนช้อยในแบบดั้งเดิมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยวัดหลงซันไม่ใช่วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของความเก่าแก่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ด้วย ที่โดดเด่นสุดๆ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของความรัก ที่ส่วนใหญ่คนโสดมักจะมาขอคู่ครองที่นี่ และก็มักจะประสบความสำเร็จกันทุกคน โดยการขอพรกับเฒ่าจันทรา จากนั้นก็นำด้ายแดงมาเก็บเอาไว้กับตัว และเมื่อใดก็ตามที่ด้ายแดงหายไป นั่นก็หมายความว่าเนื้อคู่ปรากฏตัวขึ้นแล้วค่ะ
ถนนโบราณลู่กั่ง
หลังจากไหว้เทพเจ้าและขอพรในวัดลู่ซันเสร็จแล้ว หากใครยังอยากเดินเที่ยวภายในเมืองลู่กั่งซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของวัดล่ะก็ เมื่อออกจากวัดหลงซานแล้วเดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงถนนโบราณลู่กั่ง ถนนสายเล็กๆ ที่ยังคงหน้าตาและกลิ่นอายของย่านเก่าเอาไว้ ด้วยสองข้างทางที่เป็นอาคารก่ออิฐแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นร้านขายของที่ระลึกไปแล้ว นอกจากนี้ถนนโบราณลู่กั่งยังเพียบพร้อมไปด้วยร้านขายของกินให้ได้เลือกซื้อและเลือกชิมมากมาย โดยเฉพาะอาหารทะเล ยิ่งหากมาในช่วงวันหยุด ยิ่งจะฟินมากขึ้นไปอีก เพราะร้านค้าจะมีมากกว่าวันธรรมดาหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (กู้กง) สาขาภาคใต้
หากใครเดินทางเลาะเลียบชายฝั่งจากเมืองลู่กั่งมาทางภาคใต้ ก็จะเข้าสู่เมืองเจียอี้ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่เอี่ยมอ่องอย่างพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (กู้กง) สาขาภาคใต้ ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมกันเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งโดดเด่นด้วยสะพานทางเดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ที่เป็นเหล็กโค้งดูล้ำสมัย ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์ก็มีโบราณวัตถุล้ำค่าของชาวจีนมาจัดแสดงดังเช่นที่กู้กงไทเป ทั้งคอลเลกชั่นสิ่งของวัฒนธรรมจีนที่เก็บสะสมของสำคัญจากสมัยราชวงศ์ชิง รวมไปถึงของสะสม หนังสือ รูปวาด และสิ่งของล้ำค่าจากในพื้นที่ต่างๆ ของทวีปเอเชียกว่า 7 แสนชิ้น รวมไปถึงโบราณวัตถุชิ้นงามอย่างหยกที่แกะสลักเป็นรูปผักกาดขาวอันละเอียดอ่อนช้อย ก็ถูกนำมาหมุนเวียนจัดแสดงที่นี่เช่นกันค่ะ
โบสถ์รองเท้าแก้ว
นอกจากการชมของเก่าล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์แล้ว เจียอี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสุดชิคที่น่าสนใจอยู่อีกเช่นกันค่ะ อย่างเช่นโบสถ์รองเท้าแก้ว หรือในชื่อภาษาอังกฤษเก๋ๆ ว่า High-Heel Wedding Church โบสถ์สีสันและรูปร่างแปลกตาที่หาดูที่ไหนไม่ได้บนโลกใบนี้ โดยโบสถ์รองเท้าแก้วถูกสร้างขึ้นภายในสวนโอเชียนวิวพาร์กด้วยความสูงตรงส่วนหัวรองเท้า 11 เมตร และตรงส้นรองเท้า 17 เมตร และใช้กระจกสีฟ้าใสจำนวน 320 แผ่น ในการก่อสร้าง ทั้งนี้จุดประสงค์ของการสร้างโบสถ์แห่งนี้ก็เพื่อเอาไว้สำหรับจัดพิธีแต่งงานโดยเฉพาะนั่นเองค่ะ เนื่องจากประเพณีดั้งเดิมของชาวไต้หวันเจ้าสาวต้องสวมรองเท้าส้นสูงเหยียบขยี้แผ่นกระเบื้องให้แตก และโยนเศษซากที่แตกนั้นทิ้งก่อนก้าวเข้าสู่ครอบครัวเจ้าบ่าว สื่อถึงเริ่มต้นสิ่งดีๆ ในชีวิตนั่นเอง
หมู่บ้านวัฒนธรรมกลอง 10 ใบ
จากเจียอี้สู่ชานเมืองไถหนัน หมู่บ้านวัฒนธรรมกลอง 10 ใบคือโรงงานน้ำตาลร้างที่สร้างขึ้นในสมัยที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครอง นับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาปรับปรุงใหม่เพื่อให้กลุ่ม Ten Drum Art Percussion Group ที่เดินทางไปสร้างชื่อเสียงมาแล้วทั่วโลกได้มีที่แสดงอย่างถาวร ทั้งนี้ก็เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลกนั่นเอง โดยเปิดแสดงวันละ 2 รอบ คือรอบ 10.30 น. และ 15.00 น. นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งเวิร์กชอปการทำกลอง และลองฝึกตีกลองในท่วงทำนองพื้นเมือง เป็นต้น
สถานกงสุลอังกฤษต๋าโก่ว
นอกจากสถานกงสุลอังกฤษต๋าโก่ว จะเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของเมืองเกาสงที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษที่งดงามแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็มักจะไม่พลาด สำหรับการชมวิวทิวทัศน์ของอ่าวและชายทะเลอันงดงามของเมืองเกาสง นั่นก็เพราะสถานกงสุลอังกฤษเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์อย่างดีในการชมวิว รวมไปถึงการเดินชมอาคารที่ก่อด้วยอิฐ ซึ่งมีซุ้มโค้งและระเบียงทางเดินรอบอาคารแห่งนี้ ที่ภายในได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารโบราณทางประวัติศาสตร์ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต รวมไปถึงแผนที่ทางยุทธศาสตร์ วัตถุและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่หาชมได้ยากยิ่ง
ลิ่วเหอไนท์มาร์เก็ต
ลิ่วเหอไนท์มาร์เก็ต คือตลาดกลางคืนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไต้หวัน และของเมืองเกาสงค่ะ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟใต้ดิน Formosa Boulevard Station ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดของเมือง และยังเคยอันดับ 1 ใน 15 อันดับของสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในโลกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินเที่ยวชมและถ่ายรูปภายในสถานี ก่อนที่จะเดินไปทางออกที่ 11 เพื่อชมบรรยากาศของตลาดกลางคืนลิ่วเหอต่อได้ ทั้งนี้ของขายที่นี่ก็มีสารพัดชนิดล่ะค่ะ แต่ถ้าจะให้ฟินสุดๆ ก็เห็นจะเป็นพวกอาหารทะเลทั้งหลาย เนื่องจากเกาสงเป็นเมืองชายทะเล ดังนั้นอาหารทะเลจึงสดและถูกกว่าที่อื่นนั่นเอง
ศูนย์ศิลปะ Pier-2
สถานที่ท่องเที่ยวสุดชิคแห่งสุดท้าย ถูกจัดขึ้นที่โกดังสินค้าร้างริมทะเลภายในเมืองเกาสงเช่นเดิมค่ะ โดยภายในโกดังร้างนี้ได้รับการฟื้นฟูคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ในบรรยากาศดิสโทเปีย เพื่อให้เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย ศูนย์กลางแห่งจินตนาการและความสร้างสรรค์ ที่มีทั้งงานศิลปะแบบกราฟิตี้ งานเหล็ก งานประติมากรรม และภาพเขียนสมัยใหม่ ภายในห้องจัดแสดงผลงานที่มีสไตล์และแนวคิดเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป นอกจากนั้นภายในบริเวณยังมีทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ให้ผู้มาเยือนได้พักผ่อนอย่างอิ่มเอมใจ ไปพร้อมกับการนั่งดูผลงานศิลปะที่ตกแต่งไว้รอบด้านอีกด้วย