สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกท่าน เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ผมเคยใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่วัยเด็กแล้วว่า สักครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปแตะให้ได้ และแล้ววันนั้นมันก็มาถึง เย้เย้!
มาเริ่มกันเลยดีกว่า คือการไปเที่ยวโตเกียวครั้งนี้เป็นการจองเที่ยวบินข้ามปีของสายการบิน Thai Air Asia X ในราคา 12,500 บาท รวมน้ำหนักกระเป๋าอีก 25 กิโลกรัมทั้งขาไปและกลับ ส่วนที่พักผมจองโรงแรม New Tohoku ใกล้ๆ กับสวนอุเอโนะ
พอถึงสนามบินนาริตะผมก็ต่อคิวพบปะสังสรรค์กับ ตม.ญี่ปุ่น ทักทายกันตามปกติ ไม่ได้ซักถามอะไรเป็นพิเศษ พอผ่านออกมาก็เดินทางรถไฟเข้าเมืองครับ ผมเลือก Keisei แบบ Skyliner แล้วก็ซื้อตั๋ว 2 Day Pass ของรถไฟฟ้าใต้ดินมาเลย ราคาคุ้มค่าสำหรับนักท่องเที่ยวมากๆ
จากนั้นเราไปกันต่อที่วัดเซนโซจิ (Senso-ji) หรือวัดโคมแดงอาซากุสะที่คนไทยพูดกันติดปาก ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ออกทางออกที่ 1 แล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปอีก 300 เมตรก็จะเห็นโคมแดงสูงเด่นดึงดูดตา พอเดินผ่านประตูวัดชั้นแรกเข้าไปก็จะเจอกับถนนนากามิเสะ (Nakamise-dori)
ถนนนากามิเสะเป็นถนนขายของกว่า 90 ร้านค้า ตรงยาวมุ่งสู่กลางวัดเซนโซจิ สินค้าตามร้านพวกนี้ก็จะมีภาพวาดสีน้ำ พวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็น และที่ขาดไม่ได้เลยคือแมวกวัก ส่วนราคาก็ตั้งแต่ 400 เยนไปจนถึงหลานพันเยนเลยครับ
เข้ามาถึงในบริเวณวัดแล้วก็อย่ารอช้า ผมตรงไปยังบ่อน้ำรูปหัวมังกรเพื่อล้างไม้ล้างมือเป็นการล้างสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย โดยเริ่มจากล้างมือซ้าย ล้างมือขวา เทน้ำใส่มือซ้ายเพื่อบ้วนปาก ล้างมือซ้ายอีกครั้ง แล้วล้างกระบวยให้น้ำไหลลงมาในแนวตั้ง ก็เป็นอันจบ ติดๆ กันแถวนั้นจะมีร้านขายธูป ก็ไปซื้อธูปคนละ1 กำ ในราคา 100 เยน จุดธูปเสร็จก็นำไปปักบนกระถางธูปที่ตั้งอยู่กลางวัด พร้อมกับกวักควันธูปเข้าหาตัวเอง เชื่อว่าเป็นการนำสิ่งดีๆ เข้ามาสู่ชีวิต
เราไปต่อกันที่ด้านในของวัด ยืนด้านหน้าองค์พระประธานแล้วโค้งคำนับ 1 ครั้ง จากนั้นให้โยนเหรียญ 5 เยนลงไปในกล่องรับบริจาค (5 ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่าโกเอน ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่าเอนที่แปลว่าโชคดี) หลังจากนั้นก็โค้งคำนับอีก 2 ครั้ง ปรบมือตามอีก 2 ที และพนมมือขึ้นอธิษฐาน ตามด้วยโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้ง จากนั้นใครจะไปเสี่ยงเซียมซีก็แล้วแต่สะดวก โดยหยอดตู้ไป 100 เยน ถ้าโชคดีก็พับใส่กระเป๋า แต่ถ้าโชคไม่ดีก็เอาไปผูกไว้กับราวที่ทางวัดเตรียมไว้ให้
จากนั้นผมก็ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของเมืองโตเกียวในบริเวณทางเดินริมแม่น้ำสุมิดะ โดยเดินย้อนกลับไปทางสถานีรถไฟใต้ดินที่เดิม แต่ให้เลี้ยวซ้ายไปอีกทางหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่
วันที่ 2 เช้านี้ฝนตกปรอยๆ แต่เราก็เดินทางมุ่งหน้าไปพระราชวังอิมพีเรียล เราเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานี Nijubashimae จากนั้นเดินตรงขึ้นไปนิดหน่อย สักพักก็จะเจอกับสะพานนิจูบาชิหรือสะพานแว่นตานั่นเอง
หลังจากนั้นผมก็ไปต่อที่ศาลเจ้าเมจิครับ นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Meiji-jingu ‘Harajuku’ แล้วเดินออกมานอกสถานี เลี้ยวขวาก็ถึงเลย อยู่ใกล้กันมาก หน้าทางเข้าจะมีเสาโทริอิต้นใหญ่อยู่ ร่มรื่นมากครับ ต้นไม้เยอะมาก และที่เยอะพอๆ กับต้นไม้เลยก็คือนักท่องเที่ยว
เมื่อเข้าไปข้างในศาลเจ้าแล้ว เราก็ปฏิบัติเหมือนกับที่วัดเซนโซจิเลยครับ คือล้างไม้ล้างมือ เข้าไปโยนเหรียญในตัววัด ซึ่งวันที่ผมไปนั้นมีคนมาทำพิธีแต่งงานกันในนี้ด้วย ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเขาบอกผู้ที่จะมาทำพิธีแต่งงานในนี้ได้จะต้องเป็นคนมีฐานะพอสมควร เพราะค่าใช้จ่ายน่าจะสูง
เมื่อสงบจิตสงบใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปถนนนทาเคชิตะ ไปง่ายมากครับ แค่เดินย้อนไปทางเดิมกับตอนที่เราขึ้นรถไฟใต้ดินมาเท่านั้นเอง
ถนนทาเคชิตะเป็นถนนสั้นๆ ที่ขายพวกเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ชุดคอสเพลย์ มีร้าน Daiso ร้านขนมต่างๆ นานา มีแต่ของแปลกตาครับ เพลินดีเหมือนกัน แค่ดูคนเดินก็เพลินละ ยิ่งเดินคนก็ยิ่งเยอะ
พอหลุดจากถนนทาเคชิตะ ก็จะเป็นในส่วนของย่านฮาราจูกุล่ะครับ ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าเยอะมาก มีห้างโตคิว มี ร้านเสื้อผ้ามากมาย แต่ผมก็ไม่ได้แวะที่ไหนเลยเพราะไม่รู้จะซื้ออะไรดี เลยไปต่อที่ย่านชิบูย่า (Shibuya)
หลังจากข้ามไปข้ามไปข้ามมาสัก 5 รอบเห็นจะได้ก็หิวสิครับ เพราะใช้พลังงานในการข้ามถนนไปเยอะ แต่ปัญหาคือไม่รู้จะกินอะไร ผมเลยเปิดดูในพันทิปที่เขามารีวิวอาหารแถวชิบูย่าไว้ จับจุดได้ว่ามีร้านทงคัตสึอยู่ร้านหนึ่งในห้าง Mark ซึ่งเดินไม่ไกลมากนัก ก็เลยจัดการเปิดกูเกิลแมพแล้วเดินตามไปเลย ร้านชื่อ Wako ครับ ขายแค่ทงคัตสึเพียงอย่างเดียว รสชาติอร่อยเลยล่ะครับ ราคาเซ็ตนี้ประมาณ 1,500เยน หลังจากอิ่มก็เดินทางกลับโรงแรม
วันที่ 3 วันนี้มีภารกิจพาหลานสาวไปเที่ยวสวนสนุก Tokyo Disneyland สำหรับตั๋วผมซื้อมาจากเอเจนซี่ที่ไทยในราคาใบละ 1,950 บาท จะใช้เมื่อไหร่เวลาไหนก็ได้ แต่ราคาสำหรับเด็กผมจำไม่ได้ เราเดินทางโดยเริ่มจากนั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Maihama ก็ถึงแล้ว ไปง่ายมากครับ เมื่อออกมานอกสถานีแล้วเลี้ยวขวาไปนิดนึงก็ถึงทางเข้าสวนสนุก Disneyland แล้วครับ เห็นคนต่อคิวเยอะมากจนล้นออกมานอกสวนสนุก พอลองไปต่อแถวตามถึงได้รู้ว่าเราจะเจอกับสองด่านก่อน ด่านแรกคือด่านตรวจสัมภาระ เจ้าหน้าที่จะดูกระเป๋าเราเพื่อไม่ให้นำอาหารจากภายนอกเข้าไปข้างใน และด่านที่สองคือด่านสแกนตั๋วเข้าสวนสนุก
หลังจากนั้นก็ซื้อของฝากครับ ผมหน้ามืดมากซื้อทุกอย่างที่ในร้านมันมีขาย ตุ๊กตา หมวก พวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็น จานข้าวลายเจ้าหญิง กระติกน้ำร้อน แก้วเก็บความเย็น ฯลฯ หมดไปหลายหมื่นบาทไทย เลยอยากเตือนเพื่อนๆ ทุกคนว่าระวังมันไว้ให้ดีๆ ละกัน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เล่าสู่กันฟัง
วันที่ 4 เช้าวันนี้เราจะไปตลาดปลากัน ไปกินปลาดิบที่รอคอยมานานแสนนาน ตลาดปลาที่ว่าก็คือตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Fish Market) เป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนการเดินทางก็ง่ายๆ ครับ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานี Tsukiji ทางออกที่1 พอโผล่ขึ้นมาก็เดินไปทางซ้ายมือ จะเจอกับวัดซึกิจิ ฮองกันจิ ซึ่งเป็นมรดกโลกด้วย จากนั้นก็เดินเลยไปจะมีถนนให้ข้าม แล้วก็เจอกับทางเข้าตลาดปลาชั้นนอกครับ
พอเดินเข้าไปด่านแรกที่เจอก็คือหอยเชล์เผาตัวใหญ่ ซึ่งเขาใช้วิธีเบิร์นโดยการใช้ไฟเผาครับ ร้านติดๆ กันเลยก็คือทามาโกะยากิ หรือเรียกง่ายๆ คือไข่หวานดีราคา 120 เยน มีทั้งแบบร้อนและแบบเย็นให้เลือกได้ตามใจชอบ ผมเดินไปไม่ถึงตลาดปลาชั้นในนะครับ เพราะวันนี้ตื่นสาย คิดเอาเองว่าถ้าเข้าไปตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ดู เลยเดินแค่รอบนอก ผมเลยตัดสินใจตามหาร้านซูชิซันไม (Sushizanmai) เห็นเขาว่าอร่อยแล้วก็มีหลายสาขาด้วย ปรากฏมีหลายสาขาก็จริงครับแต่คนเต็มตลอด ผมเลยมองไปมองมาเจอร้านข้างๆ โล่งดีเลยเข้าร้านข้างๆ ครับ ชื่อร้านซูชิเซน (Sushisan) ผมเลือกกินซูชิที่เป็นหน้าโอโทโร่ (ส่วนท้องปลาทูน่า) พอเนื้อปลาเข้าปากเท่านั้นแหละ โอโห! น้ำตาจะไหลพรากๆ นี่แหละรสชาติแห่งความสดที่เราเฝ้าถวิลและตามหากันมาทั้งชีวิต ราคาก็ไม่แพงมาก เลยสั่งสลัดปูทาราบะต่ออีก 1 จาน และตามมาติดๆ ด้วยเซ็ตซูชิรมควัน
จากนั้นก็เดินซื้อของเรื่อยเปื่อย จำพวกอาหารทะเลตากแห้ง ระหว่างเดินก็สังเกตว่าตลาดปลาเขาสะอาดมากเลย เดินจนสาแก่ใจแล้วก็ไปต่อกันที่ย่านกินซ่า (Ginza) เป็นย่านที่ที่ดินราคาสูงที่สุดในโตเกียว อยู่ห่างจากตลาดปลาไปประมาณ 1-2 สถานี
เสร็จจากรปปงงิ ผมนั่งรถย้อนไปที่ชินจูกุ (Shinjuku) ย่านนี้จะคล้ายๆ ย่านชิบูย่า ถ้าอยากช้อปปิ้งผมแนะนำให้ไปชิบูย่าดีกว่า เพราะเดินทางสะดวกกว่า และไม่ไกลเท่าชินจูกุ แต่ผมมาที่นี่เพื่อตั้งใจจะมากินปูทาราบะ ซึ่งร้าน Kani Doraku เป็นร้านชื่อดังจากเมืองโอซาก้า แถมยังมีหลายสาขาให้เลือกใช้บริการในโตเกียวอีกด้วย สามารถเช็คสาขาได้ที่ http://douraku.co.jp.e.at.hp.transer.com/
ผมสั่งเซ็ตใหญ่มาหลายเซ็ต ราคาก็เริ่มตั้งแต่หลัก 100 เยน ไปจนถึง 10,000 เยน พวกเรากินกัน 4 คน พอเช็คบิลล์ออกมา ราคาประมาณ 20,000 กว่าเยน เกือบช็อกแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับรสชาติจากทะเลที่เราได้รับครับ
โดยผมต่อคิวเครื่องเล่นที่ชื่อว่า 20,000 Leagues Under the Sea ทางเข้าเครื่องเล่นจะต้องเดินลงไปที่ชั้นใต้ดิน เครื่องเล่นนี้ไม่ได้หวาดเสียวหรือโลดโผนโจนทะยานแต่อย่างใด เด็กๆ ก็เล่นได้ครับถ้าผู้ปกครองพาเข้า ตัวเครื่องเล่นจะเหมือนเรือดำน้ำ โดยให้เราเข้าไปนั่งข้างในแล้วมองทะลุกระจกออกมา ระหว่างทางก็จะเจอกับสัตว์ใต้น้ำที่มีทั้งแบบน่ารักแปลกตา ไปจนถึงน่ากลัว มีร่องรอยอารยะธรรมเก่าแก่ที่จมใต้น้ำด้วย
ต่อไปได้เวลา Fast Pass ของเครื่องเล่นตัวหนึ่งซึ่งอยู่โซนเดียวกับ Toy Story นั่นก็คือ Tower of Terror อันนี้เด็กเล่นไม่ได้ครับ ผู้ใหญ่บางคนถ้าไม่แน่จริงก็ไม่แนะนำให้เล่น โดย Tower of Terror เป็นเครื่องเล่นประเภท สกายดรอปคือทิ้งดิ่งลงมาในแนวตรงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ซึ่งข้างในจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติของเจ้าของบ้านที่เป็นนักสะสมของเก่า แล้วเกิดเสียชีวิตเพราะอาถรรพ์ของวัตถุโบราณชิ้นหนึ่ง อาคารนี้เลยกลายเป็นอาคารร้าง พอเราไปนั่งบนที่นั่งของเครื่องเล่น พนักงานก็จะให้เราล็อกเข็มขัด ที่นั่งมันก็จะเลื่อนไปตามทาง แล้วในขณะที่กำลังเล่าเรื่องราวต่างๆ พอกำลังเคลิ้มๆ มันก็จะกระชากขึ้นไปบนยอดตึกด้วยความเร็วแล้วทิ้งดิ่งลงมาด้วยความเร็วที่แรงมาก คือมันเร็วมาก เร็วจนตั้งตัวไม่ถูก เกือบตายตามเจ้าของบ้านตัวจริงไปเลย
เสร็จสิ้นภารกิจตามล่าหาความสนุกของ Disneyland และ Disney sea แล้วล่ะครับ ข้อแนะนำคือถ้าพาเด็กเล็กไปด้วย ไปเที่ยวที่ Disneyland น่าจะเหมาะกว่า เพราะเครื่องเล่นเด็กๆ เล่นได้เยอะ พาเหรดมีบ่อยทุกๆ 2 ชั่วโมง ร้านอาหารเยอะและกว้างมาก รอคิวไม่นาน ส่วน Disney sea นั้นผมว่าเหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่า แต่ถ้าเด็กๆ ติดไปด้วยก็มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กพอสมควร พาเหรดก็ตื่นตาตื่นใจดี แสดงกันกลางน้ำเลย สรุปง่ายๆ อีกทีคือไปทั้ง 2 ที่เถอะครับ