ด้วยกระแสที่มาแรงสุดๆ หลายคนก็อยากลองเปิดใจไปเที่ยวจีนกันบ้างแล้ว แต่ทุกครั้งที่เดินทางไปในประเทศที่ไม่คุ้นเคย อาจจะมีความกังวลว่าจะต้องเตรียมตัวยังไง เอาอะไรไปบ้าง หรือต้องจ่ายเงินด้วยวิธีไหน วันนี้พี่เห็ด มัชรูมทราเวล มาแชร์วิธี เตรียมตัวไปจีน ให้เพื่อนๆ ที่กำลังจะไป เที่ยวจีน เป็นครั้งแรก พร้อมเส้นทางสวยๆ น่าเที่ยว จะมีที่ไหนบ้างไปดูกัน !
เตรียมตัวก่อนเที่ยวจีน
1. เตรียมเอกสาร (ไม่ต้องขอวีซ่า)
สิ่งแรกที่ต้องทำในการ เตรียมตัวไปจีน คือ เตรียมเอกสารที่จำเป็นให้ครบ หลักๆ คือ ตั๋วเครื่องบิน หนังสือเดินทาง (Passport) และเอกสารยืนยันการจองที่พัก ส่วนวีซ่านั้นไม่จำเป็นเลยค่ะ เพราะจีนเปิดฟรีวีซ่าให้ไทยมาตั้งแต่ต้นปี 2567 โดยแต่ละครั้งสามารถอยู่ในจีนได้ไม่เกิน 30 วัน และรวมสูงสุดไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 180 วัน
2. ปลั๊ก
ปลั๊กไฟที่จีนส่วนใหญ่จะใช้ 2 แบบ คือ Type A เป็นช่องเสียบปลั๊กขาแบน 2 ขา หรือแบบที่เราใช้กันทั่วไป และ Type I เป็นช่องเสียบปลั๊กขาแบน 3 ขา ที่ไทยไม่ใช้ โดยใช้กระแสไฟฟ้า 220 V เช่นเดียวกันกับไทย ถ้าใครอุปกรณ์เยอะ ต้องชาร์จทั้งมือถือ กล้อง โน้ตบุ๊ก พาวเวอร์แบงค์ ฯลฯ หรือจะใช้ปลั๊กแบบ 3 ขา ก็ควรพกปลั๊กพ่วงไปด้วย แต่ถ้าใครชาร์จมือถืออย่างเดียวก็ใช้ได้สบายๆ เลยค่ะ และมีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่าหากจะซื้อปลั๊กเดินทางต่างประเทศ (Universal adapter) ควรเลือกแบบที่ได้มาตรฐาน จากร้านที่น่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัย
3. การใช้อินเทอร์เน็ต
สมัยนี้ไปไหนก็ขาดอินเทอร์เน็ตไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่กำลัง เตรียมตัวไปจีน ก็ควรสมัครหรือเปิดใช้บริการอินเทอร์เน็ตเอาไว้ให้พร้อมเลย พี่เห็ดไม่แนะนำให้ซื้อซิมที่จีน เพราะค่อนข้างยุ่งยาก และใช้งานบางโซเชียลไม่ได้ เช่น Line, Facebook หากจะใช้ก็ต้องติดตั้ง VPN เพิ่มอีก แนะนำ 3 วิธี คือ ซื้อซิมจากที่ไทย, เปิดโรมมิ่ง หรือใช้ Pocket Wi-fi ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน ดังนี้
1. ซื้อซิมจากไทย
ข้อดี : ถูกกว่าเปิดโรมมิ่ง เล่นโซเชียล หรือทำธุรกรรมธนาคารได้ทุกแอป
ข้อเสีย : ต้องเปลี่ยนซิม และบางแอปอาจใช้งานไม่ได้ เช่น แอปที่ส่ง OTP เข้าเบอร์เดิม
2. เปิดโรมมิ่ง
ข้อดี : ไม่ต้องเปลี่ยนซิม เล่นโซเชียล หรือทำธุรกรรมธนาคารได้ทุกแอป
ข้อเสีย : หากมีการรับสาย โทรออก จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
3. Pocket Wi-fi
ข้อดี : ราคาถูก เหมาะสำหรับคนใช้เน็ตเยอะ หากไปเที่ยวหลายคนสามารถแชร์กันได้
ข้อเสีย : ต้องพกติดตัว และต้องคอยชาร์จแบตเตอรี่ของตัวปล่อยสัญญาณ หากใช้พร้อมกันความเร็วอาจจะลดลง อีกทั้งยังส่งสัญญาณได้ในระยะจำกัด ถ้าแยกกันเที่ยวคนที่อยู่ห่างจาก Pocket Wi-fi มากจะใช้งานไม่ได้
4. การใช้จ่ายในจีน
หลายคนกังวลเรื่องการใช้จ่าย เพราะเห็นว่าปัจจุบันคนจีนไม่ใช้เงินสดกันแล้ว แต่จริงๆ เวลาไป เที่ยวจีน ยังใช้เงินสดได้นะคะ และควรมีเผื่อไว้ด้วยในกรณีที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี ส่วนวิธีจ่ายเงินแบบอื่นๆ ที่ควรเตรียมไว้ เช่น
1. Alipay หรือ Wechat Pay
สองแอปนี้เรียกว่าเป็นแอปฮิตเลยค่ะ ใช้จ่ายได้หมด ไม่ว่าจะสั่งอาหาร เรียกแท็กซี่ จ่ายค่ารถไฟใต้ดิน ค่าที่พัก หรือช้อปปิ้งในร้านที่มีสัญลักษณ์ Alipay วิธีสมัครก็ง่ายมาก แค่โหลดแอป ลงทะเบียน แล้วผูกกับบัตรเครดิต ก็ใช้สแกนได้เลย ซึ่งพี่เห็ดได้ทำคลิป >> How to ใช้งาน Alipay ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทำตามขั้นตอนได้เลย
2. TrueMoney
ส่วนใครที่ใช้ TrueMoney อยู่แล้วไม่ต้องโหลด Alipay เพิ่มเลยค่ะ เติมเงินให้พร้อม ก็สามารถสแกนจ่ายทุกร้านที่มีสัญลักษณ์ Alipay ผ่านแอปนี้ได้เลย ครอบคลุมทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม ฯลฯ เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถเช็กเรทเงินที่หน้าสแกนจายได้ทุกวันอีกด้วย
3. บัตร Travel Card
Travel Card เป็นบัตรเดบิตรูปแบบหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่เดินทางบ่อย ไม่อยากพกเงินสดเยอะ สามารถเลือกสมัครกับธนาคารไหนก็ได้ในไทยที่มีให้บริการ ซึ่งพี่เห็ดรวบรวมข้อมูลไว้ให้แล้ว >> เปรียบเทียบ 7 บัตร Travel Card ไปต่างประเทศ ข้อดีคือใช้กดเงินจากตู้ ATM ในต่างประเทศได้ด้วย เวลาจ่ายเงินก็รูดได้เลย เรทแลกเปลี่ยนดีกว่า และไม่มีค่าความเสี่ยง 2.5% ด้วย
สำหรับใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม พี่เห็ดรวบรวมข้อมูลไว้ที่ >> รวมวิธีจ่ายเงินในจีนสุดสะดวก ไม่ยุ่งยาก ฉบับมือใหม่
สภาพอากาศในจีน
ก่อนจัดกระเป๋า เตรียมตัวไปจีน อย่าลืมเช็กสภาพอากาศกันด้วย เพราะจีนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้อุณหภูมิของแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ทางใต้จะอบอุ่นกว่าทางเหนือ โดยรวมแบ่งได้เป็น 4 ฤดู คือ
ฤดูใบไม้ผลิ : มีนาคม – พฤษภาคม
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่น่าเที่ยว เพราะอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น แต่ยังไม่ร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 17 องศาเซลเซียส และยังเป็นช่วงเวลาที่ดอกซากุระบานในหลายๆ เมืองด้วยค่ะ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ อู๋ซี ชิงเต่า อู่ฮั่น ไปเก็บข้อมูลได้ที่ >> 10 พิกัด จุดชม ซากุระ จีน พร้อมช่วงเวลาแนะนำ รับรองว่าไม่เสียเที่ยวแน่นอน
ฤดูร้อน : มิถุนายน – สิงหาคม
ฤดูร้อนทางใต้ของจีนอากาศพอๆ กับบ้านเราเลยค่ะ แต่ทางเหนือจะเย็นกว่า อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 25 – 33 องศาเซลเซียส และอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่มีฝนตกมากที่สุดของปี แต่ทิวทัศน์สวยงามเป็นพิเศษ ธรรมชาติเขียวชอุ่ม เห็นแล้วสดชื่น คนนิยมไปเที่ยวแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือทุ่งหญ้า
ฤดูใบไม้ร่วง : กันยายน – พฤศจิกายน
อีกหนึ่งฤดูที่เหมาะสำหรับการไป เที่ยวจีน อากาศจะเริ่มเย็นลง ท้องฟ้าแจ่มใส ได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสี อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15 – 27 องศาเซลเซียส ใครจะไปเที่ยวช่วงนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงช่วงวันชาติจีน ประมาณต้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นวันหยุดยาว เพราะนักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษ
ฤดูหนาว : ธันวาคม – กุมภาพันธ์
ฤดูหนาวของจีนอากาศหนาวและแห้ง เมืองที่อยู่ทางเหนือ เช่น ปักกิ่ง เทียนจิน ฮาร์บิน ซินเจียง จะมีหิมะตก อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 0 ถึง 6 องศาเซลเซียส บรรยากาศรอบๆ ถูกปกคลุมด้วยสีขาว ดูโรแมนติก และยังเหมาะสำหรับการเล่นกีฬาฤดูหนาวด้วย ส่วนทางใต้อากาศอบอุ่นกว่า
การเดินทางในจีน
1. รถไฟใต้ดิน
ปัจจุบันเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู คุนหมิง ฯลฯ มีรถไฟใต้ดินทุกที่ เชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ เข้าไว้ด้วยกัน ราคาเริ่มต้นประมาณ 3 หยวน หรือประมาณ 15 บาท ในระยะ 6 กิโลเมตรแรก หลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้น 1 หยวนทุกๆ 6 กิโลเมตรที่เดินทางต่อไป ส่วนใหญ่สุดสายก็ไม่เกิน 10 หยวน สามารถกดซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติที่สถานีได้เลยค่ะ
2. แท็กซี่
ค่าแท็กซี่ในจีนจะต่างกันในแต่ละเมือง โดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่ 13 หยวน หรือประมาณ 60 บาท สำหรับ 3 กม.แรก จากนั้นจะเพิ่มขึ้นครั้งละ 2.3 หยวน/กิโลเมตร และหลัง 15 กิโลเมตรขึ้นไปจะเพิ่มเป็น 3.5 หยวน/กิโลเมตร โบกเรียกได้เหมือนอยู่ที่ไทย ค่าโดยสารคิดตามมิเตอร์ แต่จะนั่งได้คันละไม่เกิน 4 คนเท่านั้นนะ เมื่อถึงถึงปลายทางสามารถขอใบเสร็จได้ด้วย
สำหรับคนที่พูดภาษาจีนไม่ได้ สามารถเปิดชื่อสถานที่ให้คนขับดู หรืออีกวิธีง่ายๆ ให้ใช้แอป “Didi” เป็นแอปภาษาอังกฤษ ใช้งานเหมือน Grab เลยค่ะ ถ้ามี Alipay อยู่แล้วสามารถกดจากใน Alipay ได้เลย หรือจะจ่ายผ่านบัตรเครดิต, We Chat ก็ได้ เพียงแค่ปักหมุดต้นทาง – ปลายทาง จากนั้นก็เลือกรถ ระบบจะตัดเงินจากในแอป แล้วก็รอให้คนขับมารับได้เลย
3. รถไฟความเร็วสูงสำหรับเดินทางระหว่างเมือง
ส่วนคนที่ต้องการเดินทางข้ามเมือง สามารถใช้รถไฟความเร็วสูงได้ ซึ่งทำความเร็วประมาณ 200 – 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้เดินทางได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จะซื้อตั๋วที่สถานี หรือจองผ่าน Alipay ก็ได้ โดยกดเข้าไปที่ Trip Airline Ticket แล้วเลือกเป็น Train จากนั้นปักหมุดต้นทาง – ปลายทาง เลือกวันที่ และกดตัวเลือก High-speed trains only ก็จะมีเที่ยวรถไฟขึ้นมาให้เลือก พร้อมราคาเลยค่ะ
เส้นทางแนะนำ
1. เซี่ยงไฮ้
เซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของจีน เป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุด และมีประชากรเยอะที่สุดในประเทศ ได้ฉายาว่าเป็น “นครปารีสแห่งตะวันออก” เพราะเต็มไปด้วยตึกสวยๆ สไตล์ยุโรป ที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก วิวริมแม่น้ำหวงผู่ก็สวยงามมาก เหมาะแก่การมาเล่นชิลๆ และยังขึ้นชื่อเรื่องแหล่งช้อปปิ้งด้วย ใครเน้นช้อป เน้นกิน มา เที่ยวจีน เมืองนี้ไม่ผิดหวัง
ที่เที่ยวแนะนำ : เดอะบันด์ (The Bund), หอไข่มุกตะวันออก (The Oriental Pearl Tower), เซี่ยงไฮ้ ดิสนีย์แลนด์ (Shanghai Disneyland), สวนอี้หยวน (Yuyuan Garden), ถนนนานจิง (Nanjing Road), ตลาดร้อยปีเฉิงหวังเมี่ยว (Chen Wang Miao)
2. ปักกิ่ง
ปักกิ่ง เป็นเมืองหลวงของจีน มีอายุกว่า 3,000 ปี แม้เป็นเมืองเก่าแต่ก็มีความมีความเจริญ และทันสมัยมาก เป็นศูนย์กลางในทุกด้าน ทั้งการปกครอง เศรษฐกิจ การคมนาคม มีทั้งมรดกโลกที่น่าทึ่ง ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และอาคารสูงดีไซน์ล้ำๆ การเดินทางในเมืองหรือข้ามเมืองก็สะดวกสบาย มีเสน่ห์ที่สวยงามทุกฤดู ไม่ว่าจะเป็น วิวซากุระ ใบไม้เปลี่ยนสี หรือหิมะสีขาวโพลน สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูเลย
ที่เที่ยวแนะนำ : กำแพงเมืองจีน (Great Wall of Chaina), พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City), พระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace), หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Tian Tan Temple of Heaven), จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tian an Men or Gate of Heavenly Peace)
3. จิ่วจ้ายโกว
จิ่วจ้ายโกว เป็นอุทยานแห่งชาติกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน เป็นที่ เที่ยวจีน ระดับ 5A ที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมาก และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ด้วย ตอบโจทย์คนรักธรรมชาติมาก ทิวทัศน์สวยงามและหลากหลาย มีทั้งภูเขา ป่าไม้ น้ำตก ทะเลสาบสีฟ้าใส ไฮไลต์คือ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง วิวใบไม้เปลี่ยนสีอลังการ ได้มาเห็นกับตาแล้วบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก
ที่เที่ยวแนะนำ : ทะเลสาบห้าสี (Five Flower Lake), ทะเลสาบยาว (Long Lake), ทะเลสาบแรด (Rhino Lake), ทะเลสาบกระจก (Mirror Lake), ทะเลสาบนกยูง (Peacock Lake), น้ำตกธารไข่มุก (Pearl Shoals Waterfall), หมู่บ้านซูเจิง (Shuzheng Village)
4. ลี่เจียง – แชงกรีล่า
ลี่เจียง – แชงกรีล่า เป็นเส้นทางที่อยู่ในเขตมณฑลยูนนาน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง หุบเขา และป่าไม้ จึงมีที่เที่ยวธรรมชาติสวยๆ เยอะ สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู นอกจากนี้ยังมีบรรยากาศของเมืองโบราณ และสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิกให้ชม ทางฝั่งลี่เจียงจะเป็นสไตล์จีน ส่วนแชงกรีล่ากจะเป็นสไตล์ทิเบต ได้หลายอารมณ์ในทริปเดียว
ที่เที่ยวแนะนำ : ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain), ช่องแคบเสือกระโจน (Hutiaoxia Gorge), ทะเลสาบไป๋สุ่ยเหอ และหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน (Blue Moon Valley), วัดซงจ้านหลิน (Songzanlin Monastery, Ganden Sumtseling Monastery), วัดต้าฝอ (Dafo Temple)
5. เฉิงตู
เฉิงตู เป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน และเป็นศูนย์กลางความเจริญของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม วัดโบราณที่อนุรักษ์ไว้อย่างดี ตลอดจนบรรยากาศของเมืองที่ทันสมัย มา เที่ยวจีน เมืองเดียวได้ครบทุกอย่าง ค่าครองชีพถูก เดินทางง่าย และยังได้รับคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็น “เมืองแห่งอาหาร” ด้วย ของกินอร่อยๆ เต็มไปหมด ใครอยากสัมผัสรสชาติแบบต้นตำรับต้องมา !
ที่เที่ยวแนะนำ : จิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou), ภูเขาสี่ดรุณี (Siguniangshan), อุทยานแห่งชาติหวงหลง (Huanglong Scenic Valley), พระใหญ่เล่อซาน (Leshan Giant Buddha), ถนนโบราณจินหลี (Jinli Ancient Street)
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลัง เตรียมตัวไปจีน ครั้งแรกนะคะ จริงๆ แล้วประเทศนี้เที่ยวง่าย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ การเดินทาง หรือการจ่ายเงินสะดวกมาก แต่ถ้าใครยังกังวล กลัวจะไปไม่ถูก สื่อสารไม่เข้าใจ จอง ทัวร์จีน ไปกับพี่เห็ด มัชรูมทราเวล ได้เลย มีเส้นทางให้เลือกเยอะมาก อยากเที่ยวแบบไหนก็พร้อมจัดให้ แล้วไปสนุกด้วยกันนะ !