Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

3D2N คู่มือพิชิตยอดฟูจิ Fujisan คาวากุจิโกะ Kawaguchiko โตเกียว Tokyo คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 2

โพสเมื่อ

มาชมรีวิว เที่ยวญี่ปุ่น สายลุย จาก Guest สุดพิเศษกันต่อ จาก ตอนที่ 1 ที่ได้เริ่มต้นการ ปีนเขา ฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ผ่านจุดพักต่างๆ จนเดินทางใกล้ถึงยอดเขากันแล้ว เส้นทางการพิชิตยอดฟูจิครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อ ไปชมกันเลยค่ะ


3D2N คู่มือพิชิตยอดฟูจิ Fujisan คาวากุจิโกะ Kawaguchiko โตเกียว Tokyo คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 2

Day2-6    โค้งสุดท้ายพิชิตยอดภูเขาฟูจิ ! เดินทางจากสถานีหลักที่ 8 ไปจนถึงยอดเขาเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น
Day3-1    เดินเส้นทางรอบปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ “โอะฮาจิเมกุริ (OHACHI-MEGURI)” เพื่อพิชิตจุดที่สูงที่สุดของภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
Day3-2    เดินลงภูเขาฟูจิไปจนถึงสถานีที่ 5 และเดินทางไปยังคาวากุจิโกะ - Fujisan Pass
Day3-3   เข้าเช็คอินที่พัก「HOTEL MYSTAYS FUJISAN」พร้อมทานเนื้อย่าง Gyushige เลี้ยงฉลองความสำเร็จในการพิชิตภูเขาฟูจิ
Day3-4   จบทริป! เดินทางจากโรงแรม 「HOTEL MYSTAYS FUJISAN」ไปสู่สนามบินนาริตะเพื่อกลับประเทศไทย


Day2-6 โค้งสุดท้ายพิชิตยอดภูเขาฟูจิ ! เดินทางจากสถานีหลักที่ 8 ไปจนถึงยอดเขาเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น

เมื่อออกมาด้านนอก “โทโมเอะคัง” ก็จะเห็นนักเดินทางเต็มไปหมดเลยค่ะ ภูเขาไฟฟูจิที่จะเปิดให้ปีนเขาได้เพียง 2 เดือนในรอบปี เมื่อเข้าสู่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะมีผู้คนเดินทาง ปีนเขา ฟูจิ กันเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเส้นทางสถานีที่ 7 ไปจนถึงยอดเขาจะมีนักปีนเขาจำนวนมากแออัดอยู่บริเวณเส้นทางปีนเขาแคบๆ จนการจราจรติดขัดเลยค่ะ โดยปกติแล้วจะใช้เวลาในการเดินทางจาก “โทโมเอะคัง” ไปจนถึงยอดเขาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าการสัญจรแออัดแบบนี้ก็จะใช้เวลามากขึ้นไปเกือบเท่าตัวเลยค่ะ

ระหว่างทางจากสถานีหลักที่ 8 ไปจนถึงยอดเขาจะมีห้องน้ำอยู่ 1 ที่เท่านั้น ก่อนออกเดินทางควรจะทำธุระเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย รับข้าวกล่องสำหรับอาหารเช้าและออกเดินทาง ที่โทโมเอะคังจะมีบริการรับฝากของชั่วคราวสำหรับผู้เข้าพักเท่านั้น เพราะฉะนั้นสามารถฝากสัมภาระที่ไม่จำเป็นเอาไว้ที่นี่ได้ ถ้าเป็นปกติแล้วแค่ของหนักไม่กี่กรัมก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่ถ้าต้องปีนไต่ขึ้นเขาขนาดนี้ ถ้าเอาอะไรออกได้ก็ควรเอาออกให้หมดเลยค่ะ เป็นบริการที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปถึงยอดเขาเลยนะคะ

เดินไปตามเส้นทางแสงไฟฉายติดศรีษะของนักเดินทาง ปีนเขา ฟูจิ แต่ละคน ไปตามทางแคบๆ เรื่อยๆ เมื่อหันกลับไปมองด้านหลังก็จะเห็นแสงไฟจากทะเลสาบยามานากะและเมืองคาวากุจิโกะ และที่เห็นอยู่ใกล้ๆ เป็นทางยาวก็คือ แสงไฟจากไฟฉายติดศรีษะของคนที่กำลังปีนขึ้นมาบนยอดภูเขาฟูจิ

เมื่อมองวิวภูเขาฟูจิจากด้านล่างในตอนกลางคืนก็จะเห็นวิวประมาณนี้เลยค่ะ แสงไฟจากไฟฉายติดศรีษะที่แต่ละอันไม่ได้สว่างมากนัก แต่เมื่อมาอยู่รวมกันนับพันดวงแล้วก็จะเห็นเด่นชัดสวยงามเป็นทางยาวเลยค่ะ ถ้าใครได้พักโรงแรมหรือที่พักใกล้ๆ ภูเขาฟูจิในช่วงเดือนกรกฏาคมไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคมก็ลองชมวิวภูเขาฟูจิตอนกลางคืนประมาณ ตี 1 ถึง ตี 3 ดูนะคะ เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าเลยค่ะ

ออกจากสถานีหลักที่ 8 ไปประมาณ 30 นาทีก็จะผ่าน “โกไรโคคัง” ของ 8 go and 5 shaku(3450m)ซึ่ง “โกไรโคคัง” จะเป็นกระท่อมที่พักสุดท้ายของเส้นทางเดินไปสู่ยอดเขา ถ้ามาถึงจุดนี้แล้วยอดเขาก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วค่ะ ถ้าการจราจรไม่ติดขัดก็จะใช้เวลาเดินขึ้นไปเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

เมื่อผ่าน 8 go and 5 shaku มาแล้วเส้นทางขึ้นเขาก็จะชันขึ้นทันทีเลยค่ะ เป็นเส้นทางประมาณ 600m ระยะทางนี้ถ้าเป็นทางราบก็จะใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที แต่เราจะต้องปีนไต่ขึ้นไปตามทางชัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ ซึ่งเมื่อมองไปด้านบนในช่วงเส้นทางระหว่าง 8 go and 5 shaku ไปจนถึงยอดเขาก็จะเห็นเสาโทริอิอยู่ 2 อัน แต่ตอนที่ ไปเป็นเวลากลางคืนเพราะฉะนั้นเราไม่เห็นอะไรเลยค่ะ โดยโทริอิแรก (ในวงกลมสีเหลือง) ก็คือสถานีที่ 9 ส่วนโทริอิที่อยู่ถัดไป (ในวงกลมสีส้ม) ก็คือยอดเขาค่ะ และแล้วเราก็มาถึงจุดที่สามารถมองเห็นยอดเขาแล้ว ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วก็ถือว่าอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ใช้พลังที่เหลือทั้งหมดพิชิตยอดภูเขาฟูจิกันเลย

ตั้งใจปีนขึ้นเกินไปจนไม่ได้มองขึ้นไปบนฟ้าเลยค่ะ ซึ่งถ้าได้นั่งบริเวณโทริอิที่สถานีที่ 9 แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะได้เห็นวิวหมู่ดาวที่อยู่บนท้องฟ้านับหลายร้อยดวงสวยงามมากๆ เป็นวิวที่น่าตื่นตาจนสามารถลืมความเหนื่อยและความหนาวไปได้เลยค่ะ อารมณ์เหมือนได้เป็นนักบินอวกาศเลยค่ะ

เมื่อเข็มนาฬิกาชี้มาที่เลข 3 ฟ้าก็จะเริ่มสว่างขึ้นมานิดนึงแล้วค่ะ เป็นแสงสลัวที่มีทั้งสีขาว สีฟ้า และสีส้มรวมกัน พร้อมๆ กับแสงไฟฉายติดศรีษะ ถัดไปก็คือวิวของชิราคาวาโกะ และฟูจิโยชิดะ

เมื่อผ่านสถานีที่ 9 มาแล้วก็จะเขาสู่เส้นทางหินชัน เป็นทางหินชันที่ชันกว่าสถานีที่ 7 แต่จะมีคนเดินทางอยู่ตลอดทางเพราะฉะนั้น ค่อยๆ เดินตามกันไปก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ถึงแม้ว่าคนด้านหลังจะประชิดเข้ามาใกล้ก็ไม่ต้องกังวลนะคะเดินตามความเร็วของตัวเองเลยค่ะ

เดินจากสถานีที่ 9 มาประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึงโทริอิที่เป็นทางเข้ายอดเขาของ “ศาลเจ้าโอคุมิยะ”「OKUMIYA」แล้ว ถ้ามาถึงจุดนี้แล้วยังไงเราก็จะไปถึงยอดเขาแน่นอนค่ะ เมื่อคำนวนเวลาดูแล้ว เราใช้เวลาเดินทางจากสถานีที่ 5 มาประมาณ 10 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าถ้าเทียบเวลาเฉลี่ยทั่วไปแล้วเราจะใช้เวลาเยอะกว่ามาก แต่ก็สามารถปีนขึ้นมาสู่ยอดได้สำเร็จปลอดภัยค่ะ

เวลาพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงเดือนกรกฏาคมจะอยู่ที่ประมาณตี 4:30 น. เมื่อใกล้ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นก็จะมีกลุ่มคนจำนวนมากออกมารวมตัวกันอยู่ แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เมื่อถึงยอดเขาแล้วไปทางซ้ายมือ ผ่านทางเดินเรียบที่พักไปก็จะมีที่ให้นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ

ภูเขาฟูจินี้ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาปีนขึ้นเขาจำนวนมากถึง 4,000 คนต่อวัน ซึ่งจะมีผู้ที่สามารถพิชิตยอดเขาอยู่ 2,500 คน และจำนวนกว่าครึ่งจะไหว้พระอาทิตย์ขึ้น นักท่องเที่ยวแต่ละคนดูดีใจที่ได้ปีนขึ้นมาสู่ยอดเขาสำเร็จ อีกทั้งยังได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในบรรยากาศแบบนี้ด้วย

และเวลาพระอาทิตย์ขึ้นของวันนี้ก็คือ เวลาตี 4:35 น. ค่ะ วันนี้มีเมฆลอยต่ำ ทำให้ไม่สามารถชมพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากเส้นขอบฟ้าได้ แต่ได้ชมพระอาทิตย์ที่กำลังลอยขึ้นอยู่ในเมฆ เหมือนเพชรที่กำลังส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า เป็นวิวที่คนญี่ปุ่นเองก็อยากมาซักครั้งในชีวิต อยู่ตรงหน้าเราในตอนนี้ เราจะได้ยินเสียง “บันไซ ! บันไซ !” (คำพูดดีใจของญี่ปุ่น เหมือน “ไชโย”) มาจากที่ต่างๆ เลย

เมื่อผ่านช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว บรรยากาศโดยรอบก็เหมือนได้อยู่ในอวกาศเลยค่ะ ทั้งแสงอาทิตย์ที่กระทบกับทะเลเมฆ แล้วทะเลสาบยามานากะที่ส่องประกายเด่นขึ้นมา เป็นวิวที่สวยมากๆ เลยค่ะ

ดื่มด่ำกับบรรยากาศวิวที่อยู่ตรงหน้าจนเต็มอิ่มแล้ว ก็จะเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบๆ ยอดภูเขาฟูจิกันต่อเลยค่ะ ก่อนอื่นเราจะมุ่งไปที่โทริอิ ของ “ศาลเจ้าโอคุมิยะ” บนยอดเขาที่เราผ่านมาเมื่อซักครู่

ภายในบริเวณนี้จะมีทั้ง เครื่องรางของคลัง เหมือนศาลเจ้าที่อยู่ในเมืองเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมี เซียมซี และแผ่นไม้ขอพร “เอมะ” ให้ได้เขียนขอพรกันอีกด้วย ซึ่งเครื่องรางส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องรางที่สามารถหาซื้อได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น เหมาะสำหรับการซื้อไปฝากครอบครัว และเพื่อนๆ หรือจะซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกในการได้พิชิตยอดเขาก็น่าสนใจดีนะคะ

ภายในบริเวณนี้จะมี「จุดประทับตราไม้เท้า(頂上つえ印所)」หากใครได้ถือไม้เท้าขึ้นมาด้วยก็สามารถประทับตราได้ที่นี่เลย (500 เยน) ตามที่ต่างๆ เช่น ที่พัก หรือสถานที่ที่อยู่บนยอดเขาทุกที่จะมีสแตมป์ไม้เท้าที่เป็นลายเฉพาะของแต่ละที่อยู่ไม่ซ้ำกัน สามารถประทับตราไปเรื่อยๆ เพื่อสะสมสแตมป์เหมือน Stamp Rally ได้เลย หรือจะสะสมไปเป็นของฝากก็ได้ แต่อาจจะลำบากตอนขนกลับที่ต้องถือขึ้นเครื่องหรือฝากสัมภาระตอนขึ้นเครื่องเล็กน้อย


Day3-1 เดินเส้นทางรอบปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ “โอะฮาจิเมกุริ (OHACHI-MEGURI)” เพื่อพิชิตจุดที่สูงที่สุดของภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

การเดินทางค่าใช้จ่าย Day 3

ด้านหลังศาลเจ้าก็คือ ปากปล่องภูเขาไฟของฟูจิที่เรียกว่า “โอะฮาจิ”「OHACHI」หรือ “ไดไนอิน”「DAINAIIN」และฝั่งตรงข้ามปากปล่องภูเขาไฟจะเป็นจุดที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นบนความสูง 3,776m ที่เรียกว่า “เค็นกะมิเนะ”「KENGAMINE」

ซึ่งจุดที่เราอยู่ตอนนี้ก็คือ เสาโทริอิที่อยู่ในวงกลมสีเหลือง โดยเส้นทางเดินรอบปล่องภูเขาฟูจิ “โอะฮาจิเมกุริ (OHACHI-MEGURI)” จะเริ่มจากจุดนี้วนตามเข็มนาฬิกา ซึ่งเวลาโดยประมาณในการวนรอบปล่อง 1 รอบก็คือ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพอากาศ ระหว่างทางเราจะได้เจอกับน้ำพุประหลาด “กินเมซุย”「GINMEISUI」ที่ฝุดขึ้นมาบริเวณยอดภูเขา หรือ “ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น โอคุมิยะ”「FUJI SENGEN OKUMIYA SHRINE」อีกทั้งยังมีจุดที่สามารถส่งไปรษณีย์จากยอดภูเขาไฟได้อีกด้วย

โดยก่อนที่เราจะออกเดินทางวนรอบเส้นทางเดินรอบปล่องภูเขาฟูจิ เราจะทานอาหารเช้าที่ได้จากที่พักที่เราพักเมื่อคืนที่ “โทโมเอะคัง สถานีหลักที่ 8”「Original 8th Stn. Tomoekan」เป็นเมนูปลาแซลมอน บนข้าวอบทรงเครื่อง ผักดอง และไข่ม้วน ถึงจะอยู่บนยอดภูเขาไฟฟูจิแต่ก็ได้ทานอาหารญี่ปุ่นตั้งแต่เช้าเลยค่ะ บนยอดเขาสูงที่มีความกดอากาศต่ำ และมีปริมาณออกซิเจนเบาบางนี้ อาจทำให้บางคนไม่รู้สึกอยากอาหาร แต่เราทานจนหมดเกลี้ยงเลยค่ะ อร่อยมากๆ ซึ่งพนักงานที่ที่พักได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ถึงแม้จะไม่รู้สึกอยากอาหารหรือไม่หิว ก็จำเป็นต้องกินข้าวให้หมดเพื่อเติมพลังให้กับร่างกาย เนื่องจากขาลงจะต่างจากขาขึ้นตรงที่ ขาขึ้นจะมีจุดพักอยู่หลายจุด แต่ขาลงจะมีอยู่เพียงจุดเดียวเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ได้รับเจ็บหรือประสบภัยต่างๆ กว่าครึ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการลงเขา หรือหมดแรงระหว่างทางนั่นเอง

เมื่อทานอาหารเช้าเติมพลังงานเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางเดินรอบปล่องภูเขาฟูจิกันแล้ว ก่อนอื่นเราจะหันหน้าออกจากศาลเจ้า และเดินไปทางขวามือ และตรงไปเรื่อยๆ เดินขึ้นไปตามทางลาดชันก็จะเจอกับยอดเขาแรกที่เรียกว่า “เซชิกะคุโบะ”「SEISHIGAKUBO (成就ヶ岳)」จากตรงนี้จะเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัดที่สุด

ซึ่งแต่ละยอดเขาที่อยู่บนยอดภูเขาฟูจิจะมีโทริอิเล็กๆ ตามภาพตั้งอยู่(โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาลเจ้า)เห็นแบบนี้ก็รู้สึกได้เลยนะคะว่าคนญี่ปุ่นนับถือภูเขาฟูจิมากแค่ไหน

เมื่อมองดูจากไกลๆ แล้วจะดูเหมือนว่ายอดภูเขาฟูจิจะเป็นทางเรียบๆ แบนราบ แต่ความจริงแล้วระหว่างยอดเนินจะเป็นทางขึ้นลงพอสมควร บนยอดเขาที่ไม่มีอะไรกั้นแบบนี้จะมีลมพัดแรงอยู่ตลอด ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่อากาศไม่ดีลมก็จะยิ่งพัดแรงเหมือนเฮอริเคน แค่ยืนให้ตรงยังยากเลยค่ะ ซึ่งเส้นทางเดินรอบปล่องภูเขาฟูจิจะเป็นทางเดินที่ไม่มีที่จับ เพราะฉะนั้นเส้นทางนี้จะอันตรายมากๆ ในช่วงฝนฟ้าคะนอง ต้องวางแผนเพื่อดูสภาพอากาศและสภาพร่างกายให้ดีก่อนตัดสินใจออกเดินทางนะคะ

เมื่อมองลงไปด้านล่างก็จะเห็นทะเลเมฆที่เหมือนปุยพรมสีขาวผืนใหญ่ๆ ซึ่งวันที่ได้เห็นทะเลเมฆแบบนี้ เราจะสามารถเพลิดเพลินไปกับ “หนึ่งสิ่ง” ที่เราจะแนะนำในการเดินเส้นทางรอบปล่องภูเขาไฟในครึ่งหลังกันนะคะ

เริ่มเดินเส้นทางเดินรอบปล่องไฟมาประมาณ 30 นาที ตอนนี้เราก็มาถึงที่น้ำพุ “กินเมซุย”「GINMEISUI」กันแล้วค่ะ เป็นน้ำพุที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีที่ยอดภูเขาฟูจิ ที่ไม่มีน้ำไหลผ่านแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดมากๆ ค่ะ ซึ่งในสมัยก่อนน้ำนี้เคยให้ผู้ ปีนเขา ฟูจิ ทั่วไปสามารถใช้ได้ แต่ปัจจุบันมีจำนวนคนที่มาปีนเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ส่วนนี้ถูกปิดไม่ให้ดื่มหรือใช้โดยพลการ แต่จะมีจำหน่ายอยู่ที่ร้านขายของบนยอดเขาค่ะ (500 เยน)

ก่อนอื่นเราจะไปเคารพ “ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น โอคุมิยะ”「FUJI SENGEN OKUMIYA SHRINE」ซึ่งศาลเจ้านี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 116 ปีที่แล้ว ในปี พ.ศ.2445 และเมื่อหลายปีก่อนได้มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้ศาลเจ้าได้รับความเสียหายจึงมีการปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ.2555 และใช้เวลาในการสร้างถึง 5 ปี ซึ่งช่วงแรกจะนั้นการสร้างโดยเหล่าผู้ชายที่มีพละกำลังแข็งแรงแบกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการสร้าง เดินขึ้นมาจากตีนดอย คล้ายกับการสร้างพีรามิดเลยนะคะ และที่น่าตกใจคือ ในแต่ละปีจะมีคู่รักหลายคู่มาจัดงานแต่งงานที่นี่ด้วย โดยภายในอาคารจะเป็นส่วนห้ามถ่ายรูป ซึ่งที่อาคารหลักที่สร้างจากไม้นี้จะมีจุดจำหน่ายเครื่องรางของขลังด้วย

และที่ตั้งอยู่ข้างศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น โอคุมิยะ ก็คือ「ที่ทำการไปรษณีย์ญี่ปุ่นยอดภูเขาฟูจิ FUJISAN-CHO POST OFFICE」ซึ่งเราสามารถออกใบประกาศนียบัตรการปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิ (500 เยน) ได้ที่นี่ นอกจากนี้ยังสามารถส่งจดหมายไปยังที่ต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งจดหมายหรือโปสการ์ดที่ได้ส่งจากที่นี่จะมีตราปั๊มพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่น่าภูมิใจมากๆ เลยค่ะ นอกจากส่งข่าวสารทาง LINE หรือ Messenger แล้วก็ลองส่งเป็นจดหมายหรือโปสการ์ดไปด้วยนะคะ

เมื่อส่งจดหมายที่ไปรษณีย์บนยอดเขาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราก็จะเริ่มเดินทางเข้าสู่ไฮไลท์ของเส้นทางเดินรอบปากปล่องภูเขาไฟที่จุด “เค็นกะมิเนะ”「KENGAMINE」กันเลย ซึ่งเส้นทางจากตรงนี้ไปจะเป็นเส้นทางเดินเขาชันที่เรียกว่า “อุมะโนะเสะ”「UMA NO SE」แปลว่า “หลังม้า” เป็นจุดที่ชัน และเป็นทางเดินทรายที่ลื่นมาก เป็นเส้นทางที่เดินทางลำบากพอสมควรเลยค่ะ

เดินผ่านไปตามเส้นทาง “อุมะโนะเสะ”「UMA NO SE」ที่ต้องระวังก้าวเดินเป็นพิเศษไป เราจะสามารถชมวิวปากปล่องภูเขาไฟ “ไดไนอิน”「DAINAIIN」ด้านขวามือ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 600-700m และมีความลึก 230m ซึ่งทางเดินระหว่าง “อุมะโนะเสะ”「UMA NO SE」และ “ไดไนอิน” จะไม่มีราวจับอะไรเลย เพราะฉะนั้นอย่าเผลอชะโงกหน้ามองเยอะไปจนเผลอลื่นตกลงไปนะคะ

เราเริ่มเดินทางรอบปล่องภูเขาไฟตั้งแต่ประมาณเวลาตี 5 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตอนนี้เราก็ได้เดินทางมาถึง “เค็นกะมิเนะ” กันแล้วค่ะ เป็นจุดที่อยู่สูงสุดของภูเขาฟูจิ จากจุดนี้จะอยู่ห่างจากสถานีที่ 5 ที่อยู่บนความสูง 2,305m ขึ้นมาอีกประมาณ 1,471m
เป็นที่ที่สูงที่สุดที่เคยมาในชีวิต เราผ่านจุดที่โหดๆ มาจนถึงจุดนี้ได้ ก็อยากจะซึมซับความรู้สึกนี้ให้ได้มากที่สุด แต่แถวที่รอถ่ายรูปอยู่ด้านหลังก็ยาวมาก เพราะฉะนั้นไม่สามารถอยู่จุดนี้ได้นานๆ เลยค่ะ 555

และสิ่งที่เราสามารถชมได้เฉพาะวันที่มีผืนทะเลเมฆสวยงามปกคลุมอยู่ นั่นก็คือ “เงาฟูจิ” ก็คือเงาที่เกิดจากแสงตอนเช้าหลังพระอาทิตย์ขึ้นและแสงตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นเงาภูเขาไฟฟูจิที่กระทบเมฆสีขาวโพลน เป็นภาพที่หาดูได้ยากโดยต้องอยู่ในจุดที่ใกล้ยอดภูเขาฟูจิมากที่สุด องศาพระอาทิตย์ที่พอดีทั้งตอนขึ้นและตกดินเพียงไม่กี่ชั่วโมง และที่สำคัญคือจะต้องมีทะเลเมฆอยู่ทั้งฝืน ต้องมีทั้งสามองค์ประกอบถึงจะชมปรากฏการณ์นี้ได้นั่นเอง แสดงว่าโชคดีมากๆ เลยนะคะที่ได้เห็นวิวนี้ตั้งแต่การ ปีนเขา ฟูจิ ครั้งแรกเลย

เดินวนรอบปล่องภูเขาไฟฟูจิเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เราได้วนรอบปากปล่องภูเขาฟูจิครบหนึ่งรอบ จนกลับมาถึงยอดเส้นทางโยชิดะกูจิเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ก็เป็นเวลา 7 โมงเช้า หลังจากที่เหล่านักปีนเขาได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สถานีที่ 8 แล้วบริเวณนี้ในช่วงเวลานี้ก็จะยังคงมีผู้คนอยู่บริเวณนี้อย่างคึกคัก

ซึ่งบริเวณที่มีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากนี้ จะมีที่พักอยู่ทั้งหมด 4 ที่ แต่ละที่ก็จะมีทั้งของฝาก โปสการ์ด อาหาร หรือเครื่องดื่มจำหน่ายอยู่ โดยของที่ระลึกที่จำหน่ายอยู่ที่จุดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของที่มีจำหน่ายเฉพาะที่นี่เท่านั้น เท่ากับว่าคนที่สามารถพิชิตยอดภูเขาฟูจิได้เท่านั้นที่สามารถซื้อของเหล่านี้ได้ แต่ก็อย่าเผลอซื้อเยอะไปนะคะ เพราะว่าเราจะต้องเดินลงเขาอยู่

ได้เวลาลงเขากันแล้วค่ะ เมื่อเทียบกับขาขึ้นที่มีที่พักอยู่หลายจุดแล้ว ขาลงจะมีจุดพักเพียงจุดเดียว และสามารถทำธุระเข้าห้องน้ำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นทำธุระเข้าห้องน้ำจากตรงนี้ให้เรียบร้อยไปเลยจะดีที่สุดนะคะ ค่าบริการห้องน้ำ 1 ครั้ง 300 เยน

และเวลาลงเขานอกจากจะไม่มีห้องน้ำแล้ว จุดจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มก็ไม่มีเช่นกันค่ะ เพราะฉะนั้นก่อนออกเดินทางเราจะซื้อเครื่องดื่มที่ ร้าน “ชิตะเอโดะยะ”「SHITA EDOYA」ที่อยู่ระหว่างทางสถานีหลักที่ 8 ซักหน่อย เพราะว่าหลังจากร้านนี้ก็จะไม่มีเครื่องดื่มของกินขายไปจนถึงสถานีที่ 5 เลย ซื้ออาหารและเครื่องดื่มได้ตามความจำเป็นจากยอดเขาเอาไว้เลยค่ะ มีตู้กดน้ำอัตโนมัติบนนี้ด้วย น้ำเปล่า 500ml ขวดละ 500 เยน เครื่องดื่มกระป๋อง 400 เยน

เมื่อเดินผ่านกระท่อมต่างๆ ไปก็จะเจอทางลงเขาอยู่ด้านซ้ายมือเลย (มีโทริอิเล็กๆ เป็นสัญลักษณ์) เราใช้เวลาเดินขึ้นภูเขาฟูจิมากว่า 10 ชั่วโมง ก็เสียดายจนไม่อยากลงเลย แต่ขาลงก็ใช้เวลากว่า 4 ถึง 6 ชั่วโมงเลยสำหรับมือใหม่ เดินชมวิวทะเลเมฆลงเขาไปเรื่อยๆ ก็เหมือนจะสบายนะคะ แต่ก็ลำบากเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน


Day3-2 เดินลงภูเขาฟูจิ ไปจนถึงสถานีที่ 5 และเดินทางไปยังคาวากุจิโกะ

ซึ่งทางขาลงจะเป็นเส้นทางลาดชันที่ลื่น เราจะลงไปเรื่อยๆ ไปจนถึงสถานีที่ 5 ที่เป็นจุดขึ้นรถบัสกันเลย ทางเดินขาลงที่มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง จะมีเทคนิคในการลงอยู่ก็คือเวลาย่ำเท้าให้ลงจาก “ส้นเท้า” ลงเท้าเหมือนเป็นการขุดเพื่อยึดเท้าเอาไว้ และสามารถก้าวเท้าได้อย่างมั่นคงขึ้น แม้จะล้มก็สามารถยึดเท้าเอาไว้ได้ ถ้าลงเท้าด้วยนิ้วเท้าก็จะทำให้เจ็บนิ้วได้ อีกทั้งยังทำให้ก้าวเท้าได้ไม่มั่นคงอีกด้วย

เดินงอเข่า เหมือนแมวเดินใช้ ไม้เท้าหรือไม้ค้ำปีนเขาช่วยในการลง หากเป็นนักปีนเขามืออาชีพก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้ ไม้เท้า หรือไม้ค้ำปีนเขา แต่สำหรับมือใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เหมือนได้เดิน 4 ขาสบายใจกว่าเยอะเลยค่ะ หากนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ก็จะช่วยให้เราสามารถเดินลงเขาได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น ขาลงก็จะตรงข้ามกับขาขึ้นเลยคือ ปริมาณออกซิเจนก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอากาศที่อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ

เราเดินลงเขามาประมาณ 45 นาที เมื่อเห็นโทริอิเก่าๆ อยู่ด้านซ้ายมือก็แสดงว่าเรามาถึงสถานีหลักที่ 8 แล้วค่ะ สำหรับใครที่พัก “โทโมเอะคัง สถานีหลักที่ 8”「Original 8th Stn. Tomoekan」เมื่อคืนและได้ฝากสัมภาระเอาไว้ก็อย่าลืมมาเอาของที่ฝากไว้ด้วยนะคะ โดยเดินผ่านโทริอิไปที่พักจะอยู่ด้านบนเลย ถ้าลืมขึ้นมาก็ต้องปีนขึ้นมาเอาถึงบนเขาอีกรอบเลยนะคะ เมื่อรับของเรียบร้อยแล้วก็ลอดผ่านโทริอิมาอีกรอบ เพื่อเดินลงเขาจากทางเดินลงเขา ระวังไปผิดทางนะคะ ถ้าไปผิดทางอาจจะเจอทางลงเขาที่ลำบากและชันมากๆ และอันตรายมากๆ ด้วย

เมื่อผ่านโทริอิมาซักพักก็จะเจอกับที่พักหนึ่งหลังคือ “เอโดะยะ”『EDOYA』(ชิตะ เอโดะยะ) เป็นที่พักที่ได้รับการปรับปรุงใหม่สวยงาม ซึ่งเป็นที่พักมกุฏราชกุมารแห่งญี่ปุ่นที่ทรงชื่นชอบการปีนเขาได้เข้าพักเมื่อ 10 ปีก่อนในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2551 จากจุดนี้ไปจนถึงสถานีที่ 5 (ประมาณ 4-5 ชั่วโมง) ระหว่างทางจะไม่มีจุดพักที่สามารถทานอาหารหรือเครื่องดื่มได้เลย สำหรับใครที่ไม่มีอาหารหรือเครื่องดื่มเตรียมเอาไว้เลยก็ควรซื้อจากที่นี่ไปเลยนะคะ ที่นี่จำหน่ายทั้ง กล้วย (150 เยน) เครื่องดื่มแต่ละชนิด (500 เยน) แคลอรี่เมทรสต่างๆ หรือช็อกโกแลต นอกจากนี้ยังมีจุดพักผ่อนอีกด้วย ลองสัมผัสบรรยากาศเดียวกับที่พักที่มกุฏราชกุมารแห่งญี่ปุ่นเคยประทับดูนะคะ

เมื่อเดินเลยที่พักเอโดะยะมาซักพักก็จะเจอกับทางแยก หากตรงไปก็จะเป็นจุดเดิมเหมือนตอนขาขึ้นที่ “ฟูจิเส้นทางซุบารุสถานีที่ 5”「FUJI SUBARU LINE 5th STATION」หรือ “โยชิดะ กุจิสถานีที่ 5”「YOSHIDA GUCHI 5th STATION」ซึ่งถ้าไปทางขวามือจะเป็น “ซุบาชิริ กุจิ สถานีที่ 5”「SUBASHIRI GUCHI 5th STATION」อย่าไปผิดทางนะคะ ถ้าไปผิดอาจต้องเสียค่าแท็กซี่มากถึง 25,000 เยน เพื่อกลับไปเอาของที่ฝากเอาไว้ที่ล็อคเกอร์หรือคืนอุปกรณ์ที่ยืมมาเลย

ระหว่างเดินลงเขาก็จะพบกับรถขนของแบบนี้ เป็นรถที่เอาไว้ขนสัมภาระหรือวัสดุต่างๆ จากตีนเขาไปยังที่พักต่างๆ บนเขา ซึ่งรถนี้จะทำให้ทรายฟุ้ง และทำให้พื้นลื่น เพราะฉะนั้นไม่ควรเข้าไปใกล้ๆ นะคะ ถ้ารถมาก็ควรหลีกทางเอาไว้ให้กว้างๆ เลยค่ะ

เดินทางออกจากที่พัก “เอโดะยะ” มาประมาณ 80 นาที และเราก็เดินทางมาถึงห้องน้ำสาธารณะสถานีที่ 7 ในเส้นทางขาลงที่ไม่มีที่พักให้พักผ่อน ถือว่าจุดนี้เป็นจุดพักที่ดีเลยค่ะ นักเดินทางส่วนใหญ่จะนั่งพักกันที่จุดนี้ ซึ่งที่นี่จะมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า “หากห้องน้ำเต็มสามารถใช้บริการห้องน้ำสถานีที่ 6 ถัดไปได้โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที” ถึงแม้ว่าจะเขียนเอาไว้แบบนี้แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการปีนเขาคงไม่สามารถเดินทางไปได้ด้วยเวลา 20 นาที เพราะฉะนั้นถึงจะต้องรอคิวหน่อยก็ควรเข้าห้องน้ำเอาไว้เลยนะคะ

ห้องน้ำสาธารณะสถานีที่ 7 จะอยู่บนความสูง 2,800m ก็จะเข้าสู่ทะเลเมฆที่เราเห็นจากยอดเขาค่ะ ถือเป็นประสบการณ์พิเศษที่หาโอกาสแบบนี้ได้ยาก ปกติเราสามารถผ่านเมฆได้บนเครื่องบิน แต่นี่จะได้สัมผัสโดยตรงเลย ตอนกำลังเดินผ่านเมฆก็จะรู้สึกเย็นๆ เล็กน้อยๆ ประกอบกับลมที่พัดแรง เพราะแบบนี้นี่เองที่ทำให้เครื่องบินไหวๆ ตอนบินผ่านเมฆ

เมื่อออกจากห้องน้ำสาธารณะสถานีที่ 7 มาประมาณ 15 นาทีก็จะเจอกับทางเดินอุโมงค์ป้องกันหินกลิ้งหล่นจากบนเขาอยู่หลายจุด เนื่องจากบริเวณนี้เป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุหินกลิ้งหล่นมาจากภูเขา และเคยมีผู้เสียชีวิตจากหินกระแทกศรีษะด้วย เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้เดินในอุโมงค์จะปลอดภัยที่สุด

และเมื่อผ่านอุโมงค์มาซักพักก็จะเจอกับทางเดินที่เริ่มมีต้นไม้สีเขียว เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว สถานีที่ 6 ก็อยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ และด้านซ้ายมือจะมีจุดพักม้าอยู่ ซึ่งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่สามารถเดินต่อไปได้ ก็สามารถนั่งม้าจากจุดนี้ไปยังสถานีที่ 5 ได้เช่นกันค่ะ (1 คน 15,000 เยน)

เมื่อออกจากห้องน้ำสาธารณะสถานีที่ 7 มาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็จะมาถึงสถานีที่ 6 แล้วค่ะ สำหรับใครที่ได้ยืมหมวกกันน็อคป้องกันภัยไว้ที่「ศูนย์ดูแลป้องกันภัยภูเขาไฟฟูจิ(富士山安全指導センター)」ที่อยู่สถานีที่ 6 ก็อย่าลืมไปคืนหมวกด้วยนะคะ เราจะได้ค่าประกัน 2,000 เยนคืนค่ะ หลังจากพักเหนื่อย และเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางต่อเลย เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็สามารถเดินไปสถานีที่ 5 ได้ไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ

เดินไปตามทางป่าไม้ ท่ามกลางเสียงนก และบรรยากาศสบายๆ ประมารณ 20 นาทีเราก็จะเดินมาถึงทางแยก「อิซุมิกาตากิ IZUMIGATAKI」ให้เดินไปทางซ้าย ก็จะเป็นทางเดินเรียบชันไปประมาณ 1.4km ก็สามารถกลับมาที่ทางขึ้นเขา “เส้นทางฟูจิซุบารุสถานีที่ 5” เลย ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว เราใช้เวลาเดินทางจากยอดภูเขาฟูจิประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ถ้านับเวลาตั้งแต่เริ่มปีนภูเขาฟูจิแล้วก็ครบ 24 ชั่วโมงพอดี ถ้าเป็นนักปีนเขามืออาชีพก็จะใช้เวลาไปกลับประมาณ 10 ชั่วโมง เมื่อเทียบกันแล้วเราอาจจะใช้เวลามากกว่ามาก แต่ก็ทำให้เราสามารถพิชิตยอดภูเขาฟูจิได้อย่างปลอดภัย นี่ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับความสำเร็จสำหรับนักปีนเขามือใหม่ก็ได้นะคะ คือ ค่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลังของตัวเองโดยไม่ต้องรีบ

เมื่อถึงสถานีที่ 5 แล้วเราจะไปเอาของที่ฝากเอาไว้เมื่อวานในล็อคเกอร์ภายใน “ฟูจิซังมิฮาราชิ”「FUJISAN MIHARASHI」กันเลยค่ะ เข้าอาคาร “ฟูจิซังมิฮาราชิ” ไปทางซ้ายมือก็จะเจอล็อคเกอร์เลย เมื่อได้ของมาแล้วก็เดินหันหลังออกจากตึก “ฟูจิซังมิฮาราชิ” เพื่อไปที่「GOGOEN RESTHOUSE」ที่อยู่ซ้ายมือ เมื่อเข้าไปแล้วก็ไปที่ฟร้อนท์ที่อยู่ตรงหน้าเลยซึ่งที่「GOGOEN RESTHOUSE」นี้จะมีบริการห้องอาบน้ำด้วย 1 ครั้ง 1,000 เยน (รวมแชมพู・สบู่อาบน้ำ) สามารถบอกที่ฟร้อน์ว่า「Shower Onegai Shimasu」อ่านว่า “Shower โอเนกาอิ ชิมัส” แปลว่า “อยากใช้บริการห้องอาบน้ำค่ะ” และพนักงานก็จะพาไปที่ห้องอาบน้ำด้านหลังเลยค่ะ

ถึงแม้ว่าห้องน้ำจะอยู่ในที่ที่เหมือนโกดังเก็บของ แต่บนภูเขาฟูจิที่ไม่มีน้ำไหลผ่านอยู่นั้น ถือว่าน้ำเป็นอะไรที่สำคัญมาก แค่ได้อาบน้ำก็ดีมากๆ แล้วค่ะ โดยเมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็ล็อคประตูให้เรียบร้อย จากนั้นก็นำเหรียญที่ได้จากที่ฟร้อนท์หยอดเข้าไปในช่องด้านซ้าย วิธีเปิดน้ำคือ กดปุ่มสีชมพู ตามภาพ เท่านั้นน้ำก็จะออกมาเลยค่ะ สามารถใช้น้ำได้เป็นเวลา 4 นาที ช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้น้ำจะไม่นับเวลา หากต้องการปิดน้ำก็เพียงแค่กดไปที่ปุ่มสีชมพูอีกรอบเท่านั้น

เมื่ออาบน้ำจนสดชื่นแล้ว ก็กลับไปที่ “ฟูจิซัง มิฮาราชิ”「FUJISAN MIHARASHI」กันเลย เราจะไปคืนอุปกรณ์ปีนเขาที่ยืมมากันค่ะ『Lamont』

ทั้งที่เราเพิ่งยืมอุปกรณ์ปีนเขาไปแค่วันเดียว แต่เหมือนยืมมาแล้วหลายวันเลยค่ะ เป็นวันเดียวที่เจออะไรมาเยอะๆ มากๆ เลยจริงๆ ค่ะ

เราจะเดินทางเข้าไปในเมืองกันเลย ซึ่งที่พักของเราในคืนนี้อยู่ไม่ไกลจากคาวากุจิโกะ และสามารถชมวิวภูเขาฟูจิได้อีกด้วยที่โรงแรม「HOTEL MYSTAYS FUJISAN」ก่อนอื่นเราจะต้องเดินทางไปที่สถานีคาวากุจิโกะ KAWAGUCHIKO STATION กันเลย รสบัสที่วิ่งระหว่าง “ฟูจิเส้นทางซุบารุสถานีที่ 5” กับ “คาวากุจิโกะ” จะให้บริการเฉพาะช่วงเดือนกรกฏาคมไปจนถึงช่วงเดือนกันยายน โดยจะวิ่งชั่วโมงละ 1-2 เที่ยว ค่าเดินทาง 1,540 เยน『Mt.Fuji Pass』สามารถซื้อตั๋วได้ที่มุมหนึ่งของลานกว้างที่อยู่ระหว่าง「GOGOEN RESTHOUSE」และลานกว้าง ตรงข้ามจุดขึ้นรถบัส จะมีจุดจำหน่ายตั๋วรถบัสบัสอยู่ไปต่อแถวซื้อตั๋วได้เลย

เราจะใช้เวลา 45 นาที มาจนถึงสถานีคาวากุจิโกะ สถานีออกแบบได้น่ารักมากๆ ถึงสถานีคาวากุจิโกะจะเป็นสถานีเล็กๆ ที่มีนักท่องเที่ยวคึกคัก แต่สำหรับเรา ที่เพิ่งขึ้นภูเขาฟูจิมา รู้สึกว่าเหมือนกำลังอยู่ในสถานีที่โตเกียวเลยค่ะ เมื่อถึงสถานีคาวากุจิโกะแล้วก็ไปทานอาหารกลางวันกันเลย (เลยเวลาอาหารกลางวันไปเล็กน้อย) เข้าไปในร้านอาหารภายในสถานีกันเลย

ซึ่งภายในสถานีคาวากุจิโกะจะมีร้านอาหาร “ฟูจิยามะ คาเฟ่”「FUJIYAMA CAFÉ」ที่จำหน่ายอาหารขึ้นชื่อของพื้นที่ต่างๆ และมีเมนูเฉพาะของภูเขาฟูจิอีกด้วย ภายในร้านมีแขกอยู่มากมายบรรยากาศคึกคักมากๆ ก็ไม่รอช้ารีบไปต่อแถวเลย

เมนูภายในร้านก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารขึ้นชื่อของเมืองฟูจิโยชิดะที่อยู่ข้างคาวากุจิโกะอย่าง「โยชิดะอุดง YOSHIDA UDON」(650 เยน) หรือ อาหารขึ้นชื่อของจังหวัดยามะงาตะที่ตั้งของภูเขาฟูจิอย่าง「โฮโต HOUTOU」(950 เยน) นอกจากนี้ยังมีราเม็ง (750 เยน) หรือแกงกะหรี่ฟูจิซัง (1,000 เยน) อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ「ฟูจิซังฮันเป็ง FUJISAN HANPEN」(380円) หรือ「มันบดทอดโครกเกะฟูจิซัง」(250 เยน) ที่เป็นอาหารทานเล่นก็มีเช่นกันค่ะ สามารถสั่งอาหารได้ที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน จากนั้นก็จะได้รับคูปองอาหารที่มีตัวเลขกำกับอยู่ และไปรอที่โต๊ะ เมื่อได้อาหารแล้วก็นำคูปองไปรับอาหารที่ช่องข้างเคาน์เตอร์ชำระเงินได้เลย เป็นแบบบริการตนเองค่ะ

ภายในร้านกว้างขวางมีที่นั่งเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะมีลูกค้านั่งอยู่เต็มร้าน แต่ด้านในก็มีที่นั่งรองรับลูกค้าหลากหลายรูปแบบเลยค่ะ ด้านในร้านจะมีบันไดเล็กๆ อยู่แค่สองขั้นเท่านั้น แต่ ก็เริ่มรู้สึกปวดขาแล้วค่ะ ผลจากการปีนเขาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว 555

“โยชิดะอุดง” ที่มีผักแบบอัดแน่น


Day3-3 เข้าเช็คอินที่พัก「HOTEL MYSTAYS FUJISAN」พร้อมทาน “เนื้อย่าง” เลี้ยงฉลองความสำเร็จในการพิชิตภูเขาฟูจิ

บริเวณ “คาวากุจิโกะ” นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากมายภาพซ้ายบน:สวนเท็นโจซัง (โรปเวย์) ภาพขวาบน:หมู่บ้านน้ำใส OSHINO HAKKAI
ภาพซ้ายล่าง:สวนอาระคุระยามะเซ็นเก็นภาพขวาล่าง:ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็นซึ่งหากอากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสก็สามารถชมวิวภูเขาฟูจิที่เราเพิ่งปีนมาได้เลย แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้อากาศแปรปรวนอยู่พอสมควรเลย

ซึ่งหากพูดถึงสถานีที่ท่องเที่ยวรอบๆ ภูเขาฟูจิและก็คงต้องไม่พลาด “สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์”『FUJI-Q HIGHLAND』ที่ได้ทั้งความหวาดเสียวและชมวิวภูเขาไฟฟูจิไปได้พร้อมๆ กัน ด้วยเครื่องเล่นรถไฟเหาะ「DODODONPA」ที่มีความเร็วถึง 180km ต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่น「TAKABISHA」ที่วิ่งไปตามรางชันกว่า 121 องศาด้วยความเร็ว 100km ต่อชั่วโมง เป็นสวนสนุกที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสความหวาดเสียวขั้นสุด ไปพร้อมๆ กับวิวภูเขาฟูจิที่สวยงาม จากทั่วโลกเลยทีเดียวสามารถเดินทางไปยัง สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ได้โดย นั่งรถไฟฟูจิคิวจากสถานีคาวากุจิโกะไปเพียง 1 สถานี และลงที่ “สถานีฟูจิคิวไฮแลนด์” ทางเข้าจะอยู่ตรงหน้าเลย

ก่อนออกเดินทางไปที่โรงแรม เรามีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำนั่นก็คือ “การซื้อตั๋วรถบัส”

ถึงแม้ว่ารถบัสระหว่าง “คาวากุจิโกะ” ไป “สถานีชินจุกุ” หรือ “สถานีโตเกียว” จะมีอยู่มากมาย แต่ด้วยความที่ “คาวากุจิโกะ” เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก ดังนั้นรอบวิ่งรถบัสในแต่ละรอบก็จะเต็มหมด หากเข้าไปซื้อทันทีที่ต้องการขึ้นก็อาจต้องรอนาน 2 ถึง 3 ชั่วโมง อาจได้ออกเดินทางต่างจากที่คิดไว้ หรืออาจได้ไปในที่ที่ไม่ใช่ที่หมายของตนเอง (ความจริงต้องการไปชินจุกุ แต่อาจต้องไปที่อากิฮาบาระ หรือสนามบินฮาเนะดะก่อน) ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ซื้อตั๋วเอาไว้ล่วงหน้าเลย สามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ชำระเงินได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต หรือสามารถจองได้ทางเว็ตไซต์เลย 『รถประจำทางฟูจิเกียวโกะ』

เมื่อซื้อตั๋วรถบัสเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปโรงแรมกันแล้วค่ะ ซึ่งสถานีที่ใกล้โรงแรมมากที่สุดก็คือ “สถานีฟูจิคิวไฮแลนด์” เราสามารถซื้อตั๋วรถไฟไปสถานีฟูจิคิวไฮแลนด์ได้พร้อมๆ กับตั๋วรถบัส แต่ก็สามารถซื้อตั๋วรถไฟจากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติได้เช่นกันค่ะ โดยก่อนอื่นต้องเช็คราคาตั๋วรถไฟจากแผนผังตารางรถไฟที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ(170 เยน)เมื่อเช็คเรียบร้อยแล้วก็ใส่เงินเข้าไป จากนั้นก็กดปุ่ม 170 เท่านี้ก็เรียบร้อย นั่งรถไฟจากสถานีคาวากุจิโกะไปสถานีฟูจิคิวไฮแลนด์เพียง 1 สถานีและใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น โดยจะมีรอบวิ่งชั่วโมงละ 1-3 เที่ยวขึ้นอยู่กับช่วงเวลา『FUJIKYUKO』

เมื่อผ่านเครื่องตรวจตั๋วมาแล้วก็ข้ามทางเดินผ่านรางรถไฟเพื่อไปที่ชานชาลาอีกฝั่ง ขึ้นรถไฟที่ประตูเปิดอยู่ได้เลย รถไฟจะมีอยู่หลายแบบ ที่นั่งแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่นั่งยาว กับที่นั่งหันหน้าชนกัน ผสมกันทั้งสองแบบในหนึ่งขบวน สำหรับที่นั่งแบบหันหน้าชนกันสามารถปรับฝั่งที่นั่งให้หน้าเข้าหากันได้ โดยจับที่จับบริเวณพนักเก้าอี้ค่ะ ยิ่งถ้ามากันเป็นกลุ่มแล้วได้นั่งหันหน้าคุยกันก็ยิ่งดีเลยนะคะ

นั่งรถไฟมาเพียงแป๊บเดียวก็มาถึงสถานีฟูจิคิวไฮแลนด์เลยค่ะ สามารถเดินจากสถานีไปโรงแรมไปเพียง 5 นาทีเท่านั้น เมื่อถึงสถานีแล้ว ก็ผ่านออกจากช่องตรวจตั๋วไปทางขวามือ เดินไปตามทางซักพัก ข้ามรางรถไฟที่อยู่ด้านขวามือไป และตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสามแยก ให้เลี้ยวไปทางซ้าย และตรงไปตามทางเรื่อยๆ

ผ่านทางลอดใต้ทางด่วนขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอโรงแรมใหม่เอี่ยมอยู่ตรงหน้าเลยค่ะ กับโรงแรม『HOTEL MYSTAYS FUJISAN』เป็นโรงแรมรีสอร์ทที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปีที่ผ่านมา ทางเข้าโรงแรมจะอยู่ด้านหลัง และต้องเดินอ้อมไกลเพราะฉะนั้นเราจะข้ามทางม้าลายไปเพื่อเข้าโรงแรมจากบันไดที่อยู่ตรงหน้าเลยค่ะ ใกล้กว่าเยอะเลย

ภายในล็อบบี้ที่กว้างขวางนี้ มีสิ่งที่พุ่งเข้าตาเราเป็นอย่างแรกเลยก็คือ ตู้บริการต่างๆ ที่มีอยู่หลายภาษา บริเวณคาวากุจิโกะที่เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินี้ โรงแรมนี้ก็ได้รับความนิยมจากชาวต่างพอสมควรเลยค่ะ สามารถเช็คอินได้ด้วยการ บอกชื่อ และแสดงพาสปอร์ตกับบัตรเครดิตเท่านั้น เมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็มุ่งไปที่ห้องพักกันเลย ซึ่งที่ตู้ด้านหลังจะมีเสื้อคลุมไซส์ต่างๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายบริการผู้เข้าพักอยู่ สามารถนำไปใช้ที่ห้องพักได้เลยค่ะ

ห้องพัก วิวภูเขา แบบทวินรูมค่ะ ซึ่งที่ห้องพักชั้นสูงๆ จะมีห้องพักวิวภูเขาฟูจิอยู่ด้วย แต่ที่นั่นจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นพิเศษ เลยจองยากมากๆ และน่าเสียดายที่เราจองไม่ทันเหมือนกันค่ะ แต่ถึงยังไงวันนี้อากาศก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้วด้วยค่ะ ห้องพักที่นี่กว้างถึง 19㎡ เปิดกางกระเป๋าเดินทางพร้อมกัน 2 คนก็ยังมีที่เหลือสบายเลยค่ะ

ห้องน้ำจะเป็นห้องขนาดกระทัดรัด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน นอกจากนี้ยังสามารถนำสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มาจากล็อบบี้ได้ ถึงแม้ว่าภายในห้องจะมีอ่างให้แช่น้ำอาบน้ำ แต่ที่ 7F ก็มีอ่างอาบน้ำรวมขนาดใหญ่ให้บริการเช่นกันค่ะ เราคิดไว้ว่าจะไปหลังทานอาหารเย็นเสร็จค่ะ

และตื่นมาอีกทีด้านนอกก็มืดสนิทเป็นเวลา 1 ทุ่มพอดี นอนไปมากกว่า 2 ชั่วโมงเลยค่ะ ได้งีบไปซักหน่อยตอนนี้ ก็เหมือนได้เติมพลังไปนิดนึงแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไปเติมพลังให้เต็มอิ่มกับดินเนอร์เนื้อย่าง เพื่อฉลองความสำเร็จในการพิชิตยอดภูเขาฟูจิกันเลย เดินจากโรงแรมไปทางสถานีฟูจิคิวไฮแลนด์เพียง 3 นาทีเท่านั้น โดยไปทางสามแยกตอนที่เราเดินจากสถานีไปโรงแรม ที่มีทั้งร้านเนื้อย่าง ร้านสะดวกซื้อ ร้านเหล้า และร้านคาราโอเกะมากมาย

และเราก็มาอยู่ที่หน้าร้านเนื้อย่างแล้ว กลิ่มหอมโชยออกมานอกร้านเลยค่ะ กับร้าน “กิวชิเกะ”『GYUSHIGE』แค่ดูจากภายนอกก็รู้สึกว่าคนต้องเยอะแน่ๆ เลยค่ะ เรารีบเข้าไปในร้านกันเลยดีกว่า

ภายในร้านกว้างขวาง มีที่นั่งหลายแบบทั้ง ที่นั่งที่สามารถนั่งได้ 6 ถึง 8 คนแบบโต๊ะใหญ่ หรือจะเป็นที่นั่งสำหรับคนกลุ่มเล็กแบบ 2 ที่นั่งก็มีเช่นกันค่ะ

ที่ร้าน “กิวชิเกะ”「GYUSHIGE」ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินี้ เมนูร้านจะมีภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีนแบบง่ายๆ ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาษาไทยแต่เมนูจะมีภาพประกอบ อีกทั้งภาษาอังกฤษที่ใช้ก็เข้าใจง่าย เมนูภายในร้านก็มีให้เลือกหลากหลายนอกจากเมนูจานเดี่ยวแล้ว ก็มีแบบคอร์สบุฟเฟต์ด้วยค่ะ โดยมีให้เลือกแบบ 2,990 เยน 90 ชนิด และแบบ 3,590 เยน 110 ชนิดค่ะ เลือกได้ตามกำลังท้องเลยค่ะ

เครื่องดื่มบุฟเฟต์ราคา 390 เยน ที่สามารถเลือกดื่มได้ทั้ง น้ำอัดลมแฟนต้าโค้กหรือแฟนต้า ชาอู่หลง น้ำเปล่า เลือกดื่มได้ไม่อั้นในราคาเท่านี้ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ เมื่อเทียบกับน้ำเปล่า 1 ขวด 500 เยนบนภูเขาฟูจิแล้ว ราคาต่างกันมากเลยค่ะ

สั่งไป 5 อย่างบวกกับเครื่องดื่มแบบไม่อั้น คือ GYUSHIGE KALBI(490 เยน)・TORIGETA KALBI(590 เยน)・NAKA-OCHI KALBI(490 เยน)กิมจิ(390 เยน)・ข้าว(ขนาดกลาง 270 เยน)และเครื่องดื่มบุฟเฟต์(390 เยน)สั่งไปแป๊บเดียวอาหารก็มาเสิร์ฟเลยค่ะ เร็วเหมือน MK เลย ดีมากๆ

เนื้อย่างของ “กิวชิเกะ”「GYUSHIGE」จะเป็นการย่างบนเตาถ่าน ทำให้เนื้อที่ย่างออกมาหอมอร่อย ต่างจากการย่างด้วยเตาแก๊สโดยสิ้นเชิง ได้อารมณ์การทานเนื้อย่างๆ สุดๆ เลยค่ะ

ทานเนื้อคาลบี้ไป 3 ชนิด ก็น่าจะทานเนื้อไปได้ประมาณ 300g ตอนนี้อิ่มมาก ราคารวม VAT แล้วจะอยู่ที่ 2,829 เยน≒800 บาท ได้ทานเนื้อย่างแสนอร่อยในราคาที่ไม่แพงมากเลยด้วย

นอกจากเนื้อย่างที่อร่อยแล้ว ที่ร้านยังมีพนักงานวัยรุ่นอยู่มากมาย ทุกคนแข็งแรงและกระปรี้กระเปร่ากันมากๆ

และฝั่งตรงข้ามร้านเนื้อย่าง “กิวชิเกะ”「GYUSHIGE」จะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่「IT’S MORE」ร้าน Drug Store「SUNDRUG」และร้านขายของ 100 เยน「Seria」อีกด้วย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ดังนั้นจึงมีทั้งคิทแคทรสชาติต่างๆ อย่างชาเขียวหรือผงคินาโกะ นอกจากนี้ยังมีถั่วพิสตาชิโอรสวาซาบิยอดฮิตอีกด้วย เรียกได้ว่าจำหน่ายของฝากสำหรับนั่งท่องเที่ยวไว้แบบครบครันเลยค่ะ

หลังจากที่ได้ทานดินเนอร์แสนอร่อย ช้อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและ Drug Store เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับไปตามทางเดิมเพื่อไปที่โรงแรมกันเลยค่ะ ที่ชั้น 7F ของโรงแรมจะมีอ่างอาบน้ำรวมขนาดใหญ่อยู่ด้วย เป็นบานกระจกขนาดใหญ่ซึ่งหากอากาศดีก็สามารถชมวิวภูเขาฟูจิได้ระหว่างการอาบน้ำเลยค่ะ『HOTEL MYSTAYS Fuji Onsen Resort』


Day3-4 จบทริป! เดินทางจากโรงแรม「HOTEL MYSTAYS FUJISAN」ไปสู่สนามบินนาริตะเพื่อกลับประเทศไทย

และห้องอาหารจะเป็นห้องกระจกบ้านใหญ่ ที่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นวิวภูเขาฟูจิขนาดใหญ่แบบชัดมากๆ เมื่อวานในเวลานี้เป็นเวลาที่เรากำลังเดินวนรอบปล่องภูเขาไฟอยู่เลยค่ะ

อาหารเช้าจะเป็นแบบสไตล์บุฟเฟต์ ที่มีอาหารญี่ปุ่นให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ยังมี ไส้กรอก ไข่ดาว พาสต้า แกงกะหรี่ หรือสลัดบาร์….

โจ๊กที่สามารถเลือกท็อปปิ้งได้หลากหลายทั้งผงปลาแซลม่อน บ๊วยญี่ปุ่น หรือ ไข่ปลาทรงเครื่อง นอกจากนี้ก็มี โซบะเย็น ปลาย่าง หรือนัตโตะ ต่างๆ ที่เป็นเมนูอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม

และที่มุมหนึ่งของห้องอาหารสามารถสั่งเมนูไข่ ทั้งหอมและน่าตาน่าทานมากๆ เลยค่ะ

เมนูเครื่องดื่มก็มีให้เลือกหลากหลายเช่นกัน ทั้งน้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล นมสด น้ำมะเขือเทศ หรือจะเป็นโยเกิร์ตที่แต่ละอย่างล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้นเลยค่ะ

ไม่ว่าเมนูไหนก็น่าทานไปหมด และพลาดไม่ได้เลยเราก็จะต้องสั่งเมนูไข่มาทานแน่นอนค่ะ ซึ่งเราเคยอ่านเจอว่า หลังจากที่ไปปีนเขาอยู่บนพื้นที่ๆ มีความกดอากาศที่แตกต่างกัน และยิ่งต้องใช้พละกำลังมากกว่าปกติในการ ปีนเขา ฟูจิ อีก ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกอยากอาหารและไม่สบายหลังจากการปีน แต่ในโรงแรมที่มีเมนูอาหารเช้าให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าเมนูไหนๆ ก็น่าทานไปหมด ไม่ต้องห่วงเรื่องไม่อยากอาหารเลยค่ะ เยียวยาร่างกายได้ด้วยอาหารเช้าของที่นี่เลยจริงๆ

การเดินทางไปสนามบินนาริตะนั้น เราจะต้องนั่งรถบัสเพื่อไปลงที่ “เทอร์มินอลบัสชินจุกุ” จากสถานีคาวากุจิโกะก่อน รับของต่างๆ ที่เราฝากเอาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ แล้วก็เปลี่ยนรสบัสเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินนาริตะเลย

ซึ่งการเดินทางจากโรงแรมไปสถานีคาวากุจิโกะจะมีอยู่ 2 วิธีคือ นั่งรถไฟจากสถานีฟูจิคิวไฮแลนด์ที่อยู่ใกล้โรงแรมมากที่สุด หรือนั่งบัส「อากาซากะ」ที่อยู่หน้าโรงแรมด้วยบัสที่มุ่งหน้าไปสถานีคาวากุจิโกะ หรือมุ่งหน้าไปยังโคฟุ

โดยเราจะเลือกนั่งบัส「อากาซากะ」กันค่ะ บัสจะวิ่งชั่วโมงละ 2 เที่ยว ราคา 230 เยน วิธีขึ้นก็คือ ขึ้นรถบัสจากประตูด้านหลัง เมื่อขึ้นมาแล้วก็หยิบตั๋วรถบัสจากเครื่องข้างประตูทางขึ้น เมื่อต้องการลงก็สามารถเช็คราคารถบัสได้จากช่องที่ตรงกับตัวเลขในตั๋วรถบัส เมื่อจะลงรถก็ใส่เงินตามจำนวนลงไปในกล่องชำระเงินที่อยู่ข้างคนขับ หากใครไม่มีเหรียญพอดีก็สามารถแลกเหรียญได้ที่เครื่องข้างคนขับเช่นกัน

นั่งรถบัสอากาสะกะมาประมาณ 10 นาทีเท่านั้นตอนนี้เราก็มาถึงสถานีคาวากุจิโกะเป็นที่เรียบร้อย ที่นี่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว นักท่องเที่ยวที่ต้องการปีนภูเขาฟูจิ หรือนักท่องเที่ยวที่เพิ่งกลับจากภูเขาฟูจิ คนเยอะมากๆ เลยค่ะ

ซึ่งที่สถานีคาวากุจิโกะจะมีร้านขายของฝากขนาดใหญ่อยู่ด้วยค่ะ ที่นี่มีสินค้าที่เกี่ยวกับภูเขาฟูจิอยู่มากมาย ระหว่างรอรถบัสสามารถเลือกซื้อของได้เลยค่ะ

และรูปซ้ายบนก็คือ ขวดเหล้าญี่ปุ่นรูปภูเขาฟูจิค่ะ「FUJISAN CHA SHOUCHUU BOTTLE」(3,800 เยน) เป็นสินค้าขึ้นชื่อของตีนภูเขาฟูจิ เป็นเหล้าชาที่ทำจากใบชาและข้าว หมักด้วยน้ำจากใต้ดิน ซึ่งขวดเหล้านี้เมื่อถอดส่วนสีขาวที่เป็นฝาออกก็สามารถใช้เป็นแก้วดื่มเหล้าได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมี「SEISHU FUJISAN」(1,800 เยน) ที่เป็นถังเหล้าเหมือนที่ประดับเอาไว้ที่ศาลเจ้า หรือ 「FUJISAN FANCY CHOCOLATE」(1,080 เยน) รูปร่างฟูจิและรถไฟชินคันเซ็น นอกจากนี้ยังมี Fujisan Miniature Crunch Chocolates (1,080 เยน) ที่สามารถนำไปเป็นของฝากแจกหลายๆ คน ที่นี่สามารถชำระได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิตเลยค่ะ

บัสจากสถานีคาวากุโกะไปชินจุกุบัสเทอร์มินอลนั้น ในช่วงหน้าร้อนจะวิ่งวันละ 25-30 เที่ยว (มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน) ค่าเดินทาง 1,750 เยน『รถประจำทางฟูจิเกียวโกะ』ถึงแม้ว่าช่วงเช้าจะวิ่งชั่วโมงละ 1 เที่ยว แต่พอเข้าช่วงบ่ายก็จะเพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงละ 2-4 เที่ยว อย่างที่เราได้บอกไปก่อนหน้านี้คือช่วงหน้าร้อนจะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวหน้าแน่นเป็นพิเศษ หากจองกระทันหันที่นั่งก็อาจจะเต็มได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปหลายๆ วันเลยจะดีกว่าค่ะ ซึ่งรถบัสที่มุ่งหน้าไปชินจุกุ จะออกจากป้ายหมายเลข 3 โดยหันหน้าออกจากสถานีคาวากุจิโกะเดินไปทางซ้ายมือ

ที่นั่งเป็นแบบ Reclining Seat แต่ละที่นั่งจะมีปลั๊กไฟสามารถเสียบชาร์ตมือถือหรือแท็บเล็ตได้ระหว่างการเดินทาง เมื่อบัสออกตัวจากสถานีคาวากุจิโกะมาซักพักก็จะเข้าสู่ทางด่วน และระหว่างทางจะได้เห็นวิวภูเขาฟูจิเป็นพักๆ ด้วยค่ะ

ออกจากสถานีคาวากุจิโกะมาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที บัสก็มาถึงชินจุกุบัสเทอร์มินอลแบบตรงเวลาเลยค่ะ บัสจะมาถึงที่ 3F เมื่อลงจากรถบัสแล้ว ผ่านออกประตูไป ก็มุ่งไปทางตู้ล็อคเกอร์ที่ฝากของเอาไว้ก่อนปีนขึ้นภูเขาฟูจิกันเลย นำของออกจากตู้ด้วย PIN NO ที่ได้ตอนฝากของ และชำระเงินสำหรับ 2 วัน เท่านี้ก็เรียบร้อย

เมื่อเอาของเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 4F เหมือนตอนไปภูเขาฟูจิเลย ลีมูซีนบัสที่เดินทางจาก ชินจุกุบัสเทอร์มินอล ไปสนามบินนาริตะจะวิ่งทุกๆ ชั่วโมงในนาทีที่ 0 / 20 / 40 ของแต่ละชั่วโมง (หากแขกเยอะอาจมีการเพิ่มรอบ) สำหรับใครที่ต้องการชำระค่าเดินทาง (3,100 เยน) ด้วยเงินสด ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปและยูเทิร์นไปทางซ้ายมือ และไปรอที่ป้าย A2 เพื่อทำการชำระเงินตอนขึ้นรถได้เลย ส่วนใครที่ต้องการชำระด้วยบัตรเครดิต ก็สามารถทำการชำระเงินได้ที่เคาน์เตอร์ที่เดิมเหมือนตอนไปภูเขาฟูจิเลยค่ะ จากชินจุกุไปสนามบินนาริตะถ้ารถไม่ติดจะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที หากนั่งที่นั่งฝั่งขวามือก็จะได้เห็นดิสนีย์แลนด์ระหว่างทางอีกด้วย

สนามบินนาริตะจะมีอยู่ 3 เทอร์มินอล และส่วนที่มีเที่ยวบินตรงไปไทยก็คือ
เทอร์มินอล 1:ANA・การบินไทย
เทอร์มินอล 2:JAL・NOKSCOOT・AIRASIA X
แต่ละเทอร์มินอลค่อนข้างจะอยู่ห่างกันพอสมควร เพราะฉะนั้นถ้าไปผิดเทอร์มินอลก็จะต้องนั่งรถบัสระหว่างเทอร์มินอลเลย ยังไงเช็คข้อมูลให้เรียบร้อยไว้ก่อนจะดีที่สุดนะคะ ส่วนเรานั่ง NOK SCOOT เพราะฉะนั้นเราจะลงที่เทอร์มินอล 2 เมื่อเข้ามาในเทอร์มินอลแล้วก็เช็คจอมอนิเตอร์สายการบินเพื่อเช็คเคาน์เตอร์เช็คอิน NOK SCOOT จะอยู่ที่เคาน์เตอร์ B เข้าเทอร์มินอลจะอยู่ซ้ายมือ

ขากลับก็อัพเกรดที่นั่ง SCOOT BIZ เหมือนตอนขามาซึ่ง SCOOT นี้จะสามารถอัพเกรดที่นั่งได้ในกรณีเมื่อที่นั่ง「SCOOT BIZ」ของ BUSSINESS CLASS ว่าง ก็จะมีเมล「BID FOR SCOOT BIZ」ส่งมาก่อนวันบิน โดยสามารถอัพเกรดดำเนินการแบบการประมูล เส้นทางกรุงเทพ-ญี่ปุ่น ในราคาต่ำที่สุด 2,500 บาท (ขึ้นอยู่กับเที่ยวบิน) ซึ่งครั้งนี้ ICHIGO-CHAN ลองประมูลส่งราคาไปแพงขึ้นนิดหน่อยจากราคาต่ำสุดเป็น 2,520 บาท ก็ได้อัพเกรดด้วยค่ะ เมื่อดำเนินการอัพเกรดสำเร็จทาง SCOOT BIZ ที่จองไว้ก็จะถูกอัพน้ำหนักประเป๋าที่โหลดเป็น 30kg พร้อมอาหาร 1 มื้อ และสามารถขึ้นเครื่องได้ก่อนใคร เราจ่ายเพิ่มเพียง 2,520 บาทก็ได้นั่ง ที่นั่งของ SCOOT BIZ ที่สบายมากๆ เลย เมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นมุ่งไปที่เกทเลย

เมื่อ 3 วันที่แล้วเราได้ปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิที่รู้สึกอยากปีนมาตั้งหลายปีแล้ว ซึ่งก่อนปีนก็กังวลว่าเราจะปีนขึ้นไปบนเขาได้รึเปล่า จะไหวไหม แต่พอได้ลองปีนดูแล้ว ก็ไม่ต้องมีเทคนิคพิเศษใดๆ ในการปีนเลยค่ะ ถ้าเตรียมร่างกาย และอุปกรณ์มาพร้อมไม่ว่าใครก็สามารถ ปีนเขา ฟูจิ ได้

เดินขึ้นเขาไปตามความเร็วของตัวเอง ไม่ต้องรีบให้ทันคนอื่น ตามกำลังที่ตัวเองไหวไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นไปพิชิตยอดภูเขาฟูจิที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นได้ วิวสวยๆ บนภูเขาฟูจิจะเป็นรางวัลชั้นดีของความสำเร็จที่ได้ปีนขึ้นไปเลยค่ะ ถ้าใครสนใจก็ลองขึ้นภูเขาฟูจิดูนะคะ

ทริป 3 วันของเราผ่านไปเร็วมาก เมื่อมาที่เกทก็จะเห็นเครื่องบินนกจอดอยู่เลย จากนาริตะไปกรุงเทพจะใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง ระยะเวลาเท่ากับที่เราเดินขึ้นจากสถานีภูเขาฟูจิไปถึงยอดเขาเลย 555

ขอบคุณ Guest สุดพิเศษ สมาชิกหมายเลข 4114214 สังกัด Pantip จากกระทู้ [CR] 3D2N คู่มือพิชิตยอดฟูจิ Fujisan คาวากุจิโกะ Kawaguchiko โตเกียว Tokyo คนเดียวก็เที่ยวได้ ที่มามอบประสบการณ์ เที่ยวญี่ปุ่น ในเส้นทางสุดท้าทายด้วยการ ปีนเขา ฟูจิ แบบละเอียดยิบ ได้ข้อมูลจัดเต็ม ได้รับเสียงปรบมือจากเราไปเลย!!
ระดับความน่าไป :
✩✩✩✩✩


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
[email protected]
Line id : @mushroomtravel

สินค้าที่เกี่ยวข้อง