ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์เที่ยวยุโรปตะวันออก 3 ประเทศ เยอรมัน ออสเตรีย เชค สัมผัสเมืองสวยๆ ในบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี จะเป็นอย่างไรบ้างต้องติดตาม
Romantic Road Trip: สองพี่น้องขับรถเที่ยว เยอรมัน ออสเตรีย เชค ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาว Pantip — Romantic Road Trip ของเราเป็นชื่อที่ได้มาจากกระทู้แรงบันดาลใจในห้องบลู ไม่ได้เป็นกระทู้ฮันนีมูนหรือมีความโรแมนติคแต่อย่างใดในเนื้อหา แต่ขอโรแมนซ์ด้วยภาพบ้านเมืองที่เราแวะผ่านตลอดเส้นทาง ที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนสายโรแมนติคในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่เริ่มต้นจากประเทศเยอรมัน ข้ามผ่านไปยังออสเตรีย สู่สาธารณรัฐเชค และกลับมาลงท้ายที่เยอรมันอีกครั้ง
ขอออกตัวก่อนว่า นี่เป็นกระทู้แรกของเรานะคะ (เป็นรีวิวขนาดยาว 9 วัน จึงแอบเก็บไว้ข้ามปี จนมีกระทู้แซงหน้าสั้นๆ ไปหนึ่งอันแล้วค่ะ จะเรียกว่าเป็นกระทู้ที่ 2 ก็ได้ถ้างั้น) ชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมานี้ อาศัยรีวิวจากพันทิปในการหาข้อมูลท่องเที่ยวมาตลอด และหมายมั่นว่า สักวันหนึ่งจะมารีวิวแบ่งปันประสบการณ์ให้คนอื่นบ้างเป็นการแลกเปลี่ยนกัน อาจไม่ใช่รีวิวแบบละเอียดยิบข้อมูลแน่นปึ๊ก หรืออาจไม่ถูกใจใครที่กำลังหาทริปประเภท ‘ถูกที่สุด’ หรือ ‘งบน้อยที่สุด’ แต่อย่างน้อย ขอให้กระทู้น้อยๆ กระทู้แรกของเราได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครสักคนนึงอยากจะออกเดินทาง เหมือนที่เพื่อนๆ หลายคนได้ทำให้เราค่ะ
กระทู้นี้ เป็น 3 วันแรก ที่เยอรมัน เมือง Munich, Schwangau, Fussen, Mittenwald และเข้าเขตประเทศออสเตรียที่เมือง Innsbruck ค่ะ
สามารถติดตามกระทู้ที่ 2 ได้จากลิ้งค์นี้เลยค่า >>> http://pantip.com/topic/35872850
กระทู้ที่ 3 ได้จากลิ้งค์นี้นะคะ >>> http://pantip.com/topic/35913432
มาเริ่มกันเลยดีกว่า : )
(สำหรับคนที่มีข้อมูลแน่นเรื่องตั๋ว ที่พัก เช่ารถแล้ว ข้ามไปด้านล่างได้เลยนะคะ)
ทำไมถึงเป็น เยอรมัน ออสเตรีย เชค : เนื่องจากน้องชายกำลังจะเรียนจบจากอังกฤษ อยากให้พี่สาวบินไปเยี่ยมก่อนกลับ แต่ไอพี่ไม่อยากไปอังกฤษ เลยขอเบี่ยงเบนต่อรองปลายทางเป็นยุโรป โดยที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่พอคิดว่าจะไปแล้ว ก็เสิร์ชหาแรงบันดาลใจจากพันทิป มีคียเวิร์ด ว่า ‘ยุโรป’ กับ ‘ใบไม้เปลี่ยนสี’ จนได้ไปเจอกระทู้ของคุณ 9MOT (แต่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ) ปังมาก รูปแรกของกระทู้ ทำให้เราเกิดความอยากเดินทาง และ ‘ต้อง’ เดินทางในทันที
วันลาและตั๋วเครื่องบิน
ลำดับต่อมา คือ เปิดหา วันลา (อันนี้สำคัญสุด) จัดสรรได้มาทั้งหมด 9 วัน รวมเดินทางอีก 1 วันเป็น 10 พอดิบพอดี ช่วงต้นเดือนตุลา ปี 58 ค่ะ เมื่อได้แล้วก็จองตั๋วเครื่องบิน เราเลือกบินของการบินไทย ช่วงนั้นมีโปรยุโรปราคาไปกลับประมาณ 34,000 บินตรงเข้ามิวนิค ซึ่งถ้าเทียบกับสายการบินอื่นๆ ที่อาจราคาใกล้เคียงกันแต่ต้องเปลี่ยนเครื่อง เราคิดว่า ราคานี้เป็นราคาที่รับได้ (จองล่วงหน้าประมาณ เดือนครึ่ง)
วีซ่า
แน่นอนว่า เข้ายุโรปต้องเชงเก้น ปกติ ไปยุโรป ก็เคยไปแต่กับทัวร์ มีคนจัดการเรื่องวีซ่าให้ เราแค่ไปยืนๆ ตอบคำถามนิดหน่อย หรือบางทีไม่ต้องไปเลย แต่ครั้งนี้ ต้องทำเอง เราทำงานอยู่ที่ภูเก็ตค่ะ การจะลางานไปเพื่อทำวีซ่าที่กรุงเทพฯ ดูจะเป็นเรื่องไม่ง่ายและเจ้านายไม่น่าจะแฮปปี้ เลยจัดการยื่นขอวีซ่าที่สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ภูเก็ต ซึ่งเป็นของประเทศเยอรมันค่ะ อันนี้ทำการบ้านก่อนจองตั๋วเครื่องบินด้วยเหมือนกัน เพราะรู้สึกเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุดในการเตรียมตัว เอกสารหลักฐานต่างๆ เหมือนทางที่เว็บไซต์ที่กรุงเทพฯ กำหนดเลยค่ะ เพียงแต่ที่นี่ไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า สามารถเข้าไปยื่นเรื่องหากเอกสารพร้อม เปิดบริการถึงแค่บ่าย 2 และมีค่าบริการที่ 3,450 บาทซึ่งแพงกว่า กทม. แต่ก็คือเค้าส่งเรื่องไปที่สถานทูตเยอรมันในกรุงเทพฯ ให้เราเรียบร้อย
เรื่องเอกสารหลังไมค์มาได้นะคะ แต่จุดนี้ขอเล่าความตื่นเต้นสั้นๆ ว่า เราต้องมีการวางแพลนและมีเอกสารจองโรงแรมล่วงหน้าเพื่อประกอบการยื่นร้องขอวีซ่า เราจองผ่าน booking.com ไปค่ะ (สามารถแคนเซิลได้) เราได้นอนทั้งหมด 8 คืน โชคดีที่เยอรมันเราเลือกพักไป 4 คืน ออสเตรีย 2 คืนและเชค 2 คืน (อันนี้เป็นความบังเอิญที่ไม่รู้มาก่อน เพราะเราเข้าใจว่า ถ้าเข้าประเทศไหนเป็นประเทศแรกและดูจากตั๋วเครื่องบิน ก็สามารถให้ขอวีซ่าประเทศนั้นได้โดยที่ยังไม่ต้องรู้ว่าจะอยู่ประเทศไหนกี่วันกี่คืน) และเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าเกิดเห็นว่า ไปพักที่ออสเตรียเยอะกว่า ก็จะต้องให้ไปยื่นขอที่ออสเตรีย ถือว่าโชคดีไปค่ะ ใช้เวลา 1 อาทิตย์หลังจากวันยื่น เราก็ได้รับแมสเสจว่า หนังสือเดินทางของท่านกลับมาแล้ว ให้ไปรับได้ ตอนนั้นตื่นเต้นมีความสุขไปทั้งวันเลยค่ะ ว่าเออ เราก็ทำเองได้นี่นา ดีจัง แต่ให้วันเข้าออกยุโรปมาแบบ ตามตั๋วเครื่องบินไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดเลยนะท่านสถานทูต ชั้นจ่ายตังค์ตั้งแพงนะ : D
แพลนการเดินทาง
มีตั๋วเครื่องบิน มีวีซ่าพร้อมแล้ว ต่อไปก็คือแพลนการเดินทาง ซึ่งจริงๆ ตอนที่ทำแพลนการเดินทางไปขอวีซ่าเราได้ทำคร่าวๆ ไว้แล้ว ทำให้ง่ายต่อการมาใส่รายละเอียดเพิ่มเติม และเราก๊อปปี้เส้นทางจากกระทู้แรงบันดาลใจเป๊ะเลยค่ะ เปลี่ยนเอาจุดหมายนึงออกและใส่ที่อยากไปมากมาแทน ตามภาพประกอบด้านล่างเลยค่ะ
Day 1: Munich
Day 2: Munich>Schwangau>Fussen
Day 3: Fussen>Mittenwald>Innsbruck
Day 4: Innsbruck>Salzburg
Day 5: Salzburg>Hallstatt>Vienna
Day 6: Vienna>Cesky Krumlov
Day 7: Cesky Krumlov>Prague
Day 8: Prague> Rothenburgob der Tauber
Day 9: Rothenburg ob der Tauber>Munich
จะทำเส้นทางการเดินทางเที่ยว เยอรมัน ออสเตรีย เชค อย่าลืมว่า ต้องกลับมาจบที่เดิมเพราะตั๋วเครื่องบินของเราเป็นแบบไป-กลับ และเส้นทางที่เราก๊อปปี้มาจากกกระทู้แรงบันดาลใจนั้น พี่เค้าขับรถ! เพราะฉะนั้นเราก็ต้อง เช่ารถ น่ะสิ?!? ก่อนเข้าเรื่องเช่ารถต้องจองโรงแรมก่อนนะคะ เราหาจาก booking.com ใส่ข้อแม้ไปสองข้อตอน search ว่า มี Breakfast กับ Car Park เพราะที่จอดรถสาธารณะในยุโรป 90% คือเสียค่าจอดนะคะ เพราะฉะนั้นไหนๆ ก็ต้องจ่ายค่าโรงแรมแล้ว ขอกินทั้งข้าวเช้าและจอดรถฟรีด้วย ดีอออก 😉
เช่ารถ
เมื่อชัวร์แล้วว่าเช่ารถมารถเราจะมีที่จอดแน่ๆ ไม่เป็นภาระ ก็จัดการเรื่องจองรถต่อทันที ไม่เคยเช่ารถด้วยตัวเอง ปกติไปกับเพื่อนๆ จัดการให้ เอาล่ะสิ หาข้อมูล มีไม่เยอะนักแถมพูดไม่เหมือนกันสักคน จะแนะนำบริษัทอะไร เชื่อได้ไหม จ่ายเงินก่อนนี่ถูกหลอกรึเปล่า สารพัดความกังวลทำให้ตอนแรกเราถอดใจว่า ไม่ขับก็ได้ แต่นั่นแปลว่า เราต้องปรับแพลนใหม่ทั้งหมด เพราะเส้นทางด้านบนมันคือระยะไกล ที่ขับรถจึงจะสะดวกรวดเร็วและไปถึงมากกว่าขนส่งสาธารณะ ไม่ไหว ตัดใจไม่ได้ แถมช่วงนั้นยังมีข่าวผู้อพยพลี้ภัยตามสถานีรถไฟต่างๆ ในประเทศเหล่านี้ เลยมาลงตัวที่ rentalcars.com ซึ่งเจอรีวิวนึงบอกว่าบริษัทแม่ที่อังกฤษจะโทรมาเลย หากเรามีข้อสงสัยที่จะสอบถาม และก็โทรมาจริงๆ เราได้ถามข้อข้องใจให้หายสงสัย ซึ่งดีมากเลยค่ะเพราะการต้อง prepaid ไปก่อนมันทำให้เราไม่มั่นใจ แต่พอได้รับคำตอบโดยตรงจากเจ้าหน้าที่เราก็สบายใจและพร้อมให้เลขบัตรเครดิตไปทันที : D
รถของเราคือ Volkswagen รุ่น Golf เช่าทั้งหมด 8 วันในราคาประมาณ 12,000 บาท ซึ่งรวมประกันอุบัติเหตุแบบพื้นฐาน สติ๊กเกอร์ติดเรียบร้อยสำหรับขับออกนอกประเทศเยอรมัน รวมถึงฟรีค่าขับขี่สำหรับคนขับคนที่ 2 (Additional Driver) ด้วย รับและคืนที่เดิมแบบน้ำมันเต็มถัง เช่ากับบริษัท CarO ซึ่งบอกว่าเป็นสาขาสนามบินมิวนิค แต่จริงๆ ไม่ได้อยู่ในสนามบิน แต่จะมีรถ Shuttle มารับเราไปที่ศูนย์บริการซึ่งห่างจากสนามบินมิวนิคไปประมาณ 15 นาทีค่ะ หลายคนอาจบอกว่า ไปเที่ยวกันสองคน เช่ารถคุ้มหรอ ปกติต้องหลายๆ คนหารกัน แต่สำหรับตัวเอง คิดว่าคุ้มมากนะคะกับความสะดวกสบายและเหมาะสมกับ Road Trip ตามความตั้งใจเป็นที่สุด
ใบขับขี่สากล
เอาล่ะสิ มีรถขับแล้ว ใบขับขี่สากลมีไหม ก็ต้องไปทำ ทำไม่ยากเลยค่ะเพียงแค่คุณมีใบขับขี่ 5 ปี ของไทย สำเนาพาสปอร์ต รูปถ่าย 2 นิ้วพร้อมเงิน 505 บาท แต่ขอโน้ตความรู้ไว้อย่างนึงว่า ใบขับขี่สากลที่เราได้มา ไม่มีประเทศเยอรมันอยู่ในลิสต์ประเทศที่ขับขี่ได้นะคะ แต่ทุกคนก็บอกใช้ได้ เค้าไม่เช็คตรงนั้น แต่เราทำไปเพื่อความสบายใจ (เกิดโดนตำรวจเรียกจะได้อุ่นใจว่าอย่างน้อยเรามี International Driving License นะ) แถมตอนไปรับรถ เค้าขอดูใบขับขี่ของน้องเราด้วย ซึ่งฮีก็โชว์ใบขับขี่ของประเทศไทยไป เนื่องจากไม่ได้ทำ เค้าก็ไม่ว่าอะไร รอดตัวไปค่ะ
เมื่อเอกสารการเดินทางพร้อมทุกสิ่งแล้ว แลกเงินยูโรไว้เรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปเที่ยว เยอรมัน ออสเตรีย เชค กันเลยค่ะ
Day 1 : Munich เทศกาล October Fest
เรามาถึงมิวนิคด้วยไฟลท์เช้า ในวันก่อนสุดท้ายของเทศกาล October Fest พอดิบพอดี ไม่รอให้หายเจ็ทแล็คอะไรทั้งสิ้น เราให้น้องชายและเพื่อนมารับไปอาบน้ำ ทานอาหารเช้า และออกมาลุยกันเลยค่ะ (วันนี้เราไม่ได้พกกล้องใหญ่นะคะ เพื่อความสะดวกในการเดินเล่นในเทศกาล รูปที่เอามาลงเป็นรูปจากไอโฟนไม่ได้แต่งอะไรเลย)
เทศกาล October Fest นั้นก็คือเทศกาลกินเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมิวนิค ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณกลางเดือนกันยายนไปจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคมเป็นประจำทุกปี
ความสนุกสนานและเสน่ห์ของเทศกาลนี้ ก็คือ ชาวเยอรมันทุกคน (หรือ 98%) จะพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดประจำชาติ สีสันและรูปแบบสดใสแตกต่างกันไป ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งวัยรุ่นมาเดินกันให้ขวักไขว่ แค่นี้ก็สร้างบรรยากาศมากแล้ว นอกจากนั้นแล้วยังมีเครื่องเล่นแบบสวนสนุกกว่า 20 เครื่องเล่น เครื่องเล่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มียิงปืนปาเป้าเสี่ยงโชค ให้อารมณ์คล้ายๆ งานวัด (แต่เป็นแบบฝรั่ง) และมีของที่ระลึกของเทศกาลและอาหารต่างๆ ขายมากมาย และแน่นอน ที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเข้า “เต๊นท์” ที่ต้องต่อแถวยืดยาวเพื่อเข้าไปกินเบียร์แก้วยักษ์ รสชาตินุ่มแบบ Bavarian style แท้ๆ และสัมผัสบรรยากาศการร้องเพลงปลุกอารมณ์ (ให้ฮึกเหิมและคึกคัก) ร่วมกับคนหมู่มาก ชนแก้วกับคนที่ไม่รู้จัก ซึ่งทั้งร้องทั้งชนกันทุก 15 นาที เมาออกมาก็มาเล่นเครื่องเล่นแบบเสียวสุดเหวี่ยงต่อ แค่คิดก็สนุกแล้ว (น้องเราทำแบบนั้นไปรอบนึงก่อนหน้าเราไป อ้วกแตกอ้วกแตนกันแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว)
แต่น่าเสียดายมาก เราพลาดการเข้าเต๊นท์ค่ะ เพราะวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ที่อากาศดีมาก ไม่หนาวเลยกำลังสบาย คนเลยเยอะมาก ต่อแถวทะลุเต๊นท์ที่มีเกือบ 10 เต๊นท์ออกมา ถ้าจะรอคิวคงไม่ได้ทำอะไรพอดี เลยเดินเล่น เล่นเครื่องเล่น กินไอติม ชมผู้คนและบรรยากาศเทศกาลแบบไม่ง่วงเลย
วันแรกนี้เลยกลายเป็นเที่ยวชมเทศกาล และ City Tour แบบพอหอมปากหอมคอแทน อ้อ แต่แน่นอนนะคะ ถึงจะเดินทางมากว่า 10 ชั่วโมง ยังไงเราก็ต้องกินเบียร์ค่ะ 555 เพื่อนของน้องชายเราเลยพาไปร้านอาหารหรือโรงเบียร์ชื่อดังที่สร้างขึ้นในปี 1896 เป็นโรงเบียร์แบบท้องถิ่น (มีหลายสาขา) ที่ทุกคนที่มาเยอรมันต้องมา นั่นคือ HB หรือชื่อเต็มว่า Hofbrauhaus ได้บรรยากาศครึกครื้นเช่นกันค่ะ ไปนั่งโต๊ะยาวร่วมกับคนอื่น ชนแก้วและร้องเพลงกับคนอื่นๆ ทั้งโรงเบียร์ พร้อมดนตรีพื้นเมืองบรรเลงเคล้ากับเบียร์และอาหารเยอรมันแท้ๆ ประเดิมไปมื้อเดียว เพียงพอ 5555 ขาหมูและไส้กรอก คุณแม่เพื่อนน้องชายให้ความรู้มาว่า เยอรมันอาหารจะมีรสชาติออกไปทางเค็ม เพราะช่วงสงครามโลกขาดแคลน จึงปรุงอาหารแบบง่ายที่สุดและปรุงด้วยรสเค็ม เลยกลายมาเป็นอาหารประจำชาติในทุกวันนี้ค่ะ ส่วนเบียร์ แก้วใหญ่ เราขออนุญาตแบ่งกับน้องชายก่อนค่ะ กลัวจะน็อคแต่รสชาติ มัน ฟิน มาก ค่ะ
จัดไปให้ครบ ทั้งขาหมูเยอรมัน ไส้กรอกเยอรมัน
และ…เบียร์เยอรมัน
ไปชมภาพส่วนของ City Tour กันค่ะ
ในเบเกอรี่ก้อยังขายความเป็น October Fest
สถาปัตยกรรมในมิวนิคเป็นสถาปัตยกรรมยุคกลาง
จัตุรัสแมรี่ (Marienplatz) จัตุรัสคึกคักที่มีเสาพระแม่มารีทองคำอันเป็นที่มาของชื่อ บริเวณนี้ผู้คนต้องมาคอยดูตุ๊กตาเต้นระบำในช่วง 11.00 และช่วง 17.00 น.
ส่วนด้านล่างนี้ เป็นบริเวณของพระราชวัง Munich Residenz กับสวนสาธารณะที่ผู้คนมาพักผ่อน มีดนตรีสดบรรเลงได้บรรยากาศมากเลยค่ะ
จากตรงจัตุรัสแมรี่เดินถึงสถานที่ต่างๆ ใจกลางเมืองได้เพราะอากาศสบายๆ อันนี้เป็นภายในโบสถ์ Saint Peter’s Church ที่มีชื่อเสียงด้วยความงดงามของการตกแต่งภายใน และเป็นจุดหมายสำหรับการชมความสวยงามของมิวนิคจากด้านบนหอคอยบริเวณใกล้กันที่ใครๆ ก็ต้องมา ด้วยราคาเพียง 3 ยูโร
หลังจากเถียงกันอยู่นานกับเหล่าสมาชิกเพื่อนน้องชาย ว่าจะขึ้นรึไม่ขึ้น ทุกคนก็ตามใจเราขึ้นไปชมวิวมิวนิคแบบ 360 องศา ด้วยการไต่บันไดกว่า 300 ขั้น เหนื่อยมาก! ที่ Saint Peter’s Tower แต่คุ้มค่าค่ะ (สำหรับเราคนเดียวรึเปล่าไม่รู้ 555) มองลงมาเป็นวิวเมืองและ New Town Hall
เรากลับมาจบวันแรกที่ October Fest อีกครั้ง (ยังมีความหวังว่าจะได้เข้าเต๊นท์ แต่ก็ อด) วันนี้เดินทางในเมืองไปมาไม่ไกลกันเลยแต่ละที่ ใช้รถใต้ดินค่ะ น้องๆ ซื้อเป็นบัตรกลุ่มไว้ให้ล่วงหน้า คุ้มกว่าสำหรับเดินทางหลายคน (วันนั้นมีกัน 5 คนค่ะ) ที่นี่จะไม่ตรวจบัตรโดยสารนะคะ แต่นานๆ จะมีสุ่มตรวจ เพื่อนน้องชายเราอยู่มา 10 ปี โดนตรวจไม่เกิน 5 ครั้งค่ะ แต่ในเมื่อเค้าไว้ใจขนาดนี้ ก็ทำให้ถูกต้องตามกฎกันดีกว่านะคะ
อ้อแล้วอยากจะบอกใครก็ตามที่จะมาช่วงเทศกาล October Fest แบบนี้ ค่าโรงแรม ดับเบิ้ลเป็นสองเท่าเลยนะคะ เราโชคดีที่มีบ้านเพื่อนอาศัยอยู่เลยรอดตัวสำหรับค่าโรงแรมที่แพงหูฉี่และเต็มมากๆ ในช่วงนั้นไป และความโชคดีอีกอย่างก็คือ เราได้ใส่ชุดประจำชาติของเยอรมัน (เรียกว่า Dirnal Dress) เข้าร่วมเทศกาลด้วยค่ะ เป็นมรดกตกทอดจากแม่เพื่อนน้อง ต้องขอขอบคุณด้วยที่ให้ยืมและขอบคุณตัวเองที่ยังใส่ได้ค่ะ เนียนๆ ถักเปียสองข้างไปด้วย ขอกระซิบว่าการได้ใส่ชุดแบบนี้ทำให้เราอินและมีฟีลร่วมกับเทศกาลมากขึ้นเยอะเลยค่ะ กลมกลืน : )
ปิดท้ายวันแรกไปกับภาพ จขกท กับน้องชายนะคะในชุดประจำชาติเยอรมันนะคะ
Day 2 : Munich>Schwangau>Fussen
ได้เวลาเริ่มต้น Road Trip เยอรมัน ออสเตรีย เชค จริงๆ แล้วค่ะ วันนี้เรานั่งรถไฟและรถเมล์จากบ้านเพื่อนน้องชายกลับไปรับรถเช่าที่สนามบิน อาจจะดูเหมือนวางแผนไม่ดีว่าทำไมไม่เช่ารถจากจุดอื่นเพราะก็เพิ่งมาจากสนามบินเมื่อวาน แต่ด้วยรุ่นของรถและเกียร์ออโต้ที่มีจำกัดตามสาขาอื่นๆ (ส่วนใหญ่เป็นเกียร์กระปุกเกือบหมด) เราจึงเลือกที่จองที่สนามบินเพราะตัวเลือกมีเยอะที่สุด ราคาดีและสะดวกที่สุดค่ะ
บริษัท CarO มีจุดนับพบตรงทางออกและมีรถ Shuttle พาไปรับรถที่สาขาซึ่งห่างไป 15 นาที เซ็นเอกสาร ตรวจเช็ครถ ตั้ง GPS (ที่ยืมมาจากเพื่อนน้องชาย หากเช่าต้องเสียเงินเพิ่มวันละ 8 ยูโร) เรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทาง โดยมีน้องชาย (ผู้ที่มีเพียงใบขับขี่ของประเทศไทยแต่ไม่ไว้ใจเรา) เป็นคนขับค่ะ
จุดหมายแรก ของเราคือ ปราสาท Neuschwanstein หรือปราสาทเทพนิยายที่เป็น The Must ของทุกคนที่มาเยือนภูมิภาค Barvaria แห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมือง Schwangau ซึ่งห่างจากสนามบินไป 2 ชั่วโมง และแน่นอนว่า เราไม่ทิ้งคอนเซป Road Trip จึงหาสถานที่สำหรับแวะระหว่างทางก่อนถึงปราสาท เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าคนขับต้องขับยาวเกินไป และสถานที่นั้นก็คือ โบสถ์ Wiekirche หรือ Pilgrimage Church of Wies โบสถ์ที่สร้างขึ้นโดยศิลปินเอก Dominikus ในยุคศิลปะแบบร็อคโคโค ภายในโบสถ์สวยงามมากๆ เลยค่ะ ด้วยตัวรายละเอียดการรูปสลักตามเสาบวกกับกลางเพดานซึ่งเป็นภาพวาดบนสรวงสวรรค์ วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์กำลังมีพิธีพอดี ผู้คนร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าได้บรรยากาศมาก น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายภาพ และช่วงตอนนั้นฝนก็เริ่มตกอย่างหนักทำให้เราถือกล้องไปเก้อไม่ได้ควักออกมาใช้ถ่ายภายนอกด้วยเลยค่ะ
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
เราทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารแถวๆ หน้าโบสถ์ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางหลักของวันนี้
ตอนขับรถใกล้ถึง เรามองเห็นปราสาทนอยอยู่ไกลๆ แล้วแต่ฝนตกแรงมาก ฟ้าก็มืดมาก ปราสาทกลายเป็นสีเทาๆ ตอนนั้นเสียใจมากเลยว่า อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกลเพื่อมาดูปราสาทนี้ ทำไมฟ้าฝนไม่เป็นใจกับเราเลย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจที่จะลงไปถ่ายรูปหายไป ยังคงแวะจอด และถ่ายรูปปราสาทแบบเทาๆ มาตอนฝนซาจนได้ ดังภาพด้านล่างค่ะ
ขยับเข้าไปใกล้ปราสาทขึ้นเรื่อยๆ ฝนก็หยุด เราก็จอดถ่ายอีก หันไปมองฝั่งขวาที่ปราสาทใกล้กัน คือ ปราสาท Hohenschwangau ความหวังปรากฎค่ะ แสงแดดมาจากทางนั้น ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้า อัศจรรย์มากๆ เลย
ในที่สุดอากาศที่เลวร้ายขั้นสุดก็กลับกลายเป็นดีอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นดีใจและมีความสุขยิ่งกว่าอะไร ถึงแม้ฝั่งซ้ายจะไม่ได้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสเท่าฝั่งขวา แต่ก็ทำให้ปราสาทเทพนิยายในฝันของเรา (และหลายๆ คน) สดใสขึ้นมาทันที มีฟีลลิ่งฝันๆ แบบนี้เลยค่ะ
ก่อนจะมา หาข้อมูลมาว่า จุดที่จะเห็นปราสาทได้สวยที่สุดก็คือ มุมมองจากสะพานแมรี่ แต่โชคไม่ดีนักที่ช่วงที่เราไปดันปิดซ่อมถึงเดือนพฤศจิกายนพอดี ทำให้เราต้องหาจุดอื่นที่จะสามารถเห็นวิวปราสาทแบบเต็มอิ่มได้มาทดแทน เลยมาลงตัวที่ยอดเขา Tegelburgbahn (ห่างจากปราสาท 5 นาที) ซึ่งมีเคเบิลคาร์พาเราขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมวิวของเมืองและวิวด้านหน้าของปราสาท ค่าขึ้นคนละ 19 ยูโรสำหรับผู้ใหญ่ คุ้มค่าแค่ไหน ตามมาดูกันนน
จุดที่จะมองปราสาทได้เต็มตาที่สุด ก็คือระหว่างขึ้นเคเบิลคาร์ไปค่ะ ขอให้ชิดกระจกฝั่งขวาไว้นะคะ แล้วจะได้เห็นภาพแบบนี้ค่ะ
เข้าใจแล้วว่า ทำไมเค้าถึงบอกว่า ดิสนีย์ เลือกเอาปราสาทแห่งนี้ไปเป็นต้นแบบทำปราสาทของซินเดอเรลล่าที่ดิสนีย์แลนด์ มันสวยงามจริงๆ อ้อ แล้วก็ทะเลสาบที่เห็นด้านล่างคือ ทะเลสาบ Alpsee ข้างปราสาท เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะลงไปตรงนั้นกันค่ะ
บนยอดเขามีร้านอาหาร ร้านกาแฟเล็กน้อย และคนไม่เยอะมากนัก เพราะผู้คนให้ความสนใจกับการเข้าชมภายในตัวปราสาทกันมากกว่า (อาจมีคนบ้าแบบเราไม่เยอะที่เลือกจะให้ความสำคัญจากภายนอก มากกว่าภายใน) บนนี้อากาศดีมากถึงมากที่สุด และวิวก็ฟินมากถึงมากที่สุด เหมาะกับคนที่ชอบการเทรคกิ้ง เพราะมีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลายทาง แถมยังมีทางเดินลงไปที่สะพานแมรี่ให้เราเจ็บช้ำใจเล่นอีกด้วยยย ชิชะ
ฟินๆ ไปกับช็อคโกแลตร้อนพร้อมฉากหลังแบบนี้
เรากะน้องเลือกสุ่มเดินไปหนึ่งเส้นทาง ทำให้ได้เห็นวิวเทือกเขาแอลป์ที่มีหิมะอยู่ไม่ไกล สดชื่นมากเลยค่ะ น้องเราเลยนอนอาบแดดบนยอดเขาซะเลย
ใช้เวลาสักพักเราก็กลับลงมาด้านล่าง และด้วยกลัวคุณน้องชายจะเบื่อการถ่ายภาพมากของเรา เราเลยให้เล่นเครื่องเล่นที่อยู่ด้านล่าง เรียกว่า Luge Ride คล้าย Roller Coaster เรานั่งในถาดเล็กๆ มีที่บังคับด้วยตัวเองให้ไถมากหรือไถน้อย สนุกดีค่ะ รอบนึงประมาณ 10 กว่านาที (ขึ้นอยู่กับการบังคับของเรา) เราก็เสียวๆ โค้งนั่นนี่ ในขณะที่น้องหายไปไหนแล้วไม่รู้ ลมเย็นๆ อากาศดี เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมแนะนำค่ะ
ขอยืมภาพประกอบมาจาก youtube ค่ะ
จากนั้นเราก็นั่งเคเบิ้ลคาร์ลงมาด้านล่าง และขับรถไปจอดที่ทะเลสาบ Alpsee บริเวณข้างปราสาท มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและเป็นพื้นที่เหมือนสวนสาธารณะที่นักท่องเที่ยวและผู้คนต่างพากันมาพักผ่อนหย่อนใจ เราก็ถ่ายรูปเพลินๆ อากาศดีสุดๆ ไปเลยค่ะ
อันนี้มองย้อนกลับไปที่ปราสาท ด้านข้างค่ะ เป็นอีกวิวนึง (จากที่จอดรถไปปราสาทจะเป็นจากมุมนี้เลยค่ะ แต่ยังขอยืนยันนะคะว่ามุมสูงที่เราเลือกนั้นเด็ดสุด 5555)
อันนี้ปราสาทข้างๆ กัน Hohenschwangau ที่อยู่ติดกับที่จอดรถเลยย
จุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้ ก็คือเข้าที่พักอยู่ในเมืองใกล้เคียง (เนื่องจากโรงแรมในตัวเมือง Schwangau และเมือง Fussen ซึ่งมีชื่อเสียงมีราคาค่อนข้างสูง เกินงบคืนละ 3 พันต้นๆ ของเราไป) ก่อนถึงเมืองที่พักเราต้องผ่านเมือง Fussen ซึ่งอยู่ตรงข้ามแม่น้ำของเมือง Schwangau ที่มีบ้านเรือนสีสันน่ารัก เราจึงแวะหาที่จอด ทานอาหารเย็นในร้านอาหารเอเชียน (คุณน้องขอมา) และถ่ายรูปบ้านสีสันน่ารักๆ มาให้ชมเป็นการปิดท้ายวันที่ 2 แบบแฮปปี้ๆ ของทริปค่ะ
Day 3 : Fussen>Mittenwald>Innsbruck
วันนี้จะข้ามเขตแดนไปยังประเทศออสเตรียกันแล้วนะคะ เพียงแต่เลือกใช้เส้นทางที่ผ่านเทือกเขาแอลป์ เพื่อให้เส้นทางผ่านมีสถานที่น่าสนใจให้เราได้แวะกันค่ะ
ที่แรกที่จะแวะวันนี้ คือ ทะเลสาบ Plansee ซึ่งห่างจาก Fussen ไปเพียงครึ่งชั่วโมง แวะถ่ายรูป เดินเล่นชิวๆ สักพักก็ไปต่อ
จุดหมายต่อมา ที่ห่างมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็คือ พระราชวัง Linderhof ในเมือง Ettal เป็นพระราชวังขนาดไม่ใหญ่โต หรือเรียกได้ว่าเล็กที่สุดในเยอรมัน สร้างโดย King Ludwig และเป็นพระราชวังเดียวที่สร้างเสร็จในช่วงที่คิงยังมีชีวิตอยู่ มีทัวร์นำชมภายในพระราชวัง ซึ่งภายในห้ามถ่ายภาพ (อีกแล้ว) แต่ต้องขอบอกว่า ปราสาทนี้เล็กพริกขี้หนูจริงๆ ค่ะ เพราะดีเทลด้านในปราสาทที่มีอยู่ไม่กี่ห้องนั้น เว่อวังอลังการมาก เนื่องจากมีต้นแบบมาจากพระราชวังส์แวร์ซายสน์อันโด่งดังในประเทศฝรั่งเศส แม้กระทั่งห้องคนรับใช้ยังสวยและดีเทลแบบสุดๆ ไปเลยค่ะ
ต้นไม้กำลังเริ่มจะพีคคค ถ่ายรูปออกมาถูกใจคนถ่ายยิ่งนักกก
ส่วนด้านนอกนั้นเป็นป่าเขาที่มีต้นไม้หนาแน่น เรียกได้ว่า พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง ในส่วนของตั๋วที่เราซื้อ มีรวมค่าเข้าชมถ้ำใต้ดินพร้อมเรือหอยซึ่งอยู่บนเนินหลังปราสาท พร้อมคนบรรยายอีกด้วย ส่วนนี้ไม่มีอะไรพิเศษค่ะสำหรับเรา เลยไม่ได้ถ่ายมานะคะ
เดินถ่ายภาพเพลินๆ ไปมา ไม่รู้ทำไมไปถึงบนนี้ได้ 5555 แต่มุมย้อนกลับมาแบบนี้มันใช่เลยยย
จากนั้นเราก็มาทานอาหารที่ร้านบริเวณปากทางเข้ากัน จำชื่อเมนูไม่ได้แล้ว แต่รู้ว่านี่คือข้าว (หรือเส้น) แบบบาวาเรียนของแท้ เลยต้องกินซะหน่อย ชุ่มชีสสสเชียว อร่อยดีค่ะ
และฟินยิ่งไปกว่านั้น คือ เบียร์! ไม่พลาดดด ก็ไม่ได้เป็นคนขับรถนี่เนาะ 5555
ได้เวลาออกเดินทางกันต่อค่ะ
ขับรถ 45 นาทีจากปราสาทลินเดอร์ฮอฟ เราก็มาถึงเมือง Mittenwald ซึ่งเป็นเมืองตะเข็บชายแดนระหว่างเยอรมันกับออสเตรีย เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความน่ารักของบ้านเรือน ที่วาดเขียนตามผนังนอกบ้าน เหมือนกับภาพวาดในโบสถ์แต่มาอยู่ด้านนอกแทน ทำให้มีสีสัน และการที่ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาก็ทำให้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ควรค่าแก่การมาแวะเวียนขึ้นไปอีก หลังหาที่จอดรถได้เรากินไอติมอิตาเลียน (ซึ่งมีขายหลายร้านมาก ตกลงชั้นอยู่ประเทศอัลไล 555) และชิวๆ กันสักพักก่อนเดินทางข้ามประเทศกันต่อ
รู้สึกเก็บภาพได้เยอะเลยค่ะ ดูกันไปเพลินๆ นะคะ
การสร้างทางสำหรับน้ำจากภูเขาไหลผ่านกลางเมืองแบบนี้ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นไม่น้อยเหมือนกัน
อดใจไม่ไหวว กินกันเพิ่งนึกได้ อ่าวลืมถ่าย :p
รูปส่งท้ายยย แล้วเราก้อได้เวลาออกจากเยอรมันแล้วค่าาาา
ในที่สุด เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ ข้ามเขตแดนเข้าประเทศออสเตรียเป็นที่เรียบร้อยที่เมือง Innsbruck เมืองแห่งนี้มีมีน้ำอินไหลผ่านและถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ คำว่า bruck มีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า bridge (สะพาน) เพราะฉะนั้นชื่อของเมืองนี้ เท่ากับ Bridge over the Inn
เรามาถึงในช่วงที่ยังไม่เย็นนัก แวะเข้าเก็บของที่โรงแรม จอดรถทิ้งไว้ ก่อนออกมาเดินตามหาแลนด์มาร์ค 4 แห่งในเมือง ไม่น่าเชื่อว่า เราสามารถเก็บได้ครบทุกอย่างด้วยการเดิน ภายในเวลาก่อนมืด
แลนด์มาร์คทั้ง 4 แห่ง ได้แก่…
บ้านสีลูกกวาดเรียงแถวเป็นระเบียบ หรือที่ผู้คนเรียกติดปากกันว่า Candy House ริมแม่น้ำ และนี่ละค่ะ แม่น้ำอินน์
ประตูชัย Triumphpforte
หลังคาทอง หรือ Golden Roof บริเวณจัตุรัสใจกลางเมือง (ไว้ตามไปดูภาพตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้กันนะคะ)
และเสา Annasuale มุมใกล้ไม่ค่อยพิเศษค่ะสำหรับเรา ให้ไปดูมุมไกลล แบบเป็นส่วนประกอบของเมืองและของภาพแทน 5555 (ภาพถัดไปค่ะ)
และถ้าใครเป็นแฟนละครช่อง 3 เหมือนเรา…เพลิงนรีเลยค่ะ นี่คือฉากเมืองประเทศไทรจิส ไปตามหาดูกันได้ เราชอบมากๆ เลย คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นเมืองในขณะเดียวกัน
ต้องบอกว่า ตึกราบ้านช่องต่างๆในเมือง Innsbruck เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรียบง่ายแต่สำหรับเรามีเสน่ห์ในแบบตรงไปตรงมา ตึกทั่วไปจะไม่สูงเกิน 5 ชั้นค่อนข้างเบียดเรียงกันและเป็นสีพาสเทล มองไปทางไหนก็สบายตา มีร้านกาแฟและร้านอาหารหลายชาติให้เราได้เลือก ที่สำคัญสามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจและทั่วถึงอีกด้วย
อ้อ เพิ่มเติมอีกอย่างนึง ที่นี่เป็นเมืองที่มีรถรางอยู่กลางเมือง เราไม่ได้มีโอกาสใช้บริการ แต่มีโอกาสได้เดินบนทางรถรางค่ะ 5555 เนื่องมาจากความทุ่มเทในการถ่ายภาพ เราจึงเลือกไปยืนกลางถนน (กลางรางนั่นแหละ 5555) แถมผู้คนยังปั่นจักรยานกันแอบซิ่งอีกก เอ๊ะรึเราผิดไปเดินขวางทางเค้า
สนุกเร้าใจ (อยู่คนเดียว) ไปอีกแบบ เพราะอิน้องชายก็คอยตะโกนตามตลอด เฮ้ยฟ้าระวัง ! 5555
อาหารเย็น เปิด TripAdvisor มาร้านๆ นึง (ขออภัยจริงๆ จำชื่อไม่ได้) แต่คนแน่นมากเลยในร้าน จึงออกมานั่งหนาว (ทรมาน) ข้างนอก แต่อยากบอกว่าอาหารอร่อยมากเลยนะคะ ของเราเป็นปลา ของน้องเป็นเนื้ออะไรสักอย่างกับมันฝรั่งบนกระทะร้อน ชมภาพเอาแล้วกันนะคะ พิกัดอยู่แถวๆ ซุ้มประตูโค้งๆ เดินจากบริเวณเสา Annasuale นั้นได้เลยค่ะ
และแล้วก็หมดไปอีกวันค่ะ เดี๋ยวจะมาต่อเป็นกระทู้ใหม่ ตอน 2 นะคะ ฝากติดตามด้วยค่า และก็ขอขอบคุณทุกคอมเม้นและการติดตามเลย มันทำให้คนทำกระทู้ครั้งที่ 2 แบบเรามีกำลังมาต่ออออให้เสร็จเร็วที่สุดไปเลยค่ะ
ขอบคุณ Guest สุดพิเศษ คุณ fahnarisa สังกัด Pantip จากกระทู้ [CR] Romantic Road Trip: สองพี่น้องขับรถเที่ยวเยอรมัน ออสเตรีย เชค ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (1) ที่มามอบประสบการณ์ เที่ยว เยอรมัน ออสเตรีย เชค ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมแบบจัดเต็ม ได้รับเสียงปรบมือจากเราไปเลย!!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩
พูดคุยกับ Guest ได้ที่ : ไปตามภาพ (https://www.facebook.com/dreampicturefollower/)