ประวัติประเทศญี่ปุ่น ฉบับย่อ และ 30 สิ่งที่นักท่องเที่ยวควรลอง (ทำ)
การก่อตั้งรัฐๆนึงขึ้นมา โดยยึดเอาเมืองนาราเป็นเมืองหลวง ซึ่งเมืองนารานี้ก็เอารูปแบบมาจากประเทศจีนนั่นเอง
2. ต่อมาก็เกิดการรบกัน กลุ่มอำนาจขั้วต่างๆ ทะเลาะกัน จนพระจักรพรรดิได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงมาที่เกียวโต
3. เหตุการณ์การทะเลาะเบาะแว้งกันยังไม่จบไม่สิ้น นายทหารที่มีชื่อว่า Minamoto จึงได้ประกาศตัวเป็นใหญ่ ใน
ตอนนั้นนายทหารคนนี้มีอำนาจมาก โดยดำรงตำแหน่งโชกุนค่ะ ด้วยความที่พระจักรพรรดิอ่อนแอ โชกุนก็เลยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จปกครองญี่ปุ่นทั้งหมดจากเมือง Kamakura ซึ่งพระจักรพรรดิก็ยังคงมีอยู่นะคะแต่ไม่มีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง
4. ยุคนี้เป็นยุคที่ซามูไรเฟื่องฟูถึงขีดสุด บ้านเมืองถูกปกครองโดยไดเมียว มาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1590-1600
5. ต่อมากลุ่ม Tokugawa ได้ขึ้นมาครองอำนาจแทนโชกุนคนเดิม โดยมี Ieyasu Tokugawa เป็นโชกุนคนแรก เมื่อ
มีการเปลี่ยนตระกูลโชกุน จึงได้ย้ายมาใช้เมือง EDO หรือโตเกียวในปัจจุบันมาเป็นศูนย์กลางในการสั่งการค่ะ
6. ในห้วงเวลาที่ตระกูล Tokugawa มีอำนาจได้สั่งปิดประเทศตั้งแต่เริ่มปกครอง โดยห้ามไม่ให้ใครออกนอกประเทศ
และไม่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเป็นอันขาด
7. การปิดประเทศต้องมีอันสิ้นสุดลง เมื่อกองทัพเรือของสหรัฐอเมริกา ได้เอาเรือที่มีแสนยานุภาพมาบังคับให้ญี่ปุ่น
เปิดประเทศ สุดท้ายญี่ปุ่นจึงโดนบังคับให้เซ็นสัญญาเปิดประเทศในปี 1868 อีกทั้งมีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มที่ต้องการคืนอำนาจให้กับพระจักรพรรดิและฝ่ายของโชกุน จึงเกิดการต่อสู้กันที่เรียกว่า Boshin War ฝ่ายของโชกุนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงต้องลาออกและคืนอำนาจให้กับพระจักรพรรดิ
8. เมื่อมีการเปิดประเทศ ผนวกกับโลกในยุโรปและอเมริกากำลังเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นที่เปิดประเทศ
ขึ้นมาพอดีก็เจริญด้วยการค้าขายกับต่างประเทศ จากที่ปิดประเทศมาเป็นเวลา 260 ปี ญี่ปุ่นก็ได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2
9. เพียง 5 ปีหลังจากประกาศสงคราม ญี่ปุ่นก็แพ้สงครามอย่างยับเยิน โตเกียวถูกบอมบ์จนแทบไม่เหลืออะไรเลยผู้คนบาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์นี้จำนวนมาก หลังจากเหตุการณ์นี้ญี่ปุ่นต้องเร่งฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง ทำให้เข้ามามีส่วนร่วมในการค้าเสรีหลายฝ่ายระหว่างประเทศ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 ญี่ปุ่นก็กลายเป็นประเทศที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจและมีเสถียรภาพทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
และนี่ก็คือประวัติประเทศญี่ปุ่นแบบคร่าวๆ ที่นำมาลู่กันฟัง เป็นยังไงคะ เห็นแล้วถึงกับต้องร้องว่าโอ้โห เก่ง
และเจ๋งขนาดนี้ขอยกนิ้วให้ และ เอาไปเลย 5 ดาว!!! หลังจากที่เราทำความรู้จักประวัติประเทศญี่ปุ่นกันไปแล้ว คราวนี้เรามาแนะนำกิจกรรมเด็ดๆ ที่ห้ามพลาดกันดีกว่าค่ะ ตามเรามาเล้ย
2. นั่งรถไฟชินคันเซ็น ชินคันเซ็นหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ารถไฟหัวกระสุน (bullet train) สำหรับที่มาของคำว่ารถไฟหัวกระสุนก็มาจากลักษณะของหัวรถจักรที่มีลักษณะคล้ายกับหัวกระสุนปืนและยังมีความเร็วสูงเหมือนกระสุนปืนนั่นเอง ชินคันเซ็นเป็นรถไฟความเร็วสูงที่สามารถวิ่งด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากจุดเด่นในเรื่องความเร็วก็ยังขึ้นชื่อสุดๆ ในเรื่องความปลอดภัยอีกด้วย!
3. กินราเมง ราเมงของญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความหลากหลายของอาหารจีนอีกต่อไป เพราะราเมงของเค้ามีการพัฒนาจนมีลักษณะเฉพาะในแบบของเค้าเองเล้ย คุณสามารถที่จะเลือกกินราเมงที่มีมากมายหลายแบบได้ทั่วทั้งญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ
4. ถ่ายรูปสติกเกอร์ Purikura เป็นตู้ถ่ายรูปสติกเกอร์แบบญี่ปุ่น จุดเด่นของตู้ถ่ายรูปแบบพุริคุระ ก็คือลูกเล่นน่ารักๆ ในการแต่งภาพที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบ็กกราวด์สีสันสดใส แสงไฟในตู้ถ่ายที่จำลองมาจากแบบสตูดิโอภาพ หรือ แม้แต่ตัวอักษรและลายน่ารักๆ ในการตกแต่งภาพ
6. ไปสักการะศาลเจ้าอิสึคุชิมะ ศาลเจ้าในศาสนาชินโต ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาลูกสาวของ สุซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ ซึ่งเป็นเทพแห่งพายุและท้องทะเล และบูชาเทพเจ้าหญิงแห่งดวงอาทิตย์ อามาเทราสุ (Amaterasu) และเกาะมิยาจิมะถือเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ คนธรรมดาไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบขึ้นมาบนเกาะนี้ เพื่อที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของเกาะมิยาจิม่าไว้ ดังนั้นจึงสร้างศาลเจ้าให้มีลักษณะคล้ายแพ ซึ่งลอยอยู่เหนือผืนดินเพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมได้อยู่บนแพนั่นเอง
8. ไปลองทำโซบะ หนึ่งในอาหารดั้งเดิมของญี่ปุ่น เราสามารถที่จะไปลองทำโซบะและชิมโซบะฝีมือของเราเองได้ด้วย โดยมีหลายที่เลยที่จัด workshops การทำโซบะให้เราได้เข้าไปพิสูจน์เสน่ห์ปลายจวักกันค่ะ
9. นั่งรถไฟฮาโกเน่โทซัง รถไฟเส้นทางภูเขาที่จะเดินทางผ่านหุบเขา ป่า สะพาน และอุโมงค์ค่ะ โดยระหว่างทางจาก Hakone-Yumoto ถึง Gora นั้นทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมาก โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม ดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าจะบานสะพรั่ง และเรืองแสงในช่วงเย็นค่ะ
10. ลองนั่งรถไฟในช่วงเวลาเร่งด่วน! รถไฟในช่วงเวลาประมาณ 7.00 น. เค้าจะเรียกว่า “Manin-densha” หรือช่วงทึ่คนอัดแน่นอยู่ในรถไฟเหมือนปลากระป๋องยังไงยังงั้น
11. ไปช้อปปิ้งที่ถนน Harajuku’s Takeshita สถานที่ยอดนิยมของชาวต่างชาติ เป็นแหล่งรวมร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นตลอด 2 ข้างทาง แถมการเดินทางมาที่นี่ก็ยังง่ายดายอีกต่างหาก
12. ดูคาบูกิ ศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ในการแสดงคาบูกินั้น ตัวละครจะมีการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉง แสดงออกซึ่งท่าทางที่มีความหมาย เช่น ร้องไห้ เสียใจ ดีใจ โกรธ ทำให้ละครคาบูกิเป็นที่นิยม การแสดงถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นที่นิยมที่สุดในสมัยเอโดะ
13. เล่นปาจิงโกะ การพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นค่ะ การเล่นก็จะคล้ายๆ กับการเล่นเกม แต่เป็นการเล่นเกมแบบใช้เงินจริง! ใครอยากลองก็อย่าเล่นจนเพลินนะคะ แล้วอย่าลืมดูเงินในกระเป๋าตังค์ด้วยยย
14. ตระเวนกินที่ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ย่านช้อปปิ้งและย่านกินดื่มของโอซาก้า ที่จะคึกคักมากๆ โดยเฉพาะในเวลาค่ำคืน ย่านนี้เริ่มตั้งแต่สะพานโดทงโบริบาชิไปจนถึงสะพานนิปปงบาชิ โดยสัญลักษณ์ของย่านนี้คือป้ายไฟกูลิโกะ ที่ใครมาก็จะต้องยืนถ่ายรูปกับป้ายไฟนี้ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึงโดทงโบรินะจ๊ะ
15. ดื่มโชจู ก็คือว็อดก้าแบบญี่ปุ่นนั่นเอง ทำมาจากข้าว มันฝรั่ง เป็นต้นค่ะ โดยปกติโชจูจะมี % แอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง สำหรับวิธีการดื่มโชจูก็มีหลายหลาย ตามแต่ความชอบของแต่ละคน เช่น ดื่มเพียวๆ ดื่มกับเบียร์ หรืออาจจะดื่มแบบค็อกเทลค่ะ
17. อ่านมังงะที่มังงะคาเฟ่ โดยเราสามารถจ่ายค่าธรรมเนียม เพื่อเข้าไปอ่านหนังสือการ์ตูนเป็นพันๆ เล่ม อยากอ่านหนังสือเล่มไหนก็หยิบมาอ่านได้ทันทีแถมยังสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย
18. ไปบ่อน้ำพุร้อนที่สวนลิงจิโกคุดานิ ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาจิโกคุดานิ เป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ลิงป่าลงมาอาบน้ำ และเป็นที่อยู่อาศัยของลิงหิมะค่ะ แม้ว่าสวนสาธารณะแห่งนี้จะเปิดตลอดทั้งปี แต่ลิงจะลงมาอาบน้ำพุร้อนในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนธันวาคม-มีนาคมเท่านั้น และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาชมคือเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์นั่นเอง
19. ไปนั่งชิลล์ที่ร้านอิซากายะ เป็นร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นค่ะ ลักษณะก็จะคล้ายๆ กับบาร์ ที่นอกจากจะสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว ก็ยังเสิร์ฟอาหารไล่ไปตั้งแต่ออเดิร์ฟแบบเบาๆ ไปจนถึงจานหนักท้องเลย
20. ชิมเนื้อวากิว สุดยอดเนื้อคุณภาพดีระดับโลกกกก วากิวเป็นคำที่มักใช้เรียกเนื้อวัวญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อจนดูเหมือนกับลายหินอ่อน ยิ่งลายละเอียดมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เนื้อมีรสชาติหวานนุ่มละมุนลิ้น จึงเป็นเนื้อชั้นเยี่ยมที่มีราคาแพงสุดๆ เพราะใช้เวลามากกว่าปกติในการเลี้ยงดูและทำให้วัวสร้างไขมันในเนื้อขึ้นมา
22. ให้อาหารกวางที่นารา กวางเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนารา เนื่องจากชาวนารามีความเชื่อว่ากวางเป็นสัตว์รับใช้เทพเจ้า ปัจจุบันเมืองนารามีกวางเดินอยู่อย่างอิสระทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้า วัด หรือตามท้องถนน
23. ชมสวน Kawachi Fuji อุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่สวนคาวาชิฟูจิ เป็นที่รู้จักกันดีและเป็นจุดชมและถ่ายภาพดอกวิสทีเรีย ที่นิยมมากของเมืองคิตะคิวชู ช่วงที่ดอกไม้บานสะพรั่งพีคที่สุดคือช่วงปลายเดือนเมษายน-กลางเดือนพฤษภาคม
24. สี่แยก Shibuya Scramble Crossing สี่แยกที่คนเยอะมากกกกก เรียกได้ว่าตอนเดินข้ามถนนเหมือนจะโดนฝูงชนกลืนไปเลยทีเดียว
25. ชมสวนสัตว์ Asahiyama สวนสัตว์ที่มีชื่อเสียงในแถบรอบนอกของเมืองอะซาฮิกาว่า กลางเกาะฮอกไกโด ซึ่งทางสวนสัตว์อนุญาตให้ผู้เข้าชมได้เข้าชมสัตว์นานาชนิดจากหลากหลายมุมมอง เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนสวนสัตว์แห่งอื่นๆ ไฮไลท์ของที่นี่คือ อุโมงค์แก้วผ่านสระว่ายน้ำของเหล่าเพนกวิน และโดมแก้วขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลางของโซนหมีขั้วโลกและหมาป่า ผู้เข้าชมจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน สวนสัตว์แห่งนี้ยังเป็นสวนสัตว์แห่งแรกที่มีการจัดให้นกเพนกวินออกเดินในช่วงฤดูหนาวอีกด้วย
26. ไปช้อปที่ร้านสะดวกซื้อ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจด้านการอุตสาหกรรม นอกจากนี้ก็ยังมีร้านสะดวกซื้อที่มีคุณภาพสูง การจัดการสินค้ามีความพิถีพิถันและสินค้ามีความหลากหลายสุดๆ
27. ช้อปกระจายที่ร้าน 100 yen คุณสามารถเลือกซื้อสินค้าอะไรก็ได้ที่มีราคาเพียงแค่ชิ้นละ 100 เยน แถมยังคุณภาพดีเกินราคาอีกด้วยนะ
28. ชมดอกไม้ไฟ ไฮไลท์สำคัญของหน้าร้อนในญี่ปุ่นก็คือการชมดอกไม้ไฟ ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี จะมีการยิงดอกไม้ไฟทั่วทุกภูมิภาคเกือบทุกสุดสัปดาห์ ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะสวมชุด Yukata เพื่อมาเดินชมงาน ภายในงานนั้นเรียงรายไปด้วยร้านแผงลอย ทั้งแผงอาหารและเกมต่างๆ ซึ่งมีเฉพาะในงานเทศกาลหน้าร้อนเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ดอกไม้ไฟจะเริ่มจุดในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นเวลาประมาณ 1-2 ชม.
29. สัมผัสประสบการณ์ใหม่ด้านวิทยาศาสตร์ที่มิไรคัง เป็นสถานที่จัดแสดงเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่ก่อให้เกิดผลงานนวัตกรรมใหม่ๆ โดยจัดแสดงแบบสองภาษา คือ ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ เช่น นิทรรศการเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม หุ่นยนต์ Asimo เทคโนโลยีสารสนเทศ ชีววิทยา และการสำรวจอวกาศ เป็นต้น
30. งานเทศกาลหิมะที่ซับโปโร แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมงานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโรเป็นจำนวนมาก บางปีมีผู้เข้าชมงานมากถึงกว่าสองล้านคนกันเลยทีเดียว และมีผู้เข้าร่วมสร้างสรรค์ผลงานจากที่ต่างๆ นำความหลากหลายและทันยุคสมัยมาให้ได้ชมกัน โดยภายในเวลาที่จัดงานช่วงสั้นๆ แค่ 7 วันเท่านั้นเอง
สวน Kawachi Fuji
เวลาเปิด-ปิด: 9.00-18.00 น.
การเดินทาง : สถานี JR Yahata แล้วโดยสารรถบัส Nishitetsu ลงที่สถานี Kawachi Elementary School แล้วเดินต่อไปยังสวนประมาณ 10-15 นาที หรือนั่งรถ Shuttle Bus ฟรี จากสถานี Yhata ลงที่สถานี Ajisainoyu Onsen
พิกัด :
ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ (Itsukushima Shrine)
เวลาเปิด-ปิด : 06.30-18.00 น.
การเดินทาง : นั่งรถไฟมาลงที่สถานี MIYAJIMAGUCHI แล้วต่อเรือเฟอรี่มาลงที่เกาะมิยาจิม่า เดินประมาณ 900 เมตร จะถึง ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ
พิกัด :
สวนลิงจิโกคุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
เวลาเปิด-ปิด: เดือนเมษายน-ตุลาคม 8.30 -17.00 น. เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม 9.00-16.00 น.
วิธีเดินทาง : จากสถานี Yudanaka Station โดยสารรถบัสไปยัง Kanbayashi Onsen (10-15 นาที 310 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1 รอบ), Shibu Onsen (5-10 นาที 190 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1-2 รอบ) หรือ Nagano Station (40 นาที 1,400 เยน บัสออกวันละ 4-10 รอบ) โดยรถบัส Yudanaka-Kanbayashi จะจอดที่ Kanbayashi Onsen bus stop แต่บัสสายอื่นๆ จะจอดที่ Kanbayashi Onsen-guchi bus stop แล้วเดินต่ออีกเล็กน้อย
พิกัด :
โตเกียว สกายทรี
เวลาเปิด-ปิด : 8.00 – 22.00 น.
การเดินทาง : เดิน 5 นาที จาก Tokyo Skytree Station [Tobu Isesaki Line] หรือ เดิน 5 นาที จาก Oshiage Station [Asakusa Subway Line]
พิกัด :
สวนสัตว์ Asahiyama
เวลาเปิด-ปิด : ปลายเดือนเมษายน-กลางดือนตุลาคม 9.30-17.15 น.(เข้าก่อน 16:00)
กลางเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน 9.30-16.30 น.(เข้าก่อน 16:00)
กลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนเมษายน 10.30-15.30 น. (เข้าก่อน 15:00)
วันปิดทำการ : วันที่ 30 ธันวาคม – 1 มกราคม
การเดินทาง :
จากสถานี Asahikawa Station โดยสารรถบัสประจำทางหมายเลข 41,42 หรือ 47 ไปลงที่ Asahiyama Zoo ใช้เวลา 40 นาที ค่าใช้จ่ายเที่ยวเดียว 440 เยน บัสออกชั่วโมงละ 2 เที่ยว
พิกัด :