Mushroom Travel

ฮอกไกโด – โตเกียว 12 วัน กินจนต้องกลิ้งกลับบ้าน ตอน 3

 

ฮอกไกโด – โตเกียว 12 วัน กินจนต้องกลิ้งกลับบ้าน ตอนสุดท้ายในญี่ปุ่น

DAY 7 – ตลาดปลา Tsukiji

วันนี้เราไปตลาดปลาซึกิจิกันครับ แต่เนื่องจากเหนื่อยมาหลายวันแล้ว เลยตื่นสายหน่อย วันนี้ก็เป็นวันชิลล์ๆ ครับ

ตลาดปลา Tsukiji
พิกัด : search ชื่อแล้วเจอเลย

ถึงแล้ว ก็เดินเล่นนิดหน่อย

เดินเจอเจ้านี่ ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับ แหม.. เห็นลายมันสวย มีมันแทรกน่ากินดีเหลือเกิน แล่ไว้บางด้วย จัดมาลองสักแพ็กหนึ่ง เอาเข้าปากแบบในหัวนี่ฟินไปก่อนแล้วครับ เพราะหน้าตามันดูดีเหลือเกิน หลับตาพริ้มพร้อม เตรียมบิ้วท์อารมณ์ฟิน อ้ามมมมมมม วะ ดะ ฟรรค !!!!! เฮ้ยยย กลิ่นคาวๆ สัมผัสอุ่นๆ เค็มๆ ปะแล่มๆ นี่มันอะไรกันฟระ คือเขาก็มีน้ำจิ้มมาให้ด้วยแหละครับ แต่ของอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ผมชอบลองแบบเพียวๆ ดู จะได้รับรู้รสชาติแบบเต็มๆ โอโฮ คำแรกนี่ผิดคาดอย่างแรง เอาเป็นว่าเฉลยไว้ก่อนละกันครับ มันคือเนื้อวาฬครับเจ้าสิ่งนี้ โอเค พอหลังจากที่ไปสืบรู้มาได้ว่ามันคืออะไร เราก็ตั้งหลักกันใหม่ คราวนี้จิ้มน้ำจิ้มที่เขาแถมมาให้ จะรสชาติเปรี้ยวนำ หวานๆ อารมณ์คล้ายอาจาดที่กินกับหมูสะเต๊ะบ้านเราอ่ะครับ อะ ก็ อืมมม ก็คือแบบ มันก็ อือ ก็…ดีขึ้นอะนะครับ แต่แบบ…ไม่ชอบอ่ะ คือทั้งรสชาติ ทั้งกลิ่น ทั้งสัมผัสจะคล้ายกินของรมควันอ่ะ พวกแฮม เบคอน เอาเป็นว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้ลอง ได้รู้ครับ ผ่านเลยดีกว่า

อ่ะกินปลาดิบล้างปาก ต่อด้วยปลาไหลย่าง

ร้านที่มากินนี่ก็รสชาติ คุณภาพก็กลางๆ ทั่วไปครับ ตอนนั้นหิวไม่ได้หาลายแทงอะไรมา เห็นร้านไหนคนเยอะหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นต้องต่อคิวก็เดินเข้าไปเลยครับ

หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นดูบรรยากาศอีกหน่อย แล้วก็ไปช้อปที่ตึกม่วง (TAKEYA) ครับ หลังจากช้อปเสร็จ เอาของไปเก็บที่โรงแรม ผมกับเพื่อนอีกคนที่ชอบฟิกเกอร์เหมือนกัน ก็เลยไปเดินแถว NAKANO BROADWAY เอาของมาเก็บเสร็จก็ไปเดินเล่นตลาด Ameyoko ครับ หาอะไรกิน อันนี้ต้องขอโทษล่วงหน้าเลยครับ ไม่มีพิกัด ไม่มีชื่อร้านอะไรทั้งนั้น เดินผ่านแล้วก็แวะลงไปกิน (มันอยู่ชั้นใต้ดิน) แต่ร้านนี้ก็รสชาติกลางๆ ครับ ไม่ได้แบบสุดยอดอะไร

เสร็จก็เดินเล่นย่าน Omotesando ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เจอ Takeshite Street แถว Harajuku เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็เจอคิวครับ ที่ญี่ปุ่นนี่ ร้านไหนมีคิวร้านนั้นต้องอร่อย ตรรกะนี้ใช้ได้เสมอครับ (จะที่ไหนก็ใช้ได้เหมือนกันแหละเนอะ) จะเห็นแป้งนี่เขาอบใหม่ๆ อยู่หน้าร้านเลยครับ ใครเดินมาถนน Takeskita นี่ยังไงก็น่าจะเจอ ถึงคิวจะยาวแต่ก็รอไม่นานมาก เพราะเขาทำออกมาเรื่อยๆ ลูกค้าสั่งกี่แท่งก็หยิบให้ไป

สิ่งที่ประทับใจสุดๆ เลยคือตัวแป้งครับ คือจะมีความกรอบ เบา แล้วก็นุ่ม ส่วนด้านบนที่เขาโรยอะไรไว้ไม่รู้ก็เคี้ยแล้วกรุบๆ ดีครับ ได้หลายสัมผัสในแท่งเดียว ส่วนไส้ข้างในก็เหมือนไส้ชูครีมแบบ Beard Papa อะนะครับ แต่ผมรู้สึกว่า Beard Papa อร่อยกว่านิดหนึ่ง แต่โดยรวมก็ถือว่าใช้ได้ครับ อันนี้ราคาแท่งละ 250 yen

จากนั้นเราก็เดินเล่นแถว Shibuya ไปเรื่อยครับ รอถึงมื้อเย็น ซึ่งเป็นพระเอกของวันนี้ BURGER เนื้อวากิวววว!!!! ตามมาเล้ยย

ชื่อร้าน BLACOWS
พิกัด : search ชื่อแล้วเจอเลย อยู่แถวสถานี Ebisu เดินจากสถานีประมาณ 5-10 นาที

ร้านนี้เขาบอกว่า Burger เนื้อทุกชิ้นของเขาทำจากเนื้อ Black wagyu คุณภาพสูง เสิร์ฟมาซิมเปิ้ลๆ แบบนี้แหละฮะท่านผู้ชม แต่รสชาตินะหรออ อะเอื๊อก พิมพ์อยู่นี่ก็น้ำลายไหลไปด้วย

 

คือไม่รู้จะบรรยายยังไง ก็เนื้อวากิวมาทำเป็นBurger ชีสเยิ้มๆ ขนมปังนุ่มๆ หอมๆ แล้วก็แบบเลือกได้ว่าอยากใส่อะไรเพิ่ม ของผมก็ชอบไง อโวคาโดอ่ะ มันๆ ครีมมี่ๆ ก็มาชิมเองเหอะนะ ร้านนี้ 4.5/5

Day 9 – วันนี้เพื่อนๆ กลับหมดแล้ว

ต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวอีก 4 วัน เฮ้อออ เหงานิดๆ แต่ก็เริ่มกันเลยดีกว่า ก่อนอื่นก็ย้ายโรงแรมจากแถว Akihabara ไปแถว Ueno ครับ วันนี้เนื่องจากสภาพอากาศมีฝนปรอยๆ ฟ้าครึ้มๆ มืดๆ ดังนั้น แผนของผมคือ…….เดินดู Figure ทั้งวัน 5555 เดินไปเดินมาทั่ว Akihabara เข้าตึก Yodobashi กลับไปเดิน Akiba ต่อ

เรามาดูเฉพาะร้านอาหารที่ผมไปกินละกันครับเริ่มมื้อแรกที่มื้อกลางวันเลย

Kyushu Jangara Ramen Akihabara
พิกัด : search ชื่อแล้วเจอเลย หน้าร้านจะโดดเด่นสะดุดตาจากร้านรอบข้างมากครับ หาไม่ยาก

เข้าร้านมาพนักงานก็จะถามครับ Where are you from? ตอนแรกเราก็งงว่าถามทำไม พอเราตอบเขาว่า Thailand เขาก็ทักทายว่า ซา หวาด ดี กรั้บ พร้อมเปิดเมนูหน้าที่เป็นเมนูภาษาไทยให้ อื้อหือออ ครบจริงๆ ไม่ได้ถ่ายรูปเมนูมา แต่ผมก็สั่งเมนูขึ้นชื่อของเขาแหละ รู้สึกจะชื่อ Jangara เลยมั้งครับ

ร้านนี้น่าจะดังในหมู่คนไทยครับ เพราะมาร้านนี้ก็เพราะอ่านรีวิวมาจากหลายๆ ท่าน ซึ่งบรรยายว่าหมูชาชูร้านนี้นั้นนุ่มมาก แต่ทว่าวันที่ผมไป ไม่รู้ว่าเป็น Bug อะไรหรือเปล่า ทำไมรู้สึกว่ามันไม่นุ่มเท่าที่คิดหว่า หรือตั้งความหวังเยอะไป หรือวันนั้นเผอิญที่ร้านแก๊ซหมดตอนตี 3 เลยเคี่ยวหมูไม่พอ 555 หรือยังไงก็ไม่ทราบได้ ชาชูที่กินเลยไม่ลื่นคอเท่าที่คิด รอบนี้จึงไม่ประทับใจกับร้านนี้เท่าไหร่ ไม่เป็นไร ถ้าคราวหน้ามีโอกาสจะไปให้แก้มืออีกครับ วันนี้ขอให้ไป 3.5/5 ก่อนละกัน

โอเค ข้ามมาที่มื้อเย็นต่อเลย หลังจากทานข้าวกลางวัน ได้ฟิกเกอร์มาจำนวนหนึ่ง เอาไปเก็บที่โรงแรม แล้วก็ไปเดินเล่นต่อที่ Ueno ครับ ร้านที่จะพาไปกินนั้นก็ขึ้นชื่อในหมู่คนไทยและก็คนญี่ปุ่นเองอีกเช่นกัน

Sushi Zanmai สาขา Ueno
พิกัด : search ชื่อแล้วเจอเลย

ไม่มีรูปหน้าร้าน แต่เอาเมนูมาฝากครับ เผื่อใครอยากเตรียมตัวไปก่อน แล้วก็ร้านนี้จะโดดเด่นเรื่องซูชิคุณภาพโอเค เทียบกับราคาที่ไม่สูงมากครับ

ไม่มีรูปหน้าร้าน แต่เอาเมนูมาฝากครับ เผื่อใครอยากเตรียมตัวไปก่อน แล้วก็ร้านนี้จะโดดเด่นเรื่องซูชิคุณภาพโอเค เทียบกับราคาที่ไม่สูงมากครับ

อันนี้อยากลองชิมมานานละ เคยอ่านเห็นในการ์ตูนซูชิ อยากรู้ว่ารสเป็นยังไง

กลิ่นมันก็เหมือนกุยช่ายครับ ก็ไม่ได้อร่อยพิเศษอะไร แต่สัมผัสระหว่างเคี้ยวถือว่าแปลกใหม่ดี ไม่เคยกินซูชิหน้าแบบนี้ ก็โอเคครับ โดยรวมร้านนี้ถือว่าโอเคเลยทีเดียว ถ้าให้คะแนนโดยอิงจากคุณภาพและราคา ผมก็ให้ไป 4/5 ครับแน่นอนว่าบางอย่างความสด ความเด้ง ความเต่งตึงจะสู้ร้านดังๆ หรือไปเทียบกับ Sushi Tanabe 3 ดาวที่ไปกินมาไม่ได้ แต่ด้วยราคานี้กับของคุณภาพแบบนี้ ก็กลับไปกินอีกแน่นอนครับ

DAY 10 – YOKOHAMA

การเดินทางไป YOKAHAMA นั้นก็ไม่ยาก ยกตัวอย่างจากสถานี Ueno ที่ใกล้ที่พักผม ก็นั่งรถไฟตรงไปเลยไม่ต้องเปลี่ยนขบวน สักราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงครับ แล้วผมก็เปลี่ยนรถไฟ นั่งจาก Yokohama ต่อไปสถานี Shin-Yokohama เพื่อไปเริ่มมื้อแรกของวันที่ Ramen museum ซึ่งเดินจากสถานี Shin Yokohama ประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเอง ข้างใน เข้ามาเลยจะเจอส่วนที่ขายของที่ระลึก แล้วก็ป้ายอธิบายประวัติราเมงครับ

เดินเล่นรอบๆ ก็เจอรูปนี้ครับ โอ้โฮ ผมเห็นชามนี้ในรูปนี่ตกหลุมรักเลยครับ แค่เห็นรูปก็รู้สึกได้ถึงความอร่อย ต้องอร่อยแน่ๆครับชามนี้ สัญชาตญาณมันบอกอย่างนั้น ไม่รีรอครับ เดินลงไปชั้นล่างเลยดีกว่า จะเจอบรรยากาศคิวสิครับ คิวมหาศาล ทุกร้านเลย แต่ผมก็ไม่หวั่นไหวครับ ตรงไปร้านที่ผมเห็นในรูปเมื่อกี้นี้ เจอแล้วครับ คิวยาวไม่เบาเลย แต่ก็บ่ยั่นครับ เข้าคิวทันที รอสักพักก็ถึงคิวครับ อ้อ ระหว่างรอคิว จะมีช่วงที่คิวผ่านหน้าตู้กดซื้อคูปอง ก็ซื้อเอาไว้ครับ ผมก็ดูรูปเอานะแหละ

อาา แล้วการรอก็สิ้นสุดลง มาแล้ววววว หน้าตาไม่แจ่มว้าวเหมือนในรูปใช่ไหมครับ ไม่ต้องตกใจไป เรื่องปกติของราเมงที่ในรูปเขาจะต้องเอาเครื่องทุกอย่างมากองไว้บนๆ ให้เห็นทุกอย่าง แต่พอได้ชิมเท่านั้นแหละ แม่คุณเอ๊ยยยย ไม่ผิดหวังครับ สัญชาตญาณผมไม่ผิดพลาดเลยกับชามๆ นี้ เธอหอมมาก!!! หอมเหลือเกิน น้ำซุปเธอเข้มข้นหอมกรุ่น หมูที่นุ่มกับหนังที่ไหม้ ละลายผสมปนเปกันอย่างกลมกล่อม แล้วยังไข่นั่นอีก เหนียวนุ่มอะไรเช่นนี้…เส้นถูกลวกมากำลังดี เด้งสู้ฟันทุกคำที่กัดลงไป…อาา ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ เต็ม 5 ให้ 5 !!! รอบหน้ามาต้องกลับมากินอีกแน่นอน

 

หลังจากเสร็จจากร้านนี้ ตอนแรกก็ว่าจะกินอีกสักร้าน แต่โอย แต่ละร้านคิวยาวม๊ากกกกกก ตอนหิวมันก็มีอารมณ์ต่ออ่ะครับ แต่พออิ่มขึ้นมาแล้วรู้สึกขี้เกียจจะยืนเฉยๆ ละ จริงๆ ก็อุตส่าห์เลือกมาวันธรรมดาแล้วนะ แต่คนมันเยอะมาก ทุกที่เลย ตั้งแต่ที่สถานีละ รู้สึกผิดสังเกต เลยลอง search ดูในกูเกิลครับ แจ็กพ๊อต!!!! วันนี้วันหยุดนักขัตฤกษ์ของคนญี่ปุ่นเขาครับ วันสุขภาพและกีฬาอะไรสักอย่าง มิน่า ออกดีกว่า ไป Minato Mirai เลยแล้วกัน ก่อนออกตัวก็สักหน่อย

 ถึงแล้วครับ ร้อนครับ อากาศร้อนมาก พออากาศร้อนแต่ละที่ก็รู้สึกว่าต้องเดินไกลเหลือเกิน ไป China town ก่อนดีกว่าครับ ขึ้นรถ Bus ตรงแถวๆ ตึกอิฐแดง ซึ่งถ้าดูจากในแผนที่ก็คือเกาะเดียวกันกับ Cup noodle museum แหละครับ

พิกัด : search Chinatown yokohama แล้วขึ้นเลยครับ หรือถามเจ้าหน้าที่ตรง Bus stop ก็ได้ว่า “China town” เขาก็จะชี้ว่าให้รอตรงไหนครับ  ฮ้าา ถึงละ เดินเข้ามาสักพักเจอคิวครับ ก็ไม่ต้องคิดมากครับไปยืนต่อกะเขา 555

น่าจะเป็นเสี่ยวหลงเปาทอดครับ ทำกันให้เห็นหน้าร้านเลย ได้มาแล้วว 4 ลูก 500 yen ครับ ผมพยามเจาะแล้วกดให้ดูว่าน้ำซุปมันฉ่ำมาก แต่ก็ลำบากครับ ที่นั่งก็ไม่มี ที่จะวางชามก็ไม่มี มาคนเดียวอีก ไม่มีเพื่อนช่วยถือของด้วย เลยได้แค่นี้แหละฮะ

อร่อยครับอร่อย น้ำซุปฉ่ำมาก รสชาติเข้มข้น ตัวไส้หมูสับก็ปรุงรสมาดี นุ่ม แป้งหนานิดนึงครับ ไม่ใช่แป้งบางๆ แบบทั่วไป แต่เอามาทอดแล้วก็โอเค อร่อยดี

เดินมาอีกก็เจอรูปนี้ อันที่สองนั่นแหละครับ ที่ 350 yen นั่นแหละที่สะดุดตาผม ไปเลย เข้าไปสั่ง โอยย ของโปรด หมูสามชั้นเคี่ยวมาอย่างนุ่ม ซอสเค็มๆ กับหมั่นโถวจืดๆ ก็ฟินสิครับ จะเหลือเหรอ

พอแล้วครับ อิ่มตื้อ พอดี 4 โมงได้มั้ง แดดร่มลมตก อากาศกลับมาสบายๆ ไอ้ที่ว่าไกลก็ใกล้ขึ้น ชิลล์แล้วครับ ขากลับเลยค่อยๆ เดินกลับเลียบอ่าวไป สบายตาดี

เดินกลับไปที่ตึกอิฐแดงกันดีกว่า (Red brick warehouse) ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดเรื่องกินครับ เพราะยังอิ่มๆ อยู่ เดินผ่านชั้น 1 ซึ่งเป็นโซนขายอาหารพอดี เดินมองไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดกับร้านหนึ่งครับ เป็นร้าน Omelette ก็ไม่ได้อะไรครับ แต่ด้านข้างของร้านจะเป็นกระจกใสให้เห็น chef กำลังทำอาหาร ผมก็ดูเขาทำ Omelette นี่แหละ ดูไปเรื่อยๆ จานแรกก็แล้ว จานสองก็แล้ว ท่าทาง/วิธีการทำ พอได้ยืนดูเขาทำจริงๆ แล้วมันมีแรงดึงดูดจริงๆ ครับ จานสามผ่านไป ตามด้วยจานที่สี่ พอจานที่ห้าไข่โปะลงบนข้าวปุ๊บ เอาวะ ไม่ไหวละ กรูแ-กร้านนี้แหละ 5555

 ร้านนี้พอสั่งเสร็จเขาก็จะแจกเครื่องที่เอาไว้เรียกคิวครับ เราก็ไปหาโต๊ะนั่งรอ พอเครื่องสั่นเราก็ไปรับอาหาร ข้าวที่ไข่โปะทับอยู่เป็นข้าวผัดกับซอสมะเขือเทศกับหอมใหญ่ครับ ไม่ใช่ข้าวขาวเปล่าๆ ซึ่งจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบนะ พวกข้าวผัดอเมริกันแต่พอกินจานนี้แล้วต้องคิดใหม่ครับ มันเป็นเพราะน้ำซอสสีน้ำตาลที่ราดมานั้นแหละ รสชาติมัน บอกไม่ถูก ออกเปรี้ยวๆนะ แต่ก็มีความรู้สึกขมๆ ไหม้ๆ มันทำให้ตัดกับข้าวผัดซอสมะเขือเทศ ทำให้รู้สึกไม่เลี่ยนครับ ยิ่งกินยิ่งติดยิ่งตักไม่หยุด กุ้งก็เนื้อดี กรอบเด้ง เข้ากันได้ดีมากเลยครับ ถ้าผ่านมาตึกนี้ก็แวะมาลองกันนะครับ จานนี้ผมให้ 4/5

DAY 11 – ขี่จักรยานไปเรื่อยๆ

เช้านี้เราก็ไปเช่าจักรยานของโรงแรมครับ ค่าเช่าก็ 500 เยน มัดจำ 3,000 เยน คืนรถก่อน 5 ทุ่ม กฎกติกาง่ายๆ แค่นี้ โดยจุดหมายแรกที่ผมจะไปคือ ตลาดปลา Tsukiji ครับ อ้าว ไปมาแล้วไม่ใช่หรอ ไปทำไมอีก ??? คำตอบก็คือ ข้าวหน้าเนื้ออันดับ 1 ใน Tabelog ในโตเกียวอยู่ที่นั่น และวันก่อนยังไม่ได้กินนะสิ!!! ว่าแล้วก็ปั่นไปครับ ผมก็เปิด Google map แล้วก็ใส่ไว้หน้ากระเป๋าสะพาย แล้วก็ห้อยกระเป๋าสะพายไว้ข้างหน้า ต้องเลี้ยวตรงไหน เครื่องมันบอก ผมก็ได้ยินครับ

แล้วก็มาถึงร้าน Kitsuneya
http://tabelog.com/en/tokyo

ตอนผมต่อคิว ผมก็ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดีครับ เพราะเขาก็เขียนไว้หลายอย่างเหมือนกัน แถมคุณป้าคนที่ตักดูหน้าตาดุจุงเบย แล้วก็กลัวจะสื่อสารกะป้าไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวเขาโมโหไม่ขายผมล่ะเป็นเรื่องเลย ผมก็ถามคนญี่ปุ่นที่เข้าคิวอยู่หน้าผมครับ ว่าสปีคอิงลิชได้บ่? เขาก็บอกว่าได้นิดหน่อย ผมก็ถามครับว่าผมควรจะสั่งอันไหนดี เขาบอกอ้อ ถ้าขึ้นชื่อของร้านนี้ ต้องเป็น……(ถ้าจำมันผิดเขาจะบอกว่า Number 6 นะครับ)…..(ถ้าไม่ชัวร์ก็เปิดรูปให้ป้าเขาดูก็ได้มั้ง) ผมก็ อ๋อๆ โอเค ขอบคุณมากครับ งั้นรบกวนช่วยสั่งให้ด้วยเลยนะครับ แต่เดี๋ยวจ่ายตังเอง 555 เขาก็ โอเค ได้เลยย

อ่า ก็ได้มาครับ ราคาก็ รู้สึกว่าจ่ายแบงค์พันไป ได้ทอนมาร้อยก่าๆ อ่ะครับ เป็นเครื่องในวัวตุ๋นครับ เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้

ตุ๋นได้นิ่มมากครับ รสชาติก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กลิ่นก็ไม่ต้องพูดถึงครับ หอมเตะจมูกตั้งกะวันก่อนแล้วครับ แต่วันนั้นท้องมันแน่นจริงๆ อร่อยครับ แต่ด้วยความที่บ้านเราเองก็มีร้านเนื้อตุ๋น เอ็นตุ๋น รสเด็ดอยู่ไม่น้อย ร้านนี้ก็เลยถือว่าอร่อยแบบไม่ถึงขนาดว่า ต้องมาให้ได้นะ!!!!! อะไรแบบนี้ งงไหมครับ 555 แต่สรุปก็คืออร่อยนั้นแหละ 4/5 ครับ

หลังจากนั้นก็หาไรกินต่ออีกหน่อย เจอนี่เข้าไป สดๆ เนื้อแน่นๆ

เผากันต่อหน้าต่อตา หอยเชลล์อร่อยครับ แต่อีกหอยนึงอะไรไม่รู้ เฉยๆ อะครับ ไม่ค่อยชอบ ได้แค่สองร้านก็อิ่มแล้ว เฮ้ออ อยู่คนเดียวมันแย่ตรงเนี้ยนี่แหละ

ก็กลับไปที่จักรยาน แดดเริ่มร้อนแล้ว เลยกะว่าปั่นไปจอดไว้โรงแรมก่อน บ่ายๆ เย็น ๆ ค่อยไปเอากลับมาลุยต่อ อะ ตัดภาพไป ฟรึ๊บ เก็บจักรเรียบร้อย ออกมาขึ้นรถไฟไปสถานี Kichijoji อะตัดภาพไป ปึ๊บ ถึงแล้ว!!! เป้าหมายของเราในการมาที่นี่คือร้าน

Satou Steak House
พิกัด : search ชื่อแล้วเจอเลย

ถ้าเรามาที่ร้านนี้จะเห็นคิวยาวเหยียดเลยครับ ยาวมาก แต่เขามาต่อคิวซื้อโคร็อกเกะกัน (ซึ่งเดี๋ยวผมก็จะมาต่อ) แต่ถ้าเราจะกินสเต๊ก เราเดินไปด้านข้างเลยครับ จะมีบันไดขึ้นชั้น 2 อันนี้คิวยาวไหมว่ากันอีกที ตอนผมไปได้นั่งเคาน์เตอร์คนสุดท้ายพอดี ก่อนจะเริ่มคิวแรก

ดูเชฟทำไป ก็น้ำลายไหลนองไปครับ มาแล้ว มาแล้ว

เนื้อดีมากกกก นุ่มมากกกกกกกกกกกกกก นี่น้ำจงจ้ำจิ้มไม่แตะเลยครับ กินเพียวๆ ให้ได้กลิ่นเนื้อนี่แหละเยี่ยมสุด เนื้อเข้าปาก กัดให้น้ำทะลัก จกข้าวสวยตาม โหยย แซบได้อีก เนื้อนุ่มจริงครับ ไม่ได้เวอร์เลย เซ็ตที่ผมสั่งนี่ราคา 2200 yen เท่านั้นครับ!!! แต่ได้เนื้อคุณภาพดีขนาดนี้ ปีที่แล้วไปกิน steak land ที่โกเบมานี่ทาบไม่ติด ไม่เห็นฝุ่นเลย ที่นี่เจ้าของร้านเขาอยากให้ลูกค้าได้กินเนื้อคุณภาพดีๆ ในราคาที่เอื้อมถึงครับ ก็เลยเปิดร้านนี้ขึ้นมา ตัวโคร็อกเกะที่เขาขายนี้ก็ใช้เนื้อเกรด A เลยนะครับ เดี๋ยวไปว่ากันต่อ ส่วนสเต๊กนี่ถึงจะนุ่มและดี แต่ยังไม่ใช่เนื้อมัตสึซากะครับ เมนูที่ใช้เนื้อมัตสึซากะ บริกรบอกว่าคือเมนูที่ราคา 5,000 กับ 1 หมื่นเยนครับ จากคุณภาพและราคาดังกล่าวนั้น ร้านนี้ ผมให้ 4.5/5 ครับ

กินเสร็จก็ไปเดินเล่นรอบๆ หน่อยครับ พอได้ย่อยซักพักก็กลับมาต่อคิว พอใกล้ๆ ถึงคิวพนักงานก็จะเดินมาแจกนี่ เดาง่ายๆ ครับ ถ้าซ้อ 1 ลูก 220 yen แต่ถ้าซื้อ 5 ลูก 180 yen ตกลูกละ 36 yen………….จะบ้าเหรอ ไม่ใช๊!!! เกิน5ลูก ลูกละ 180 yen ต่างหาก

โอเคครับ คิวก็ร่นลงไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ ถึงคิวก็เห็นคนญี่ปุ่นข้างหน้าผมเขาสั่งกันคนละ 3 ถุงบ้าง 4 ถุง 5 ถุงบ้าง (ถุงละ 5 ลูก) เราก็ เออเว้ย มันโด่งดังจริงๆ ร้านนี้ พอมาถึงคิวผมครับ สั่งออกไปด้วยเสียงดังฟังชัดพร้อมชูนิ้วประกอบ………..one !!! (ชูนิ้วชี้ 1 นิ้ว) พนักงานมองหน้าผมแบบ ห๊ะ!!! ต่อคิวมาขนาดนี้มาเพื่อสั่งลูกเดียวเนี่ย กล้ามาก หึหึ แล้วอย่ามาร้องไห้เสียใจทีหลังแล้วกัน (คือเขาไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับถ้าเราจะซื้อน้อย แต่คงงงว่าแบบ เฮ้ย อร่อยนะ ซื้อไปลูกเดียว เกิดติดใจขึ้นมา ต่อคิวอีกชาติหนึ่งนะ) ก็ตอนนั้นก็อิ่มๆ อยู่ อยู่คนเดียวด้วย แล้วยังมีของอย่างอื่นที่อยากไปกินต่อด้วย ก็เออ ลูกเดียวพอละกัน

กัดเข้าไปปุ๊บ เออ อร่อย เนื้อนุ่มชุ่มน้ำ เนื้อหอมกรุ่นกลิ่นเนื้อที่คลุกเคล้าผสมกับหอมใหญ่และพริกไทย หือออออ หมดลูกไม่รู้ตัว หันกลับไปมองคิว ยาวกว่าตอนแรกอีกเท่าตัว 5555 พลาดละตรู ลาก่อน คราวหน้ามาใหม่พี่จะไม่ทำพลาดแบบนี้อีก บายย

กลับโรงแรม ไปลากจักรยานออกมา ปั่นเล่นรอบสวน Ueno ปั่นรอบสวนเสร็จก็คิดถึงข้าวหน้าเทมปุระร้านนึง ที่ปีที่แล้วได้กิน อยู่แถว Asakusa (ตรงข้ามวัด sensoji) ก็ไม่ไกลมากเนอะ ปั่นไปละกัน ปั่นเรื่อยๆ ชิลล์ๆ อากาศเย็นๆ บ้านเมืองแปลกใหม่ไม่คุ้นตา ทางมันก็จะไม่รู้สึกว่าไกลมาก แล้วก็ไปที่ร้าน SANSADA พิกัดอยู่ตรงข้ามวัด sensoji เลยครับ หาไม่ยากเลย

เมนูที่สั่ง ที่เห็นในชามก็มีกุ้ง ปลา แล้วอีกชิ้นนึงนั่นจะเป็นกุ้งตัวเล็กๆ (ทั้งตัว) ผสมกับหมึกหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วทอด วัตถุดิบทุกอย่างสดมากครับ น้ำราดก็รสชาติเอกลักษณ์ดี ออกเค็มๆ ขมไหม้นิดๆ หวานหน่อยๆ ร้านนี้จะอร่อยคนละแบบกับ Tenya ร้านนี้จะอร่อยออกแนวผู้ใหญ่ๆ หน่อย เหมือนอธิบายแล้วจะยิ่งงง 5555 เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสก็ลองไปชิมดูครับ

DAY 12 – วันสุดท้ายยย

เก็บของ เช็คเอาท์ แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนครับ ผมบินกลับค่ำๆ ร้านแรกของวันนี้คือ Midori sushi !!! เป็นร้านที่โด่งดังม๊ากกก ทั้งในหมู่เพื่อน ทั้งในรีวิว ใครไปญี่ปุ่นมานี่ต้องมีร้านนี้ และรูปคิวยาวเหยียดอวดบน feed เป็นแน่นอน แล้วด้วยความที่ขึ้นชื่อเรื่องต่อคิวยาวนั้นเอง ทำให้ผมรีบออกแต่เช้าหน่อย โดยไปถึงที่ร้านราว 10 โมงเพื่อไปกดบัตรคิว (ร้านเปิด 11 โมง) ปล. เผื่อใครยังไม่รู้ ร้านนี้วิธีมาให้ลงสถานี Shibuya ทางออกตรงรูปปั้นน้องหมา ฮาจิโกะ มองซ้าย เห็นตึก Mark City แล้วขึ้นไปชั้น 4 นะฮะ

เห็นคิวปุ๊บก็โล่งใจ ร้านเปิดปุ๊บได้เข้าเลยแน่นอน ระหว่างรอก็ไปเดินเล่นครับ ไปหาร้าน Pablo ไว้ก่อน เดี๋ยวขากลับจะซื้อกลับไปฝากที่บ้านซะหน่อย หลังจากเจอร้าน markตำแหน่งไว้ในหัวเรียบร้อย ก็กลับขึ้นไปรอกิน Midori sushi ครับ อีก 15 นาทีร้านเปิด แล้วพอร้านเปิดปุ๊บ ก็มีคนทยอยเดินเข้าร้าน ผมรอให้คนไปล่วงหน้าหน้าสัก 4-5 คนก่อน แล้วผมค่อยตามไป ได้ที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ครับ ตามที่เลือกไว้ตั้งแต่กดบัตรคิว

คือเป็น mission ของผมในการมาญี่ปุ่นรอบนี้เลยนะ ที่ต้องลองชิม Shirako หรือ ท่ออสุจิปลา ให้ได้ คือเดินหามาตลอด 11 วัน มองทุกร้านในตลาดปลา ก็ไม่มีร้านไหนขาย จริงๆ ก็มีอยู่ 2-3 ร้านในตลาดปลา Tsukiji แต่เขาขายแบบเป็นแพ็ก เหมือนเราต้องไปทำกินเอง ไม่มีขายตามร้านที่ให้นั่งกินอะครับ สุดท้ายก็มาเจอที่นี่ โค้งสุดท้ายก่อนกลับเลย สวรรค์โปรดจริงๆ

ส่วนซูชิผมสั่งเป็นคำๆ เฉพาะที่อยากกินครับ ไม่ได้สั่งเป็นเซ็ต ซึ่งไม่ค่อยประทับใจตรงที่เชฟจะทำสลับไปสลับมา ให้คนนู้นคำ คนนี้คำ แล้วก็ถึงตาเรา กินไปคำนึงก็รอค่อนข้างนาน กว่าเขาจะปั้นคำใหม่มาเสิร์ฟต่อ ซึ่งผมว่ามันขาดช่วงไปหน่อย ทำให้การกินไม่ค่อยลื่นไหล ท้องอืดซะก่อน

เนี่ย แล้วหลังจากกินไปสองอย่างนี้ คือรอค่อนข้างนานทีเดียว กว่าจะได้เซ็ตถัดมา ท้องมันเลยเริ่มอืดๆ ขึ้นมาหน่อยครับ แล้วก็ตามมาด้วยสิ่งที่ถวิลหา

สามสิ่งนี้ประกอบไปด้วยตับปลา (Ankimo) ปุ่มหนวดปลาหมึก แล้วก็ท่ออสุจิปลา (Shirako) ครับ ทั้งสามก็มาสดๆ แล้วถูกราดด้วยพอนซึ เปรี้ยวๆ ครับ แก้เลี่ยนได้ดี หลังจากได้ชิมท่ออสุจิปลาที่เฝ้ารอคอยแล้วนั้น ก็พริ้มครับ ชอบ ไม่ผิดหวัง มันจะนิ่มๆ นิ่มมากก แล้วก็สัมผัสมันๆ เหมือนเรากินอะไรที่ครีมมี่มากๆ พอเข้าปากปั๊บ อย่าใช้คำว่าเคี้ยว คือเอาเหงือกบี้ๆ เอาลิ้นดันๆ มันก็ละลายแล้วครับ สมกับที่รอคอย ตับปลาก็อร่อยครับ จริงๆ ถ้ามาเดี่ยวๆ นี่จะโดดเด่นมาก แต่พอมาอยู่รวมกับชามนี้ก็แพ้ท่อซูจี้ไปตามระเบียบ ส่วนที่ผิดคาดเลยก็เนี่ยแหละครับ ตอนเห็นรูปคิดว่า ไม่น่ามีหมึกมาแจมเลยย ของไม่ชอบซะด้วย แต่เอ้ยย!!! อร่อยแฮะ กรุบๆ กรับๆ หนึบหนับ หนึบหนับ ก็สรุปว่าประทับใจ 3 สหายชามนี้มากๆ เลยครับ

แล้วก็รออีกพ้ากกกกกใหญ่ ก็มาเพิ่มอีกสองคำ (เบร่อออ ท้องเริ่มอิ่มละนะเฟ้ย ปั้นไวไวกว่านี้หน่อยเซ่ คิดในใจ555) แล้วก็ตามมาด้วยสองคำสุดท้าย

สำหรับภาพรวมร้านนี้นะครับ นับเฉพาะวันที่ผมไปกินนะฮะ เพราะวันอื่นๆ ที่คนอื่นได้กินมาผมไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่วันนั้นผมถือว่าไม่ประทับใจ แพ้ Sushi Zanmai ที่ผมกินที่อุเอโนะ เพราะไข่หอยเม่นของโปรดของผม มันมีกลิ่นคาวติดมาเล็กน้อย กุ้งก็ไม่สดเท่า แอบมีกลิ่นเบาๆ ส่วนที่หนักเลยคือปู (อันรองสุดท้าย ก่อนไข่หวาน) มันคาว แล้วก็สัมผัสนิ่มเละมาก คือรู้อยู่แล้วนะครับว่ามันจะมาแบบดิบ เพราะที่สั่งนี่ก็ตั้งใจลองแบบดิบนี่แหละ แต่เราก็ไม่เคยกินที่อื่นเปรียบเทียบอะนะ มันอาจจะเป็นฟิลลิ่งนี้อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่เราไม่ชอบเอง อันนี้ก็พูดไว้กลางๆ ละกัน แล้วก็เรื่องการรอซูชิแต่ละคำนานด้วย เลยเป็นมื้อที่เฟลเล็กๆ แต่ตัวชูโรงก็เด่นเกินหน้าเกินตาช่วยกู้สถานการณ์ร้านนี้ไว้ได้ทันท่วงที คือสลัดมันปู กับสามสหายrอนซึนั่น อันนั้นคือที่ผมประทับใจสุดๆครับ

 ก็เป็นอันเรียบร้อยกันไปกับร้านในตำนานที่หลายๆ คนเคยกินมาแล้ว เดี๋ยวผมพาไปทานของหวานล้างปากครับ จาก Shibuya ผมนั่งรถไฟไปสถานี Jiyugaoka ซึ่งเป็นแหล่งขนมหวานครับ

Sweets forest
พิกัด : search ชื่อแล้วเจอเลย

สถานที่แห่งนี้จะรวมร้านขนมไว้หลายๆ ร้านครับ บรรยากาศข้างใน

แล้วนี่ก็ร้านที่ผมมาทาน เป็นซูเฟล่ครับ พอนั่งโต๊ะพนักงานก็จะแจ้งว่าทำขนมชนิดนี้ต้องรอ 15-20 นาทีนะ ผมก็โอเค (เมนูนี้ราคา 1000 เยน รวมซอส แต่ซอสบางรสต้องเพิ่มเงินเล็กน้อย) กระดาษรองโต๊ะจะสอนวิธีรับประทาน ภาคทฤษฎีหรือจะสู้ภาคปฏิบัติ มาชมกันเลยย อะเริ่ม!!! เจาะรู ตักกินคำแรก อ้าาาาา นุ่มนิ่ม

ตักเพลินไป 3-4 คำก็เอาซอสมาราด (ผมสั่งซอสวานิลลา แต่มีหลายชนิดให้เลือก ผมว่าถ้าเลือกเป็นพวกซอสผลไม้รสเปรี้ยว หรือช็อกโกแลตน่าจะเข้ากว่านี้) ราดเสร็จก็โซ้ยสิฮะ จะรอประธานมาตัดริบบิ้นเหรอ 555

เยี่ยมครับ เนื้อเค้กมันนู๊มมมมนุ่ม ฟู หอมกลิ่นไข่ พอราดซอสลงไปก็จะชุ่มๆ นุ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีโอกาสคราวหน้าจะสั่งซอสแบบอื่นมาลองมั่ง วานิลลามันกลืนๆ กับตัวเค้กไปหน่อย แต่โดยรวมถือว่าดีครับ 4/5

 

หลังจากนี้ผมก็กลับไปชิบูย่า ไปซื้อ Pablo กลับบ้านสักชิ้นสองชิ้น โดยที่พอถึงสนามบิน ผมซื้อ Royce ด้วย แล้วเขาจะมีถุงเก็บความเย็นพร้อมเจลน้ำแข็งให้ซื้อ set ละ 100 เยน ผมก็ซื้อเพิ่มอีกถุงแล้วใส่ Pablo เก็บไว้ข้างในเพื่อความชัวร์ พนักงานก็น่ารักมากครับ แพ็กให้เป็นอย่างดี

แล้วก็ต้องขอร่ำลาไปแบบพุงป่องแต่กระเป๋าแฟ่บไปละนะครับสำหรับทริปนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจ จนกว่าจะพบกันใหม่ ถ้ามีร้านเด็ดๆ จะพาไปกินกันอีกแน่นอน (ช่วงนี้ซุ่มอ่านรีวิวคนอื่นไปพลาง อิอิ) ขอบคุณคร้าบ บ๊ายบายยย สวัสดีครับ

ฮอกไกโด – โตเกียว 12 วัน กินจนต้องกลิ้งกลับบ้าน ตอน 3 was last modified: September 8th, 2017 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version