Mushroom Travel

เที่ยวญี่ปุ่น ..ไม่แพง มีเงินหมื่นบาทก็ไปได้แล้ว

          รีวิวนี้ ต้นข้าวก็ตั้งใจเขียนให้ผู้มีความฝันอยากไปสัมผัสญี่ปุ่นสักครั้ง ในราคาที่เอื้อมถึงได้ ใครทราบวิธีการแล้วก็ปล่อยผ่านไปนะคะ ส่วนคนที่ยังไม่รู้ ก็ขอแชร์ประสบการณ์ให้คนที่อยากไปแต่ไม่รู้แนวทางนะคะ โดยในรีวิวนี้จะรวมทุกอย่างไว้ให้ละเอียดที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ตั๋ว ที่พัก การเดินทาง อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดว่าทำอย่างไร เมื่อมีเงิน 10,000 บาท ถึงจะไปเที่ยวไกลๆ อย่างญี่ปุ่นได้ 2 วัน 2 คืนเต็มๆ

สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ โดยประมาณนะคะ

  1. ตั๋วเครื่องบิน ไป – กลับ ราคา 3,500 บาท
  2. ที่พัก 2 คืน ราคา 2,750 บาท หาร 2 (คนละครึ่งกับแฟน) ราคา 1,375 บาท)
  3. ค่าบัตร Osaka Pass ราคา 1,200 บาท
  4. ค่ารถไฟเข้าเมือง 920 เยน 276 บาท
  5. ค่าบัตร Kansai Thru Pass ราคา 780 บาท
  6. ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ เสียแค่ 2 ที่ รวมแล้ว 300 บาท
  7. ค่าเช่า Pocket Wifi 3 วันราคา 600 บาท หาร 2 เหลือคนละ 300 บาท
  8. ค่ากินหมดไปคร่าวๆ ประมาณ 3,000 บาท

รวมทั้งทริปหมดไป 10,731 บาท

เที่ยวญี่ปุ่น ..ไม่แพง มีเงินหมื่นบาทก็ไปได้แล้ว

ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ 3,500 บาท (จองถูกแต่ไม่ใช่แบบข้ามปีนะคะ จองแล้วเดินทางได้เลย) วันที่จองคือกลางเดือน มิถุนายน 58 ส่วนวันเดินทางคือ 26 – 29 สิงหาคม 58 เรียกว่าไม่ต้องรอกันนาน จริงๆ จองเดือน มิถุนายนสามารถเดินทางในเดือนมิถุนายนได้เลยจนถึงสิ้นเดือนสิงหาแบบไม่ต้องรอเลยก็ได้นะ แต่พอดีต้นข้าวไม่ว่าง ก็เลยเลือกปลายเดือน สิงหาคมเลยค่ะ ทั้งนี้ การจองตั๋ว เครื่องบิน แบบไป- กลับ ในราคารวมทั้งสิ้น 3,500 บาท เป็นการจองโดยใช้ เงิน + แต้ม 500 แต้มของ Airasia Big Loyalty Program ในช่วงที่มีโปรโมชั่นให้ใช้แต้มแลกได้

พาสปอร์ต อันนี้คงแทบไม่ต้องบอกเนอะ สำคัญมาก ไม่มีคงไปไม่ได้ ควรดูวันหมดอายุก่อนไปกันด้วยนะ

จองที่พักราคา คืนละ 1,350 บาท (ที่พักห้องเดี่ยว มีห้องน้ำในตัวนะคะ ไม่ได้นอนแบบแชร์กับคนอื่น หรือแชร์ห้องน้ำ และไม่มีการต้องนอนสนามบินแต่อย่างใดค่ะ) ในส่วนของที่พักจองถูกกว่านี้ยังได้เลย แบบคืนละ 300 บาทยังมีเลย งบถูกลงไปอีก แต่เป็นแบบนอนแคปซูลห้องน้ำรวม ต้นข้าวขอห้องเดี่ยวมีห้องน้ำในตัว ถูกที่สุดก็ได้ราคานี้มาค่ะ โรงแรมที่ได้ชื่อ For Leaves Inn Uehonmachi อยู่ย่านนัมบะค่ะ ไม่ไกลจากย่าน Dotonbori หรือแถวๆ กูลิโกะแมนนั่นเอง ของต้นข้าวจบ 2 คืน ที่ราคา 2,705 บาท

ซื้อบัตรผ่านรถไฟตั้งแต่ในประเทศไทยไปให้เรียบร้อยเลยค่ะ หรือใครไม่สะดวกก็ไปซื้อที่สนามบินได้เลย ต้นขาวซื้อบัตรผ่าน 2 ชนิด

Pocket Wifi 3 วัน 600 บาท เพื่อให้มี Internet ใช้ทั้งวันเราจึงควร เช่า Pocket Wifi ไปด้วย ต้นข้าวเลือกเช่าในประเทศไทย ทำให้เรียบร้อยเสียก่อนไป

ที่ขาดไม่ได้เลยคือการแลกเงิน ซึ่งร้านแลกเงินจะให้เราแค่แบงค์ 10,000 เยน 5,000 เยน และ 1,000 เยน ดังนั้นพอไปถึงสนามบินคงต้องรีบซื้อน้ำดื่มเพื่อแลกเอาเหรียญ ตั้งแต่ 500 เยน ลงมาใช้เลยทีเดียว

Flight ของเราออกเดินทางเวลา 15.20 น. ไปถึงสนามบิน Kansai ก็ 22.40 น. ซึ่งก็ถือว่าดึกมาก ดังนั้นเราต้องเตรียมเรื่องการเดินทางเข้าเมืองให้ดีค่ะ มิเช่นนั้นอาจจะต้องนอนสนามบินเป็นแน่แท้ การเดินทางครั้งนี้ต้นข้าวเตรียมการเข้าเมืองไว้ 2 วิธีคือ

  1. การเดินทางโดย Local Train จากสนามบินสู่เมืองโอซาก้า ซึ่งรอบสุดท้ายเวลา 23.40 น. ราคา 920 เยน (276 บาท)
  2. เข้าเมืองโดยรถบัส เนื่องด้วยที่พักของเราอยู่แถวนัมบะ ก็จะมีรถบัสไปนัมบะเลย ซึ่งมีรอบ 00.30น. จะไปถึงนัมบะ เวลา 01:24 น. ราคาอยู่ที่ 1050 เยน (315 บาท)

แต่ด้วยความโชคดีของเราที่ผ่าน ตม. มาได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที เพราะตอนที่มาถึงตรง ตม.คนน้อยมาก เห็นว่าปกติบางคนต้องติดตรง ตม. 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นต้นข้าวจึงใช้บริการรถไฟรอบสุดท้ายเวลา 23.40 ทันพอดีเลยค่ะ ก่อนจะไปขึ้นรถไฟก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีเงินที่เป็นเหรียญเลยนี่นา ผื่อว่าจะซื้อขนมอะไรระหว่างทาง ไม่อยากจ่ายแบงค์ใหญ่ ก็ยืนงงอยู่แป๊บหนึ่งว่าจะซึ้อตั๋วรถไฟตรงไหนดี ทันใดก็เจอเจ้าหน้าที่ยืนอยู่แถวๆ ทางไปขึ้นรถไฟ เลยถามเขา ว่าจะไปนัมบะอย่างไร เขาก็ยื่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ สีขาวๆ มาให้แล้วบอกให้เรารีบวิ่งเลยภายใน 1 นาทีนี้ ไม่งั้นรถไฟรอบสุดท้ายก็จะหมดแล้ว ต้นข้าวกับแฟนก็วิ่งใส่เกียร์สุนัขโกยแนบลงบันใดเลื่อนเลยค่ะ ทันพอดี.. กรั่กๆ

หลังจากที่เราเดินทางมาถึงสถานีปลายทางนัมบะ ซึ่งก็สุดสายรถไฟสายนี้พอดี ก็เดินต่อไปค่ะ ก่อนเข้าที่พักคุณแฟนดิฉันขอแวะไปตระเวนดูสถานที่นิดหนึ่ง ด้วยการไปย่านโดทงโบริในเวลาตี 1 ครึ่ง! เพราะด้วยความที่ที่พักของเราไม่ไกลจากย่านโดทงโบริมากนัก นางจึงว่าจะขอไปดูกูลิโกะแมนตอนดับไฟแล้วสักหน่อย บ้าเนอะ ดึกขนาดนี้ยังจะไปเดิน จากสถานีนับบะ ไปถึงย่านโดทงโบริระยะทางประมาณ 500 เมตร และก็เดินเล่น ถ่ายรูปนิดหน่อย ก็เดินวนกลับมายังที่พักอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ช่วงที่ไปมีเทศกาลโคมไฟพอดี เค้าจะติดโคมไฟริมแม่น้ำโดทงโบริทั้งสองฝั่งแบบนี้ไปตลอดเดือนสิงหาคมเลยค่ะ ปกติไม่มีนะ

มื้อดึกของเราก่อนเข้านอน ก็ขอลองทาโกะยากิต้นตำหรับหน่อย พร้อมน้ำเปล่าอีก 1 ขวด ทาโกะ 1 ชุด 500 เยน ( 150 บาท) น้ำเปล่า 1 ขวด 110 เยน (33 บาท)

หลังจากที่บ้าบอเดินตั้งแต่คืนแรก เราก็เดินกลับมายัง For Leaves Inn Uehonmachi ที่เราจะพักใน 2 คืนนี้ ถึงที่พักเราก็แทบสลบค่ะ เราได้ทำการแจ้งผู้ดูแลโรงแรมไว้แล้วตั้งแต่ก่อนมาว่าเราจะ Late Check-in มาถึงก็ติดต่อผู้ดูแล ซึ่งเขาก็ยังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์นะ ผู้ดูแลต้อนรับขับสู้ดีมากค่ะ พูดภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น แต่เราก็คุยกันพอจะเข้าใจ หลังจากได้กุญแจขึ้นห้องแล้ว แทบอยากจะฟาดตัวลงบนเตียงแล้วหลับเลย แต่ก็ต้องอาบน้ำก่อนเหนียวตัวมาทั้งวัน ห้องพักก็จะเป็นห้องขนาดเล็ก มีทีวี มีแอร์ มีฮีสเตอร์ มีเครื่องทำน้ำอุ่น เรียกว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานครบค่ะ สภาพห้องโดยรวมก็โอเคค่ะ สะอาดใช้ได้ ที่นอนนุ่ม อุ่น และนอนสบายค่ะ

หลังจากที่นอนหลับไปแบบภาพตัดเพราะเหนื่อยมาก ก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว และออกเดินทางไปยังเกียวโตในเวลา 8 โมงเช้าค่ะ ทีแรกตั้งใจจะตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่ตื่นไม่ไหว เช้านี้เราก็ฝากท้อง กับร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย ก็คือร้าน Lawson ซึ่งที่ญี่ปุ่นนี้เราจะหาร้าน 7-11 แบบบ้านเราไม่ค่อยเจอนะคะ เจอน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นร้าน Lawson กับ Family Mart มีมันทุกหัวมุมตึก ตู้กดน้ำดื่มต่างๆ ก็เช่นกัน พบเจอได้ทุกๆ 100 เมตร เช้านี้เราได้ ข้าวชุดนี้มาจาก Lawson ในราคา 450 เยน พร้อมนมอีก 1 กล่อง ในราคา 120 เยน รวมมื้อเช้า 570 เยน ( 171 บาท)

Day 1

เริ่มจากการเดินทางจากที่พักไปป่าไผ่อะราชิยามะอันโด่งดัง บรรยากาศระหว่างรอรถไฟ และบนรถไฟ ไปอะราชิยามะ

ลงรถไฟมาปุ๊บก็เจอแบบนี้

เรามาถึงป่าไผ่กันแล้ว

Next Station: วัดคิงคะคุจิ, วัดทอง หรือวัดอิคคิวซัง

การเดินทาง : เดินออกมาจากป่าไผ่ คือทางเข้าป่าไผ่นั่นแหละ จะมีร้านขายของแถวนั้น และมีป้ายรถเมล์อยู่ ให้เรารอรถเมล์สาย 11 (รถสีเขียว) และรถจะไปจอดสุดสายที่อู่ Yue-Cho และรอต่อรถที่นั่น สาย 59 (รถสีเขียว) รถจะไปจอดหน้าวัดทองเลย บนรถเมล์จะมีบอกตลอดว่าสถานีต่อไปคือที่ไหน บอกเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราเลย แต่ต่างกันที่ของเขาเป็นรถเมล์ค่ะ ป้ายรถเมล์หน้าป่าไผ่ ขึ้นฝั่งเดียวกับป่าไผ่นะคะ อย่าไปขึ้นฝั่งตรงข้ามล่ะ

ระหว่างทางเดินไปวัด

ซื้อบัตรเข้าชมวัดคนละ 400 เยน (120 บาท) เอาล่ะ เราไปดูวัดทองกันเลยดีกว่า ของจริงสวยมากๆ ค่ะ เหมือนภาพวาดเลย

Next Station: ปราสาทนิโจ

การเดินทาง : ขึ้นรถเมล์สาย 201 เมื่อออกมาจากหน้าวัดทอง (คิงคะคุจิ) ให้เดินข้ามถนน แล้วเดินต่อไปประมาณ 150 เมตร จนไปสุดหัวมุมถนนอีกฟาก จะมีป้ายรถเมล์อยู่ ให้รอรถที่ฝั่งตรงข้ามเลยนะคะ แล้วไปลงป้าย Nijo Castle เลยค่ะ

ที่นี่คือปราสาทของโชกุนท่านหนึ่ง มีขนาดใหญ่และสวยงามมากๆ ค่ะ จุดไฮไลท์อยู่ที่พื้นของปราสาทค่ะ ในขณะที่เราเดินไปตามพื้นไม้ในประสาทนั้น “พื้นไม้จะมีเสียงดังเป็นเสียงนกไนติงเกลร้องตลอดทาง” รู้มาว่าเขาทำไว้เพื่อป้องกันผู้บุกรุกในสมัยนั้น ถ้ามีผู้บุกรุกมาก็จะได้ยินเสียงไม้ที่เป็นเสียงนกร้องนี้เลยค่ะ ก่อนเข้าชมก็ไปซื้อบัตรเข้าชมก่อน เสียค่าเข้าคนละ 600 เยน (180 บาท) เราไปชมความงามของปราสาทกันเลย

Next Station: ฟูชิมิอินาริ หรือศาลเจ้าเสาแดงนั่นเองค่ะ

การเดินทาง : จากปราสาทนิโจ เราก็เดินไปที่สถานีรถไฟฟ้านิโจ

ฟูชิมิอินาริเป็นศาลเจ้าที่มีเสาแดงตามทางยาวประมาณ 4 กิโลเมตร และมีเสาแดงเรียงรายตลอดทางประมาณ 4,000 ต้นค่ะ ระหว่างทางจะมีร้านขายของไปตลอดทางเลยค่ะ ก่อนเข้าวัดจะมีที่ให้เราล้างมือล้างปากค่ะ โดยเขาจะมีวิธีอธิบายบอก ประมาณว่าให้เราตักน้ำด้วยมือขวาแล้วล้างมือซ้าย และตักน้ำด้วยมือซ้ายล้างมือขวา และใช้มือขวาตักน้ำใส่ที่มือซ้าย และก้มลงไปดื่มน้ำที่มือซ้ายแล้วบ้วนน้ำทิ้งค่ะ

ออกจากศาลเจ้าเสาแดงก็เย็นมากแล้วค่ะ หิวแล้ว เพราะวันนี้กลางวันยังไม่ได้กินข้าว เลยตัดสินใจว่าจะไปหาอะไรกินแถวโดทงโบริค่ะ แล้วก็จะไปถ่ายรูปกับกูลิโกะแมนตอนเปิดไฟด้วยค่ะ เพราะเมื่อคืนถ่ายตอนเขาดับไฟไปแล้ว

Next Station: Dotonbori

ต่อไปเราก็จะไปหาข้าวเย็นกิน พอดีเคยอ่านรีวิวว่ามีร้านราเมงอร่อยอยู่ที่ย่านนี้ หากใครเคยอ่านมาบ้างก็คงเคยได้ยินชื่อ “ราเมงข้อสอบ” มาถึงหน้าร้านถึงกับตกใจ แถวยาวมาก รอไปเรื่อยๆ จนเราได้ขยับมาอยู่ด้านบนของร้าน ระหว่างรอคิว พนักงานจะนำใบสั่งมาให้เราเพื่อใส่ข้อมูลว่า เราต้องการรสชาติแบบไหน เข้มข้นไหม เผ็ดไหม ใส่หัวหอมหรือเปล่า หรือต้องการใส่อะไรเพิ่มเป็นพิเศษไหม ซึ่งจุดนี้นี่แหละค่ะที่มันทำรสชาติออกมาถูกใจต้นข้าวมากๆ เพราะเราคนไทยชอบรสชาติเข้มข้นหน่อย ไม่ชอบจืดๆ ก็จัดเข้มข้มระดับสุด เผ็ดระดับ 5 เพราะต้นข้าวไม่กินเผ็ดมากค่ะ รสชาติออกมาเรียกว่า เจ๋งเป้งมาก

ส่วนที่มาของคำว่าราเมงข้อสอบ เพราะเขาจะให้เรานั่งกินในคอกใครคอกมัน เหมือนตอนเรานั่งทำข้อสอบเลย ราเมงหน้าตาดี และรสชาติอร่อยมาก ใครไปขอแนะนำให้ไปโดนนะคะ อร่อยน้ำตาไหล เยอะด้วย กินอิ่มจนกินอะไรไม่ลงแล้ว สนนราคาที่ต้นข้าวกินไป คนละ 790 เยน (237 บาท) หลังจากกินราเมงข้อสอบเสร็จเราก็ไปช้อปปิ้งที่ร้านดองกี้ ใกล้ๆ กับร้านราเมงข้อสอบค่ะ ด้วยความที่ร้านดองกี้ของเยอะ ละลานตา มีทั้งหมด 8 ชั้นนะคะถ้าจำไม่ผิด ก็ใช้เวลาเดินดูของไปช้อปไป กว่าจะจ่ายเงินเสร็จล่อไปเสียเกือบเที่ยงคืน ก็กลับที่พักเลยค่ะ

Day 2

เช้านี้เราจะพาไปจัดเต็มซูชิเจ้าดัง เจ้าอร่อย ที่มีเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ไปเที่ยวโอซาก้า ก็ได้ทำรีวิวเอาไว้มากมาย ชื่อร้านว่า Endo Sushi อยู่แถวๆ ตลาดปลา

การเดินทาง : วันนี้เราจะใช้บัตร Kansai หรือจะใช้ Osaka pass ก็ได้นะคะ

พอมาถึงตลาดปลา ตกใจเล็กน้อย เดินเข้าไป คือนี่มาผิดที่หรือเปล่า สถานที่แบบนี้ดูไม่น่ามีร้านซูชิ แต่เดินมาเรื่อยๆ ก็จะมาเจอร้านนี้เลยที่มีผ้าสีฟ้าๆ อยู่แถวๆ เหมือนหน้าโรงงาน โรงเก็บปลาอะไรพวกนี้ ต้องสังเกตดีๆ ด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถกว้างๆ

ในร้านจะมีโต๊ะนั่งเดี่ยวแบบติดเคาน์เตอร์เลย และก็ที่นั่งเป็นโต๊ะๆ แต่โต๊ะมีบริการน้อยนะคะ ถ้าจำไม่ผิดมีราวๆ 6-7 โต๊ะค่ะ อาจจะต้องรอคิวบ้าง แต่ต้นข้าวไปเช้าหน่อย คนเลยไม่มาก ที่นี่พนักงานน่ารักค่ะ บริการดี เป็นกันเอง บนโต๊ะจะมีเมนูจะมีชุดซูชิทั้งหมด 4 เซ็ตค่ะ เซ็ตละ 1,050 เยน (315 บาท) ต้นข้าวก็สั่งมาเลยค่ะทั้ง 4 เซ็ต ลืมบอกค่ะ เขาจะมีชาร้อนมาเสิร์ฟให้ด้วยนะคะ

ซุปมิโสะนี้รสชาติดีมากๆ นะคะ เขาใส่เหมือนหอยตลับลงไปด้วยค่ะ รสชาติกลมกล่อมมากๆ อันนี้จำราคาไม่ได้แต่ไม่แพงค่ะ ต้นขาวกับแฟนซัดกันไปคนละ 4 เซ็ต 8 จาน คืออิ่มจนจุก แต่คุ้มค่ามากๆ ค่ะ ด้วยความที่วัตถุดิบมันสดมากๆ เนื่องจากอยู่ตรงแหล่งที่เขารับซื้อเลย เหมือนแบบสะพานปลาน่ะค่ะ เนื้อสัมผัสมันเลยแน่น หวาน อร่อยยกนิ้วให้เลย ข้าวก็รสชาติกำลังดี ไม่มีขอวาซาบิเพิ่มนะคะ เขาใส่มานิดหนึ่งใต้เนื้อปลามาแล้วค่ะ สำหรับร้านนี้หมดไปประมาณ 10,000 เยน (3,000 บาท) หาร 2 ก็คนละ 1,500 บาท จริงๆ ไม่ถึงนะแต่จำราคาแน่นอนไม่ได้ แฟนเป็นคนจ่าย อิอิ คือไหนๆ ก็มาแล้ว ก็กินซูชิอร่อยๆ ในราคาที่กำลังดีไปเลยซักมื้อเนอะ

Next Station: ไปชิงช้าสวรรค์ Tempozan กันดีกว่าค่ะ

วิวระหว่างเดินจากสะพานปลามาขึ้นรถไฟไป Tempozan และแล้วเราก็มาถึงเจ้า Tempozan กันแล้วค่ะ

ชิงช้านี้เราขึ้นฟรีนะคะ จากการซื้อบัตร Osaka pass ที่เราเตรียมซื้อมาก็เพื่อการนี้นี่แหละค่ะ ปกติค่าขึ้น 600 เยน ที่นี่มันเคยเป็นชิงช้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ นะคะ แต่ปัจจุบันรู้สึกว่าจะเป็นอันดับ 5 ในญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ โดยจะมีกระเช้า 2 แบบให้เราเลือก

  1. กระเช้าธรรมดา ซึ่งแทบจะไม่ต้องต่อแถว เพราะกระเช้ามีจำนวนมากและเพียงพอต่อการใช้งาน
  2. กระเช้าแบบกระจกใสทุกด้าน เราอาจจะต้องเข้าคิวนานประมาณ 30 นาที เนื่องจากกระเช้าใสมีเพียง 6 ตัว ชิงช้าหมุน 1 รอบ ใช้เวลา 15 นาทีค่ะ ต้นข้าวก็รอแบบใสสิคะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เอาให้สุดไปเลย

เอาล่ะค่ะ ต่อไปเราก็จะไปล่องเรือง Santa Maria กันต่อนะ และอีกเช่นเคยมีบัตรเบ่งค่ะ Osaka Amazing pass ขึ้นฟรีโลด ซึ่งถ้าเราใช้บัตรนี้ก็ไม่ต้องไปต่อแถวซื้อตั๋วหรือแลกตั๋วเลยนะคะ ไปโชว์บัตรให้เจ้าหน้าที่ที่เรือได้เลย ปกติราคาประมาณ 1,600 เยน

Next Station: ล่องเรือซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise)

การเดินทาง : อยู่ไม่ไกลจาก ชิงช้าสวรรค์ Tempozan คือสามารถเดินไปได้เลยนิดเดียวค่ะ แถวๆ ท่าเรือ

การล่องเรือนี้เราก็สามารถที่จะใช้บัตร Osaka Amazing Pass ผ่านได้เลยค่ะ โดยไม่ต้องไปยืนรอเข้าแถวต่อคิวซื้อตั๋วแต่อย่างใด สามารถยื่นให้พนักงานที่รับตั๋วก่อนขึ้นเรือดูได้เลยค่ะ เรือออกทุกๆ 1 ชั่วโมง เราโชคดีมากๆ ตรงที่พอลงจากชิงช้าสวรรค์ Tempozan เสร็จ เดินมาก็ถึงเวลาขึ้นเรือเลย แบบว่าเรือกำลังจะออกแล้ว วิ่งอีกแล้วสิคะ พอขึ้นมาบนเรือ โอ้ แม่เจ้า คนเยอะมากๆ ไม่มีที่ให้เรานั่งเลย ต้องยืนอย่างเดียว

ภายในตัวเรือจะมีที่นั่งกินอาหาร โดยจะมีบาร์จำหน่ายอาหารด้วยค่ะ ใครขึ้นเร็วได้ที่นั่งในส่วนนี้ก็วิวดีมากๆ ค่ะ เรือใช้เวลาล่องทั้งหมดประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมงค่ะ หลังจากที่เราล่องเรือเสร็จ เราก็จะเดินทางต่อกันแล้วค่ะ

Next Station: Osaka Castle (ปราสาทโอซาก้า)

สำหรับปราสาทโอซาก้าปกติมีค่าเข้าชม 600 เยนนะคะ แต่เราก็เช่นเดิมค่ะ ใช้บัตร Osaka Amazing Pass ผ่านได้ฟรีค่ะ สำหรับปราสาทโอซาก้าต้นข้าวก็ไม่ทราบความเป็นมาสักเท่าไหร่ เป็นการเดินทางในที่สุดท้าย ที่ล้าและเมื่อยมาก กับการเดินในญี่ปุ่นมา 2 วัน ขานี่แทบจะก้าวไม่ออกแล้วค่ะ พอลงสถานีที่จะเดินไปปราสาทโอซาก้า ก็สัมผัสได้เลยถึงบรรยากาศอันร่มรื่น ระหว่างทางเดินไปตัวปราสาทโอซาก้า เราจะผ่านกับสวนไม้นานาพรรณ น่าเอาเสื่อมาปูนอนมากค่ะ

เอาล่ะมาเดินขึ้นไปดูบนตัวปราสาทกัน แต่ขอเตือนนิดหนึ่งค่ะ ปราสาทนี้มีทั้งหมด 8 ชั้น คนรอใช้ลิฟท์ขึ้นไปดูวิวที่ชั้น 8 เยอะมาก ฉะนั้นยอมเหนื่อยหน่อย แต่เราจะได้เดินดูบรรยากาศในทุกๆ ชั้นเลยค่ะ หรือจะพักเหนื่อยแต่ละชั้นก็ได้ แอร์เย็นฉ่ำมากๆ ทุกๆ ชั้นเลยค่ะ แต่เราถ่ายมาแค่ชั้นเดียว แฮ่ๆ เหนื่อยไม่มีอารมณ์จะถ่ายรูปละ ขึ้นมาถึงชั้น 8 ลมเย็นมากๆ เป็นวิวแบบ 360 องศานะคะ เพราะจะมีประตูเลื่อนให้เดินออกไปได้ทุกทิศทางเลยค่ะ

เสร็จแล้วเราก็ไปหาข้าวกินก่อนกลับ ซึ่งก็ไปซื้อที่ Family Mart เป็นเซ็ตข้าวปกติ หมดไปคนละ 200 บาทได้ค่ะ จำไม่ได้ว่ากี่เยน แล้วก็นั่งรถไฟกลับไปยังสนามบินค่ะ ก่อนกลับสนามบิน ต้นข้าวแวะไปเอาประเป๋าที่ฝากไว้ในล็อกเกอร์ที่สถานีรถไฟแถวที่พักก่อน

เที่ยวญี่ปุ่น ..ไม่แพง มีเงินหมื่นบาทก็ไปได้แล้ว was last modified: May 17th, 2022 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version