เที่ยวคุ้ม เที่ยวครบ แบบขาลากกก กับเงิน 15,000 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว) … แถมตื่นเต้นกับการโดนกักตัวครั้งแรกที่ ตม.ฮ่องกง หุหุหุ หัวใจจิวาย… ไปเอง หลงเอง และอยากแบ่งปันข้อมูล เผื่อจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างค่ะ
- การเดินทางครั้งนี้ เราได้โปรจากหางแดง ดอนเมือง – มาเก๊า = 3,222.00 และ ฮ่องกง – ดอนเมือง = 4,774.31
- หาร 2 ไป-กลับ ราคาอยู่ที่คนละ 3,998.15 บาท
- ที่พักมาเก๊า 1 คืน, ฮ่องกง 2 คืน คืนแรกพักที่เกาะมาเก๊า Ole London (ทำเลดีมาก) ราคาคืนละ 2,390.00 บาท / 2 คน ไม่รวมอาหารเช้า คืนที่ 2-3 พักที่เกาะฮ่องกง (ฝั่งเกาลูน ย่าน Tsim Sha Tsui ทำเลดีงาม) Sandhu Hotel ราคา 2 คืน 3,689.62 บาท / 2 คน ไม่รวมอาหารเช้า
- ค่าเรือเทอร์โบเจทจากเกาะมาเก๊าข้ามไปเกาะฮ่องกง (ฝั่งเกาลูน) = คนละ 710 บาท
- ค่ากระเช้านองปิง (ควรซื้อจากไทยไปเลยนะคะ แนะนำมากๆ) = คนละ 630 บาท
- ค่าบัตรเครื่องเล่นโอเชี่ยน พาร์ค = คนละ 1,404.00 บาท
- สรุปค่าใช้จ่ายหลักๆ ที่ต้องจ่ายไป = คนละ 9,778.95 บาท
- ส่วนที่เหลือ 5,221.05 บาท คือ ค่าอาหาร ค่ารถ (งดช้อป เพราะเวลาไม่พอ… แถมเงินเหลือกลับบ้านอีก)
*** มาเก๊ามีสกุลเงินที่เรียกว่า “ปาตากาส์” หรือ MOP$ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 103.20 MOP$ = 100 HK$ เงินดอลล่าร์ฮ่องกง เป็นที่ใช้กันแพร่หลายในมาเก๊า โดยมักจะใช้แลกเปลี่ยนในอัตรา 1 ต่อ 1 คือ หากมูลค่าสินค้าเท่ากับ 5 MOP$ ก็สามารถชำระเป็น 5 HK$ ก็ได้ ที่มาเก๊าเขาก็รับเงินสกุลของฮ่องกงด้วย แต่ที่ฮ่องกง จะไม่รับสกุลเงิน MOP ของมาเก๊าในการใช้จ่าย ดังนั้นอย่าแลกเงินมาเก๊าไปเยอะค่ะ ***
23.11.15 เวลา 13.40 น. ตามเวลาท้องถิ่นมาเก๊า เฮลโล่วววว มาเก๊า
แพลนคร่าวๆ ของวันนี้นะคะ ลงเครื่องฝากกระเป๋าที่เวเนเชี่ยน (ใบละ 50 บาท) นั่งรถเมล์ไปวัดอาม่าที่เกาะโคโลอาน หลังจากไหว้พระที่วัดอาม่าแล้วนั่งรถเมล์สายเดิมไปลงที่เกาะโคโลอาน ชิมทาร์ตไข่แสนอร่อยนามว่า ” Lord Stow’s ” กลับจากเกาะโคโลอานแวะรับกระเป๋า เดินชมเวเนเชี่ยน + กาสิโน แล้วนั่ง Taxi เข้าที่พัก Ole London เกาะมาเก๊า เก็บกระเป๋า แล้วออกไปหาอะไรกิน เดินเที่ยวจัตุรัสเซนาโด้ + โบสถ์เซนต์ปอล แล้วก็อาบน้ำพักผ่อน ZZZZzzzzz
กายพร้อม … ใจพร้อม …. ลุยค่ะ ทริปนี้เราไปกัน 2 คนค่ะ … ชะตาชีวิตขึ้นอยู่กับกระดาษโน๊ตกับแผนที่แผ่นเล็กๆ ที่พริ้นต์ออกมาคนละชุดเท่านั้น (ถ้าทำหายก็คือตายอย่างเดียวอ่ะ) เราก็เริ่มเร่งสปีดการเดินเพื่อแข่งกับเวลา แพลนวันนี้คือต้องไปเยือนเกาะโคโลอานกับไปชิมทาร์ตไข่ให้ได้ ว่าแล้วก็รีบบึ่งสะพายกระเป๋าก้าวขายาวๆ ผ่าน ตม. มาเก๊า มาโดยง่ายดาย ออกมาประตูทางออกหารถเมล์ฟรีของเวเนเชี่ยนเพื่อจะเอากระเป๋าเดินทางที่เราแบกมาไปฝากไว้ที่นั่น ………….
รถฟรี Hotel Shuttle Bus รถฟรีเวเนเชี่ยนค่ะ คันสีน้ำเงิน ถ้าเทียบท่าแล้วแสดงว่ากำลังจะออกค่ะ ขึ้นได้เลย
ไม่ถึง 15 นาที รถก็พาเรามาถึงอาณาจักรของกาสิโน นั่นก็คือเวเนเชี่ยนนั่นเอง รถเมล์ฟรีจะพาเรามาส่งด้านหน้า (Main Lobby) เราสามารถฝากกระเป๋าได้ทั้งด้านหน้า (Main Lobby) และด้านหลัง (West Lobby) หรือฝากข้างหน้าแล้วไปรอรับข้างหลัง หรือฝากข้างหลังไปรอรับข้างหน้าก็ได้ค่ะ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่และเผื่อเวลาด้วย สำหรับเราฝากไว้ที่ Main Lobby ค่ะ เพื่อรอรถเมล์สาย 25 ไปวัดอาม่าที่เกาะโคโลอาน
โคโลอาน (Coloane) เดินทางด้วยรถเมล์สาย 25 ขึ้นที่หน้า City of Dream ตรงข้าม The Venetian (ค่าโดยสารประมาณ 5 เหรียญ) ส่วนสายอื่น ๆ ที่สามารถเดินทางไปได้จะมี 26A, 15 และ 21A ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว ระหว่างทางมีป้ายชัดเจนว่าไปโคโลอาน เกาะโคโลอานนี้มีพื้นที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น จะตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะไทปา มีการถมทะเลจึงทำให้ 2 เกาะนี้กลายเป็นพื้นที่เดียวกัน
หมู่บ้านวัฒนธรรมอาม่า (A-Ma Cultural Village) จะมีองค์เจ้าแม่อาม่าสีขาวสร้างจากหินอ่อนแกะสลัก ตั้งอยู่บนยอดเขา Coloane Hill Park และสามารถเห็นวิวสวยๆ ของมาเก๊าจากบนนั้นได้อีกด้วย
ไม่ถึง 10 นาที เราก็จะถึงเกาะโคโลอานค่ะ …. เสียใจลืมถ่ายป้ายรถเมล์ (ป้ายรถเมล์กับประตูวัดจะใกล้ๆ กันเลยค่ะ ถ้ากลัวลงผิดป้าย เราเดินไปกระซิบคนขับก็ได้แล้วนั่งอยู่ใกล้ๆ เขา พอถึงเขาก็จะไล่เราลงเองค่ะ ….. น่าร๊ากกกกกกกกอ่ะ ^^ บริเวณหน้าวัดจะมีรถตู้บริการขึ้นเขาฟรีค่ะ ……… 15-20 นาทีก็ออก ขากลับก็เหมือนกัน
ตะวันจะตกดินแล้วเรารีบเร่งฝีเท้า เพื่อเดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านโคโลอานกันต่อค่ะ
หมู่บ้านเกาะโคโลอาน การเดินทางคือ นั่งรถสายเดิมที่เราลงวัดอาม่า พอรถขับมาถึงวงเวียนเราจะเห็นขวดแฟนต้ายักษ์ พอเจอล่ะรีบลุกขึ้นแล้วกดกริ่งลงป้ายเลยค่ะ ลงแล้วเราก็เดินชมนกชมไม้ชมเมือง หาทางไปโบสถ์เซนต์ฟรานซิสเซเวียร์ …. (มาตามรอยซีรี่ย์ 555++)
และแล้วสุดท้ายเราก็ได้เจอกัน ………. ” ทาร์ตไข่แสนอร่อย แซบนัว เจ้มจ้น ” ชิ้นละเท่าไหร่ก็จำไม่ได้นะคะ เพราะหิวมาก ตาลาย ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน
พอได้พักเหนื่อยแป๊บหนึ่งก็ต้องรีบกลับเพราะจะค่ำแล้ว กลัวหลงทาง การเดินทางกลับก็เหมือนเดิมค่ะ คือนั่งรถสายเดิมตรงขวดน้ำแฟนต้าไปลงแถวๆ เวเนเชี่ยนเลย … (ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ เพราะเราหลงมาแล้ว เขาจอดให้ตรงไหนไม่รู้ แต่วิวมันสวยอ่ะก็เลยเดินๆ) อ่อ … วิวฝั่งตรงข้ามเขาบอกว่าเป็นเซินเจิ้นนะคะ ……… สวัสดีค่ะ จีน เกิดมาเพิ่งเคยเห็นเซินเจิ้น นั่งมองตั้งนาน 5555+++
ประมาณเวลา 6 โมงเย็นนิดๆ เราก็มาถึงเกาะไทปากันค่ะ เห็นโรงแรมโฟร์ซีซั่นเราก็เตรียมกดกริ่งเลยค่ะ
ลงแล้วก็เดิน ……. วิวสวยมากกกกกกกกกกก อากาศเย็นสบายเลย เรารีบไปรับเอากระเป๋าที่ฝากไว้ Main Lobby แล้วเดินทะลุไปที่ West Lobby (ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี เดินผ่านไม่ได้นะคะ ต้องขึ้นบันไดเลื่อนเดินผ่านข้างบน) เราโดนตรวจพาสปอร์ตด้วยค่ะ รปภ. ไม่ให้เข้าไป 5555555++ ต้องสปีคกันเลยว่า ” แอม นอท ยัง โอเค๊” เสร็จก็เดินเพื่อหารถฟรีที่จะไป Yoet Tung Pier ในรีวิวบอกว่าด้านขวามือสุด เราก็เดินนนนนนตั้งแต่ป้ายที่ 100 จนถึงป้ายที่ 1 ก็ม่ายเจอ ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด เลยตัดสินใจขึ้น Taxi ค่ะ …. เสียค่า Taxi ประมาณร้อยกว่าบาท (เสียดายจุงง)
หลังจากรถออกก็นั่งไปประมาณ 20 นาที Taxi ก็จะพาเราข้ามสะพานจากเกาะไทปามายังเกาะมาเก๊า นั่งผ่านมาเก๊าทาวเวอร์ด้วย รถจะผ่านวัดอาม่าอยู่ด้านขวามือ จากวัดอาม่าก็จะเลยไปประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงท่าเรือ Yoet Tung Pier แต่เรามา Taxi เขาก็จะพาเรามาจอดหน้าโรงแรมเลย สบายขาไปอีกนิด … แต่ถ้านั่งรถฟรีของโรงแรม เราก็มาลงที่ท่าเรือ Yoet Tung Pier และก็เดินย้อนมานิดนึง ให้สังเกตอาคารสีเหลืองกับตู้ไปรษณีย์สีแดงอันใหญ่ เดินเข้าไปในนี้จะผ่านโรงแรมเบสเวสเทิร์น ซัน ซัน ก่อนแล้วถึงจะเป็น Ole London ค่ะ
หน้าตาห้องพักของเรา …. เราได้ห้อง 106 ขึ้นบันไดก็เจอเลย ข้างในโอเคมากๆ ก็สมกับราคาแหละ
เอาล่ะนี่ใกล้จะ 2 ทุ่มแล้ว เรารีบเก็บของล้างหน้าล้างตา รีบออกไปหาอะไรกิน เราแพลนว่าจะรีบไปดูโชว์ของโรงแรม Wynn กับ Grand Lisboa และ Casino Lisboa เพื่อชมแสงสียามค่ำคืน (รถเมล์สาย 17 ผ่านค่ะ) แต่วันนี้เราเหนื่อยและล้าเหลือเกิน ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เดินทางก็หลง Facepalm เลยตัดสินใจตัดทริปนี้ไปเพราะคิดว่าคงไม่ทันแล้ว (โชว์เขาเริ่ม 2 ทุ่ม) ก็เลยเดินลัดเลาะออกมาจากโรงแรม (เดินย้อนขึ้นมาทางตู้ไปรษณีย์สีแดงค่ะแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ จะเจอแยกไฟแดงใหญ่ๆ ก็เลี้ยวขวาเลยค่ะ จะเจอถนนเส้นที่จะไป Senado Square กับโบสถ์เซนต์ปอล ก่อนถึงเราเจ๊อะร้านอาหารร้านนึง คิดว่าน่ากินอ่ะก็เลยแวะ อาหารที่สั่งก็ไม่รู้หรอกว่าอะไร ใช้มือชี้ๆ เอา แค่ไม่ใช่ บีฟก็กินได้หมดอ่ะ โห่ววววว ชามบะเร่อบะร่า ใหญ่จริงอะไรจริง สมกับราคา (2 ชามนี้ราคาประมาณชามละ 80 บาท ค่ะ โค๊กกระป๋อง 30 บาท)
กินเสร็จก็เดินต่อนะคะ เดินๆๆๆๆ ขาใหญ่ ขาย้อย ก็ต้องเดิน แป๊บก็ถึงเซนาโดสแควร์ (Senado Square)
อากาศตอนกลางคืนเย็นสบายค่ะ วิวสวย …. แต่ร้านค้าปิดหมดแล้ว พรุ่งนี้เรามีแพลนมาที่นี่อีกแต่เช้า ขากลับเราแวะซื้อเชอร์รี่ที่แผงลอยตรงหน้าเซนาโด้มาชิม จะบอกว่าหวาน หอม กรอบ อร่อยมากกกก กล้วยหอมก็หวาน อร่อยฟินๆ นั่งพักขาสักพักก็เดินกลับโรงแรม เดินไปเดินมาเจอร้านน้ำเต้าหู้ ก็เลยลองซุปงาดำ โอ้ววแม่เจ้า อร่อยมาก เนื้อนวลละเอียด หอมมด้วย มิน่าคนเยอะ ชามนี้ 35 บาท ค่ะ เดินจนสาแก่ใจแล้วก็เข้าที่พักค่ะ อาบน้ำพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องเดินกันอีกไกล ZzZZzzZzzzzz
เช็คค่าใช้จ่ายของวันแรกนะคะ 1. ค่ารถเมล์ ไป-กลับ เกาะไทปา ไปเกาะโคโลอาน = 10 เหรียญ คูณ 4.68 / 46 บาท 2. ค่าทาร์ตไข่ + เครื่ืองดื่ม คนละประมาณ / 150 บาท 3. ค่าแท็กซี่จากเกาะไทปามายังเกาะมาเก๊า คนละประมาณ / 150 บาท 4. ค่าอาหารก่อนถึงเซนาโด้ คนละประมาณ / 100 บาท รวมค่าใช้จ่ายวันแรก 446 บาท
24.11.15 วันที่ 2 ของการผจญภัย
06.30 น. ยังไม่อยากลุกเลยยยยยยยยยยยย ปวดขา เมื่อยขา โอ้ยย กลับบ้านได้ไหมเนี่ย น้ำตาจิไหล เพิ่งผ่านมาวันเดียวพลังก็จะหมดแล้ว ว่าจบก็กระโดดเข้าห้องน้ำ กว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จทั้ง 2 นาง ก็ปาเข้าไป 8 โมงเช้าล่ะ ได้เวลาเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ้าท์ค่ะ ซึ่งที่ Ole London สามารถเช็คเอ้าท์ก่อนเวลา และฝากกระเป๋าเดินทางได้นะคะ ถ้าต้องการที่จะท่องเที่ยวในมาเก๊าต่อ โดยไม่จำกัดเวลาและก็ไม่คิดค่าฝากด้วย ใจดีที่ซู้ดดดดดดดดดด ฝากเสร็จเราก็เตรียมตัวเดินอีกครั้ง
อ้อ ….. แพลนวันนี้นะคะ ช่วงเช้าไปวัดอาม่าค่ะ (ที่เราผ่านตอนขามาจากเกาะไทปา) จากนั้นไปเซนาโดสแควร์ (Senado Square) + โบสถ์เซนต์ปอลอีกครั้ง แล้วเดินทางไปเกาะไทปา ฝากกระเป๋าที่เวเนเชี่ยน + ชมเวนิชจำลองที่เวเนเชี่ยน จากเวเนเชี่ยนกลับมาเกาะมาเก๊าเพื่อชม Fisherman ’s Wharf จากนั้นไปท่าเรือเทอร์โบเจทที่อยู่ข้างๆ Fisherman ’s Wharf เพื่อข้ามไปเกาะฮ่องกง (ฝั่งเกาลูนแถวจิมซาจุ่ย)
วัดอาม่า การเดินทางของเราวันนี้ก็คือรถเมล์ . . . (แต่ถ้าใครฟิตกว่านี้ อยากประหยัดงบกว่านี้ ก็เดินได้ค่ะไม่ไกลมาก) เดินออกจากโรงแรมก็เดินย้อนมาทางตู้ไปรษณีย์สีแดง และก็ข้ามถนนผ่านสวนสาธารณะ ไปรอรถเมล์หน้าเซเว่นค่ะ รถเมล์ที่วิ่งผ่านวัดอาม่าก็มีสาย 1, 2, 5, 6, 7, 10, 10A, 11, 18, 21A, 26, 28B เรานั่ง 10A นะคะ รถเมล์ที่วิ่งอยู่ในเกาะมาเก๊าราคา 3.2 MOP / คน ราคาเท่ากันทุกสาย และรถเมล์ทุกคันในมาเก๊าเป็นรถแอร์ ขึ้นข้างหน้า ลงข้างหลัง บนรถมีแค่คนขับ คนเก็บตังค์ไม่มีเพราะจะมีตู้ระบบหยอดเหรียญแบบอัจฉริยะ วันนี้เผลอทำเหรียญ 10 บาท กับเหรียญ 5 บาท ลงไปไม่รู้ว่าป่านนี้กระปุกจะท้องอืดรึเปล่า เพราะกินเหรียญแปลกปลอมไป เราไปกัน 2 คน ก็หย่อนลงไป 7 เหรียญฮ่องกงไปเลย ขาดทุนนิดหน่อย นั่งมาแป๊บเดียวไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงค่ะ
สายแล้วๆๆๆๆ ต้องเร่งฝีเท้าหน่อย เพราะเราจะไปกินข้าวเช้ากันที่เซนาโดสแควร์ (Senado Square) กับโบสถ์เซ็นต์ปอลค่ะ ได้ทั้งวิวกลางวันกลางคืน คุ้มจริงๆๆๆ การเดินทางจากวัดอาม่าไปเซนาโดสแควร์กับโบสถ์เซ็นต์ปอล คือเดินออกมาด้านหน้าวัดอาม่า ข้ามถนนหาป้ายรถเมล์ที่จะไปเซนาโด ถ้าไม่รู้ว่าสายไหนก็อ่านที่ตรงป้ายรถเมล์จะมีบอกค่ะว่าสายไหน ไปไหนบ้าง …. เราลงป้ายก่อนถึงเซนาโดนะคะ เพราะจะเดินดูของ ดูร้านค้าและหาอะไรกิน
เดินมาถึงหัวมุมถนน … (หัวมุมไหนก็ไม่รู้ฮ่ะ จำไม่ด้ายยยอีกแล้ว เศร้า) เจอร้านค้าเล็กๆ หน้าร้านจะมีร้านขายผลไม้อ่ะค่ะ เราเห็นรูปมันน่ากิน คิดว่าพอจะกินได้ก็เลยลองซะหน่อย นี่อารายยยยยยยยยยย …. ?? หมี่ผัดใส่ไส้กรอก …. หน้าตาธรรมดา แต่ปรุงรสอร่อยมากค่ะ เส้นเหนียวนุ่ม เครื่องปรุงหลายขวดมาก!
นี่ลูกชิ้นหมู+กุ้ง ……… เนื้อหมูเยอะกุ้งเยอะสมคำร่ำลือ
ข้องใจที่สุดคืออันนี้ ………. มันคืออะไรอ่ะ …. คนสั่งกินเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกก ตั้งหน้าตั้งตากิน กินแบบแทนข้าวเลย ………… เราข้องใจมาก จัดมา 1 จาน สรุป ….. ข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเรานี่แหละ แต่ไม่มีไส้ ….. มันจะอร่อยเพราะมีซอสปรุงรสของเขาอ่ะค่ะ อาหารมื้อนี้จ่ายไปเบาๆ คนละร้อยกว่าบาท ฟินนนนถึงฮ่องกงเบยย
ป่ะ อิ่มแล้วเดินต่อ … สองข้างทางก็จะเจอร้านขายหมูแผ่นเยอะแยะมากมาย …. แต่เราว่าหมูแผ่นที่สิงคโปร์อร่อยกว่านะ แต่แล้วแต่คนชอบเนอะ …………… มาเจอหมึกย่าง
เดินเตร่ดเตร่มาถึงหน้าโบสถ์แล้วค่ะ ……… ถ้าใครฟิตจัดก็เดินขึ้นไปดูวิวข้างบนด้วยก็ได้นะคะ จะเห็นวิวมาเก๊าหมดเลย สวยๆ ค่ะ …. แต่เราสองคนไม่ไหวล่ะ ………. รอเก็บแรงไปเดินเวเนเชี่ยนต่อค่ะ
เราถ่ายรูปกันหนำใจแล้วก็เดินทางกลับไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้โรงแรมค่ะ การเดินทางก็เช่นเดิม …….. วิ่งข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามเซนาโด เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้เหมือนเมื่อคืนอ่ะค่ะ 11 โมงร้านค้าก็เริ่มทะยอยกันเปิดแล้ว
รับกระเป๋าเสร็จหารถไปเวเนเชี่ยนอีกครั้งค่ะ เพราะวันแรกเรายังไม่มีเวลาแวะชมเวนิชจำลองเลย เราเดินไปรอรถเมล์ฟรีของโรงแรมเวเนเชี่ยนที่ท่าเรือ Yoet Tung Pier ก็ไม่มีสักคัน ก็เลยตกลงกันว่าถ้ารอต่อคงจะเสียเวลาแน่ๆ ก็เลยหารถเมล์สาธารณะไปเอง …. อ่านตรงป้ายรถเมล์หน้าเซเว่นพอจะมีรถไปเวเนเชี่ยน ค่ารถเมล์จ่ายไป 5 เหรียญนะคะ ข้ามระหว่างเกาะ พอถึงอาณาจักรกาสิโน คนขับรถเมล์ก็ไล่เราสองคนลงค่ะ แต่จุดที่ลงไม่ใช่เวเนเชี่ยนนะคะ แต่เป็นโรงแรมอื่น รับรองไม่หลงแน่นอนเพราะป้ายเวเนเชี่ยนใหญ่เบิ้ม! เราก็เดินอ้อมมมมมม อ้อมไปอ้อมมา และแล้วก็เจอ โรงแรมกาแล็กซี่แวะถ่ายรูปสิครัช รออัลไล ทิ้งเลยกระเป๋า 5555+
เดินเข้าไปเลยค่าาาาา .. .. …อุ๊ยยย มีโชว์พอดีเลยยย โชคดีจัง ขออภัยนะคะ คุณภาพของกล้องไม่สามารถเก็บความสวยงามจริงๆ มาฝากได้ จะบอกว่าของจริงสวยกว่า 10 เท่าค่ะ อลังๆๆๆๆ
โอเค ดูโชว์จบแล้วไปไงต่อ ถาม รปภ. ในโรงแรมค่ะ ว่าไปเวเนเชี่ยนทางไหน หันหน้าเข้าน้ำพุ เดินมาทางซ้ายมือ เดินตรงมาเรื่อยๆ ผ่านกาสิโน
เดินตรงไปจะเจอสตาร์บัคส์ และก็จะเจอทางออกค่ะ …… เห็นป้ายเวเนเชี่ยนใหญ่ๆ รู้สึกว่าเราจะเดินทะลุมาทางด้านหลังเวเนเชี่ยนนะคะ เพราะมีป้ายรถเมล์เยอะๆๆๆ เห็นเวเนเชี่ยนแล้วก็เดินเข้าไปเลยค่ะ ……….
ปล. เหตุการณ์สำคัญอยู่ตรงนี้คะ *** คือเราเข้าใจผิดคิดว่ากาสิโน Sand อยู่ตรงข้ามกับเวเนเชี่ยน จึงได้ฝากกระเป๋าไว้ที่ด้านหน้า (Main Lobby) เพราะคิดว่าเวลากลับจะได้ไม่ต้องย้อนไปมา คือเที่ยวเวนิชจำลองเสร็จก็มารับกระเป๋าแล้วออกไปเลย
*** แต่ความจริงแล้วคือ …….. กาสิโน Sand ที่ว่ามันอยู่เกาะมาเก๊าฮ่ะ ไม่ใช่ที่นี่ …. โอ้ววว แม่เจ้า!!! นี่ก็ไปฝากเลยครัชช เดินจากด้านหลังทะลุกาสิโนไปฝากกระเป๋าด้านหน้า (Main Lobby) พร้อมถามเจ้าหน้าที่ฝากกระเป๋าเรียบร้อยว่าจะไป Fisherman ’s Wharf ต้องออกไปทาง Main Lobby ใช่ไหม?? เขาก็บอก โน้วๆๆๆ ” you must go west lobby” หาาาาาาาาาา … ทำไมต้องไป West Lobby ล่ะ นี่ตอนไปโคโลอานฉันเห็นป้ายโรงแรม Sand อยู่นะ .. ยูมั่วววว ป่ะเนี่ย ไม่เชื่อๆๆ ยังไงก็ Main กระนั้นก็ดันทุรัง เชื่อในสายตาตัวเอง …. สรุปฝากกระเป๋าที่ Main Lobby ค่ะ (แล้วน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า หึหึหึ) อ่อ … เวลาฝากถ้ากลัวมีปัญหาก็ถ่ายรูปกระเป๋าที่เราฝากไว้ด้วยนะคะ ใบละ 50 บาทเช่นเดิม ฝากกระเป๋าเสร็จก็ขึ้นไปลั๊นลาเวนิชจำลองได้ อยู่ชั้น 3 นะค้าาา
เดินเข้ามาชมข้างในกัน …. ว้าวววววววววว สวยงามมากค่ะ ยังกะของจริง เวลาเราเดินนะเมฆนี่ลอยตามมาเลย สวยๆ
สัมผัสเวนิชจำลองแบบอิ่มใจแล้ว ต่อไปก็ต้องมาเจอกับความจริงที่เจ็บปวดด คือลงจากเวนิชจำลองจากชั้น 3 แล้วก็เดินออกไป Main Lobby เพื่อตามหา Fisherman ’s Wharf ตามหายังไงก็ไม่เจอ เหนื่อย เพลียร่างฝุดๆ ได้แต่กลับเข้ามาที่โรงแรม และถามเจ้าหน้าที่ตรงฝากกระเป๋าอีกครั้งว่าจะไป Fisherman ’s Wharf ต้องออกทางไหน เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า West Lobby โอเค๊ เวสก็เวสว่ะ ลองดู ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
ว่าแล้วสองสาวก็เดินทะลุกาสิโน จากด้านหน้ามาด้านหลังอีกรอบ (ถ้ารวมทั้งหมดนับได้ 8 รอบละ) เราก็ถามเจ้าหน้าที่ตรงฝากกระเป๋าด้าน West Lobby อีกรอบ ว่าจะไป Fisherman ’s Wharf ยังไง เขาก็ชี้บอกให้ขึ้นรถเมล์ฟรีที่จะไป Sand Casino นะ ออกประตูป้ายจะอยู่ด้านซ้ายมือ . ….. เค .. ซ้ายก็ซ้าย …….. วิ่งจู๊ด ไปต่อคิว ในใจก็ระแวงว่าไม่ใช่ แอบถามคนยืนข้างหน้าว่า “ใช่ไป Sand ใช่ไหม” เขาก็พยักหน้า ……… อืมม อุ่นใจ งั้นคงไม่หลง
เฮ้ยยย ทำไมทางมันคุ้นๆๆ …….. เฮ้ยยยย นี่เกาะมาเก๊านิ …. นั่นมัน Wynn นั่นก็แกรนด์ริชบัว
นี่คือ Casino Sand ……..
ส่วนตรงข้ามก็คือ ………… Fisherman ’s Wharf ……….. โอ้วววว จิเปนลม
โอเค .. ตอนนี้เราหลงจนรู้แล้วว่า Fisherman ’s Wharf มันอยู่ตรงข้ามกับ Casino Sand เกาะมาเก๊า เราก็นั่งรถคันเดิมที่นั่งมากลับไปเอากระเป๋าที่เวเนเชี่ยนที่เราฝากไว้ ชีวิตเร่ร่อนมากบอกเลย …….. คือตอนนี้หลับตาเดินมาเก๊าได้ล่ะค่ะ ไปกลับ ไปกลับขนาดนี้ ขอตัดภาพมาที่ Fisherman ’s Wharf เลยละกันนะคะ …… ช้ำใจ!!! เพื่อนสาวได้แต่ปลอบใจ ………. “เอาน่า หลงเป็นครูนะคุณเพื่อน อย่าซีเรียส”
Fisherman ’s Wharf ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนท่าเรือแห่งราชวงศ์ (Dynasty Wharf) เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณแบบจีนในช่วงราชวงศ์ถัง ส่วนตะวันออกพบตะวันตก (East Meets West) พื้นที่บริเวณนี้จะห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและตะวันออก และส่วนท่าเรือในตำนาน (Legend Wharf) เป็นพื้นที่ของร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และกาสิโน
ประมาณ 5 โมงเย็น หลังจากเราได้ชื่นชมบรรยากาศโรมันจำลองแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเดินทางไปขึ้นเรือเพื่อข้ามไปเกาะฮ่องกงกันค่ะ การเดินทางเดินออกจาก Fisherman ’s Wharf เลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเจอสะพานลอย ขึ้นบันไดเลื่อนไปเลยค่ะ แล้วก็เดินเข้าไปท่าเรือเลย ตรงซื้อตั๋วจะอยู่ชั้น 3 … สำหรับเราซื้อตั๋วของ เทอร์โบเจทค่ะ ลงฝั่ง Kowloon ย่าน Tsim Sha Tsui เรือออก 18.00 น. ซื้อตั๋วเสร็จก็ต่อคิวลงเรือค่ะ ในตั๋วจะมีเลขที่นั่งตัวเองด้วยค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะได้ยืน
ครื้ดดดด ครึดๆๆ เสียงหัวเรือกระทบกับคลื่นทะเล เรือค่อยๆเอี้ยวตัวเพื่อจะเทียบท่า อึ้มมมม …. นี่เราใกล้จะได้เหยียบแผ่นดินฮ่องกงแล้วซิ อิอิ..ตื่นเต้นๆๆๆ ในใจก็คิด …”จะผ่าน ตม. ไหมน้าาาาา จะโดนกักตัวไหมน้าาาา..เขาจะถามอะไรบ้างน้าาา” มือเย็น ขาสั่น ใจเต้นตุบๆ เป็นจังหวะ 3 ช่า ส่วนคุณเพื่อนนางชิลล์ค่ะ นางให้กำลังใจว่า …”เราผ่าน ตม. มาเก๊ามาได้ เราก็ต้องผ่านฮ่องกงได้สิน่า ….มีข้อมูลอยู่เต็มมือจะกลัวอะไร”
หลังจากลงเรือเรียบร้อย เราก็เดินตามคนอื่นๆ มาเรื่อยๆ ค่ะ จนถึงจุดตรวจ (เขียนใบ ตม. ตามปกติค่ะ) เขียนเสร็จก็ต่อแถวตรวจตราประทับเหมือนปกติ เขาถามเราว่ามากี่วัน-กลับวันไหน พักที่ไหน ได้เอาตั๋วขากลับมาไหม เราก็ตอบคำถามแบบชัดถ้อยชัดคำ พร้อมยื่นเอกสารการจองที่พัก ตั๋วขากลับให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดู เขาก็เอาเอกสารทั้งสองไปเช็คในคอมฯ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ยื่นเอกสารกับพาสปอร์ตคืนเราสองคน พร้อมกล่าวคำว่า Welcome to Hongkong …. Have a Nice Trip
ที่พักของเราที่ฮ่องกง เราจอง Sandhu Hotel ทั้ง 2 คืนค่ะผ่านอะโกด้า ราคาทั้งสิ้น THB 3,689.62 ทำเลดีงาม สะดวกสบาย แต่ห้องแคบนะคะแต่สะอาด ไม่น่ากลัว พนักงานยิ้มแย้มใจดี หลังจากที่ผ่าน ตม. ฮ่องกงมาแล้ว เราก็ขึ้นบันไดเพื่อหาทางออกไปยังถนน Nathan Road ขณะนั้นจำไม่ได้ว่าออกทางไหน รู้แต่ว่าถามทางออกจาก รปภ. ของห้างค่ะ เขาบอกให้ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายค่ะ เดินๆ หา MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก C2
เย้ … เดินหลงๆ มาสักพักเราก็เจอ MTR สถานี Tsim Sha Tsui ล้าววววววว เจอแล้วก็เดินลงไปหาทางออก C2 ทางเข้าตึกอยู่ขวามือ จะมีป้ายขายนาฬิกา Emperor ทางเข้าจะแคบๆ แต่จะมีป้ายชื่อโรงแรมตลอดทางนะคะ ไม่ต้องกลัวหลง ที่นอนโอเค + ห้องน้ำโอเค
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย check point แรกที่เราจะไปคือ Avenue of Star และอ่าว Victoria Harbour ออกจากตึกที่พัก เราเลี้ยวซ้ายแล้วก็ตรงไปเรื่อยๆ ค่ะ อ่านตามป้ายว่าไป Victoria Harbour
เดินชมเมืองมาสักพัก ถ้าเจอห้างสวยๆ แบบนี้ แสดงว่าใกล้ถึงอ่าวแล้วค่ะ (ชื่อห้างอะไรไม่รู้ค่ะ สวยมากๆๆๆ ดึงดูดให้เราเข้าไป เด็กๆ มาถ่ายรูปรับปริญญากันเต็มเลย)
เดินมาๆๆ เราเจอท่าเรือเกาลูนล๊าวววววววววววววว สวยจุงงง นั่นคือตึกที่สูงที่สุดใช่ม้ายยยย ที่เราเห็นอยู่นี่คือฝั่งของฮ่องกงนะคะ สวยงามจริงๆ
ป่ะ เดินต่อ เดี๋ยวเราต้องเดินข้ามถนนไปฝั่งที่มีหอนาฬิกานะคะ ตรงนั้นจะเป็นจุดที่ถ่ายมิวสิกวีดีโอเพลง ความรักดีๆ อยู่ที่ไหน ……… อิอิ มาตามรอย
ความรักดีๆ อยู่นี่เอง จุดชมวิวตรงนี้จะปิดประมาณ 3 ทุ่มนะคะ ถ้าจำไม่ผิดจะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาเช็คนักท่องเที่ยว หลัง 3 ทุ่มจะไม่ให้ใครขึ้นมาบนนี้ค่ะ
หลังจากโดนไล่จากจุดชมวิวแล้ว เราก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ เพื่อตามไปหา Avenue of Star แต่หาไม่เจอ คือบับบบว่าเมื่อยขามากๆ เพื่อนสาวเลยชวนกลับ บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมากันใหม่นะ ถ้ามีเวลา อดเบย T.T ก่อนกลับเรามาแวะทานอาหารมื้อค่ำของเรากันที่ใกล้ๆ ที่พัก ค่าเสียหายหมดไปประมาณคนละ 300 บาท ค่ะ อิ่มแปร้
รวมค่าใช้จ่ายวันที่ 2 1. ค่ารถเมล์จากที่พัก Ole London ไปวัดอาม่าคนละ 3 HKD (3 x 4.68 = 14.04 บาท) 2. ค่ารถเมล์จากวัดอาม่า ไปเซนาโด้ สแคว์ คนละ 3 HKD (3 x 4.68 = 14.04 บาท) 3. ค่าอาหารเช้า หมี่ผัดไส้กรอก คนละประมาณ 100 บาท 4. ค่าฝากกระเป๋าที่เวเนเชี่ยน ใบละ 50 บาท 5. ค่าอาหารค่ำ ข้าวผัดแมงกานีส คนละประมาณ 300 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 478.08 บาท
มาต่อเช้าวันที่ 25.11.15 กันนะคะ
แพลนวันนี้คือแน่นมากค่ะ เราไปที่ไหนบ้างตามมาดูเล้ยยย ตื่นเช้ามาเราก็ไปตามรีวิวแฟนพันธ์แท้ฮ่องกงจิ เราได้ข่าวว่าโจ๊กร้านนี้เลิศมากกก เราอยากไปลิ้มลองโจ๊กเนื้อนวลๆ ปาท่องโก๋นิ่มๆ น้ำเต้าหู้หอมๆ ” ร้าน Hung Lee สิจะอะไรล่ะ” ทานโจ๊กเสร็จเรารีบเดินทางไปต่อกันที่ “Repluse Bay ” มีองค์เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้าโชคลาภต่างๆ ที่ตั้งประดิษฐานอยู่เพื่อให้เราได้ไหว้ขอพรเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ไหว้พระเสร็จ เด็กๆ ใสๆ ไฟแรงอย่างเราก็ต้องไปหาอะไรที่ตื่นเต้นกว่าดีสนีย์แลนด์จิครัช นั่นก็คือ “Ocean Park” (เครื่องเล่นตื่นเต้นเร้าใจมีให้เล่นเยอะแยะ หลากหลาย ชอบมากก ที่สำคัญวิวสวยที่สุด) และที่สุดท้ายของวันนี้คือ ” The Peak” จุดชมวิวที่สวนที่สุดในฮ่องกง ถ้าใครมาฮ่องกงและไม่ได้ขึ้นมา The Peak ถือว่ามาไม่ถึงนะ เที่ยวกับเรารถรงรถรางไม่ต้องขึ้นค่าาาา ขึ้นรถบัส 2 ชั้นไปเล้ยยยย วิวสวย แถวเสียวตลอดเส้นทางจริงๆ นะ ที่สำคัญไม่ต้องแน่นเบียดกับใคร แถมไม่แพงอีก หุหุ
“ร้าน Hung Lee” การเดินทาง มาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้า MTR สถานี Tsim Sha Tsui exit B2 เดินตามถนน Cameron แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Carnarvon แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยเล็กอีกทีนึง ใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณ 3-7 นาที
เมนูที่เราสั่งก็พื้นๆ ค่ะ มีโจ๊กหมูก้อน ปาท่องโก๋ และก็น้ำเต้าหู้หอมๆ อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ นะ มันนวลๆ ละเอียดๆ หมูก็นุ๊มนุ่ม ไม่เสียแรงที่เดินตามหาตั้งนาน ค่าเสียหายหมดไปร้อยกว่าบาทค่ะมื้อนี้
บรรยากาศภายในร้าน คนเยอะมาก ทั้งคนไทยคนฮ่องกง
อิ่มท้องแล้ว ได้เวลาเดินทางต่อแล้วสินะ … ครั้งแรกกับการใช้งานบัตรปลาหมึก อิอิ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะว่าตั้งแต่เรามาใช้ชีวิตอยู่ฮ่องกง เรายังไม่ได้นั่ง MTR เลย เพราะที่พักของเราสามารถเดินไปจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ มีวันนี้แหละวันแรกที่เราจะได้ใช้บริการบัตรปลาหมึกซะที …. Let’s go
จุดที่ 2 ของวันนี้ คือ “Repluse Bay” เราเดินทางออกจากร้านโจ๊ก Hung lee ประมาณเก้าโมงครึ่งได้ กินเสร็จก็รีบเดินมุดลง MTR จิมซาจุ่ย ซื้อบัตรปลาหมึกคนละใบ ราคา 150 HK$ (ซื้อได้ทุกสถานี ในเซเว่นก็มีขายนะคะ) บัตรใช้ได้ 100 HK$ และเป็นค่ามัดจำ 50 HK$ (เวลาคืนบัตรจะได้ 43 HK$ หัก 7 HK$ จากการที่ใช้ไม่ถึง 3 เดือน) บัตรนี้ใช้ในการขึ้น MTR รถเมล์ เรือข้ามฟาก รถราง แล้วก็ใช้ในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7Eleven เติมเงินได้ทั่วไปทั้งร้านสะดวกซื้อ สถานี MTR และที่อื่นๆ
การเดินทาง นั่ง MTR ไปลงสถานี Central ทางออก A ตามป้ายจะเห็น Exchange Square กับ Bus Terminus ออกไปข้างนอกก็จะเห็นบันไดเลื่อน ให้ขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง Bus Terminal จะอยู่ใต้ตึก ตรงกลางนะคะ
แล้วต่อรถบัสสาย 6, 6A, 6X, 260 (รถบัส 2 ชั้น) จาก Bus Terminal ที่ Exchange Square ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีถึง หาด Repulse Bay เจ้าแม่กวนอิม เรานั่งชั้นบน วิวสวยชัดเจนค่ะ แนะนำๆ
ระหว่างทางจะผ่านโอเชี่ยน พาร์คด้วยนะคะ
ถ้าเจอโรงแรมที่มีช่องๆ แบบนี้ ก็เตรียมตัวกดกริ่งลงเลยค่ะ ……… จุดนี้คนลงเยอะ
ลงเสร็จก็ข้ามถนนมาอีกฝั่ง ลงบันไดเพื่อจะเดินเลียบชายหาดนะคะ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เจอแล้วค่ะ “วัดเจ้าแม่กวนอิม” สักการะขอพรเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม กันได้เลย
ข้ามสะพานอายุยืน ไปอีก 3 ปี ข้ามไปแล้วห้ามข้ามกลับนะ
องค์เทพองค์นี้แหล่ะที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ใครมีลูกยากมักจะมาขอกันที่นี่ ……… เคยได้ยินมานานแล้วเพิ่งมีโอกาสมาเห็นกับตาตัวเอง
วันนี้มาขอต่อ สถานที่ต่อไปกันนะคะ คื้ออออออ … “Ocean Park” หลังจากที่ไหว้พระขอพรกันเสร็จพิธีแล้ว ขณะนี้ก็เวลาเกือบๆ จะ 11 โมงครึ่งล่ะค่ะ รีบหาอะไรรองท้องกันที่เซเว่นแถวๆ นั้นเลย ได้ข้าวปั้นมาคนละชิ้น น้ำคนละขวด ชมวิวสักพักก็รีบเดินทางไปโอเชี่ยนพาร์คต่อค่ะ
สำหรับการเดินทางนะคะ วันนี้เราเริ่มต้นจากหาด Repulse Bay Beach โดยการเดินขึ้นไปบนถนนแล้วก็รอรถเมล์ตรงฝั่งชายหาดนะคะ ไม่ต้องข้ามถนน จะมีรถเมล์สายที่ผ่านโอเชี่ยนพาร์ค แต่เนื่องจากว่าเรารีบมาก กลัวจะไปถึงโอเชี่ยนพาร์คช้าไป เราก็เลยตกลงกันขึ้น Taxi ที่จอดรอผู้โดยสารอยู่ริมถนน ค่ารถก็ไม่แพงค่ะ อยู่ที่คนละประมาณ 60-70 บาท คุณลุง Taxi ส่งถึงหน้าโอเชี่ยนพาร์คเลยคะ ดี๊ดีย์ ^^ ไม่ถึง 20 นาที ………………..ก็ถึงแว้ววววววววววววววววว อาณาจักรของราววววววววววววววววว
มาถึงปุ๊บก่อนจะไปขึ้นกระเช้า เราก็ไปชมสัตว์โลกใต้ทะเลที่อะควอเรี่ยมกันก่อนเลยนะคะ ไหนๆ ดูซิ สวยเท่าบ้านเราป่าว
ตอนนี้ก็เดินทะลุออกมาข้างนอกล่ะค่ะ ………… มาๆๆๆ รีบต่อแถวไปขึ้นกระเช้ากัน
ขึ้นมาถึงข้างบนก็เหรอหรา ไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี แต่แพลนไว้แล้วแหละว่ามาโอเชี่ยนพาร์คทั้งทีต้องดูโชว์น้องโลมาให้ได้ ดังนั้นจุดแรกที่ต้องไปคือ ดูเวลาซิ ……… เริ่มกี่โมง
วิวอีกฝั่งหนึ่งของโอเชี่ยนพาร์ค
โฮ้ยยยย เล่นรถไฟเหาะตีลังกา วิวข้างล่างเป็นทะเล มันสุดๆ ค่ะ วิวก็สวยสุดยอด มาฮ่องกงอย่าพลาดนะคะ ทั้งไวกิ้ง ทั้งชิงช้า ทั้งปลาหมึก เสียวสุดคือยักษ์ตกตึกนะคะ (เรียกเหมือนสวนสยามป่าวนะ 5555+ นั่นแหละ เหมือนๆ กัน) ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ …. เล่นไม่ครบ เพราะกว่าจะเดินทางไปแต่ละจุดนี่นานค่ะ เพราะพื้นที่มันกว้าง ต่อคิวนานด้วย ขนาดวันธรรมดาคนก็เยอะมั่ก บัตรเข้าชมก็ถือว่าราคาสูง ถ้าจะให้คุ้ม บัตรควรมีอายุประมาณ 2 วันโน๊ะ
ตอนกลางคืนเห็นว่ามีการแสดงโชว์ด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้อยู่รอดูอ่ะ ประมาณ 5 โมงเย็น ก็ต้องไปรอคิวขึ้นกระเช้ากลับแล้วค่ะ แอบเสียดาย
มาต่อที่ “The Peak” ที่สุดท้ายของวันนี้ หลังจากที่เราอดทนกับการต่อคิวนั่งกระเช้าขาลงแล้ว กว่าจะพาร่างมาถึงข้างล่างได้ก็เกือบๆ จะหกโมงครึ่งล่ะค่ะ ฟ้าเริ่มมืด อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นมาเรื่อยๆ (คืออากาศเริ่มหนาวตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ วันนั้นเป็นวันแรกเลยมั้งที่เข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการของฮ่องกง)
สำหรับการเดินทาง หลังจากที่เราลงกระเช้ามาแล้ว ก็รีบวิ่งไปขึ้นรถเมล์ที่จะไปรถไฟฟ้า MTR สถานี Adminalty เลยค่ะ (ถ้าไม่รู้ว่าสายไหน ถามเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ) ถึงแล้วก็นั่งไปลงสถานี Central (ทางออก A ตามป้ายจะเห็น Exchange Square กับ Bus Terminus ออกไปข้างนอกก็จะเห็นบันไดเลื่อน ให้ขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง) ง่ายๆ ก็คือทางเดิมที่ขึ้นรถเมล์ไปเจ้าแม่กวนอิมเมื่อเช้าค่ะ
ถ้าเดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้วก็ขึ้นสาย 15 เลยนะคะ สำหรับค่าโดยสารประมาณ 10 HKD (สามารถดูตรงป้ายได้ เขาจะเขียนบอกว่าถึงไหนราคาไหน) เราสามารถใช้บัตรปลาหมึกแตะตอนขึ้นได้เลยค่ะ หรือถ้ากลัวบัตรไม่พอก็จ่ายเป็นเหรียญหย่อนลงกระปุกเลยค่ะ ถ้าหย่อนไม่พอเครื่องจะร้อง ถ้าเกินจะไม่ร้อง ขึ้นข้างหน้าลงข้างหลังเหมือนมาเก๊าเลยค่ะ เป็นระเบียบ สะดวก สะบาย เส้นทางแบบเสียวมากกกกกกก ถนนเป็นตัว S แถมข้างๆ เป็นเหว คนขับเก่งมากๆๆๆ วิวระหว่างทางคือแจ่ม ….
ถึงล้าววววว The Peak ………. ลงๆๆ คือว่า ……….. อากาศเย็นมากกกกกกกกก ประมาณ 10 องศานิดๆ
บัตรนี้ซื้อเพิ่มราคาประมาณ 150 บาทไทยค่ะ ซื้อเพื่อเราจะได้ดูจุดชมวิวที่สวยที่ซู้ดดด
อากาศเย็น ลมแรง มากกกกกกก ความสวยงามทำให้ลืมความหนาวไปชั่วขณะ สวย สวย สวย สวย ………… ได้แต่พึมพำอยู่อย่างนั้น สวยจนลืมเพื่อนไปเลย
ขากลับก็เช่นเดิมค่ะ นั่งสาย 15 ที่เราขึ้นมาเช่นเดิม แล้วลงสถานี Central แล้วต่อไปสถานี Jordan เพื่อไปทานมื้อค่ำกันที่ร้าน “Majesty Chinese Restuarant”
การเดินทาง ลงสถานี Jordan ระหว่าง Exit E กับ Exit D แต่ออกทาง Exit E จะใกล้กว่านิดหน่อย ขึ้นบันไดไปตามรูปแล้วกดลิฟต์ไปชั้น 3 เลย
มาถึงล้าวๆๆๆ (ตอนแรกหาร้านไม่เจออีกแล้วค่าาา ต้องถามพี่ รปภ. อีกแว้วว สะกดชื่อก็ไม่ถูก ต้องพริ้นส์รูปไปด้วยนะคะ จะได้สื่อสารเข้าใจง่ายๆ) ไปถึงก็งงๆ พนักงานเอาเมนูมาให้ ดูยังไงก็ไม่มีติ่มซำ ก็เลยถามเขาว่าเราได้ยินชื่อของร้านนี้ว่าติ่มซำอร่อยมาก แต่ทำไมเราไม่เห็นมีในเมนูเลย พนักงานก็เลยบอกว่า อ๋อ ติ่มซำมีขายเฉพาะตอนเช้า (หลัง 11 โมงเช้าน่าจะไม่มีแล้วค่ะ) เราก็เลยโอเคๆ I see แล้วจะกินไรดีล่ะทีนี้ นี่จะ 4 ทุ่มละ ร้านจะปิดละ เอาไรดี เปิดไปเปิดมาเจอราดหน้าหมี่กรอบฮ่องกง ว้าววว น่ากินอ่ะสั่งเลยๆ หิวๆ ไม่ถึง 15 นาที ราดหน้าก็มา โอ้ววว แม่เจ้า เยอะมั่ก ยังกะงานโต๊ะจีน จานนี้น่าจะสำหรับ 2-3 คนอ่ะ อร่อยมาก กุ้งตัวโต๊โต หวานกรอบบบ ฟินนนอะ (หรือว่าเราหิวก็ไม่รู้ 555+)
มื้อนี้หมดไปคนละเกือบๆ 300 บาทค่ะ หนังท้องตึง หน้าตาก็หย่อน …. ป่ะ กลับห้องกัน พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายละ เราจะไปไหนกันบ้าง คอยติดตามนะก๊ะ
ขอเพิ่มเติมค่าใช้จ่ายของวันนี้ค่ะ 1. ค่าอาหารเช้า โจ๊ก Hung Lee คนละประมาณ 200 บาท 2. ค่าข้าวปั้น+น้ำ ที่วัดเจ้าแม่กวนอิม หาดรีพัสเบย์ คนละประมาณ 100 บาท 3. ค่าอาหารค่ำ ราดหน้าฮ่องกง คนละประมาณ 250 บาท 4. บัตรชมวิวจุดสูลสุดที่ The Peak คนละ 150 บาท 4. ค่าบัตรปลาหมึก คนละ 150 HKD (150×4.68 = 702) บาท รวมแล้วจ่ายไปทั้งหมด 1,402.00 บาท
วันที่ 26.11.14 วันสุดท้ายของการเดินทาง
แพลนวันนี้คร่าวๆ ค่ะ 08.00 น. เช็คเอ้าท์ พร้อมฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พัก จากนั้นเดินทางไปดีสนีย์แลนด์ แล้วก็เดินทางไป Nong Ping จากนองปิงไปวัดหวังต้าเซียน + สวน Nan Lian (ทริปนี้ไม่ทันค่ะ เวลาไม่พอ เสียดายมากๆๆๆ) แวะรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่พัก จากที่พักไปสนามบิน
สถานที่แรกของวันนี้คือ “Disney Land” ปล. ที่ไปนี่ไม่ได้เข้าไปเล่นเครื่องเล่นนะคะ แค่เข้าไปถ่ายรูปตรงทางเข้าอ่ะค่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เลยคิดว่าไปดูซิว่ามันเป็นยังไง การเดินทางก็ตามจุดตัวเลขเลยค่ะ 1-4 (จาก Tsim Sha Tsui ลง Central แล้วต่อสายสีเหลืองลง Sunny Bay ต่อสายสีชมพูเข้า Disneyland)
หลังจากชื่นชมบรรยากาศแบบ 14 อีกครั้งเรียบร้อย เราก็ต้องรีบกับมาลงรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางต่อไปยัง Nong Ping กันค่ะ เดินเร็วๆ เนื่องจากได้ข่าวมาว่าที่ขายตั๋วคนเยอะมาก การเดินทาง จาก Disneyland มาลง Sunny bay แล้วต่อไปที่ Tung Chung ค่ะ
มาถึงแล้วค่ะ คนเยอะตามความคาดหมาย วันนั้นโชคร้ายมากกก นี่ขนาดซื้อตั๋วไปที่เมืองไทยแล้วยังต้องได้รอคิวเกือบ 1 ชม. คือจะเยอะไปไหน ต่อคิวรับบัตร 1 ชั่วโมง ต่อคิวขึ้นกระเช้าอีก 1 ชั่วโมง เห็นวิวสวยๆ ละคลายหงุดหงิดไปเลยค่ะ สวยมากกก
ทางเดินแห่งปรัชญา Wisdom Path เรียงรายไปด้วยเสาไม้ 38 ต้น (อนุสาวรีย์แนวตั้ง) ที่มีบทกวีจากพระสูตรอายุนับศตวรรษ โดยพระสูตรนี้เป็นหนึ่งในบทสวดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของโลก ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชน รวมถึงผู้ที่นับถือลัทธิเต๋าและขงจื้อเช่นเดียวกัน แผ่นไม้เหล่านี้จารึกบทสวดเป็นภาษาจีน โดยเขียนตามลายมืออันวิจิตรของปรมาจารย์ร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เจ้า ซุง อี้ และมีการจัดเรียงเป็นรูป ∞ ซึ่งหมายถึงอนันตภาพ ตั้งอยู่ในเนินเขาของนองปิง และอยู่ไม่ไกลจากพระใหญ่และอารามโป๋หลิน ทางเดินแห่งปรัชญายังเป็นที่ที่ท่านสามารถมองเห็นทะเลจีนใต้อันงดงามได้อีกด้วย (จากพระใหญ่เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 15-20 นาทีค่ะ เหนื่อยนิดหน่อย) แปลว่าอะไรไม่รู้ค่ะ วานผู้รู้ช่วยชี้แนะ
หลังจากกลับมาจาก Wisdom Path เราก็ต้องไปโดน Honeymoon dessert สิจะรออะไรล่ะ ไปลองรสชาติว่าจะอร่อยสู้ข้าวเหนียวมะม่วงบ้านเราได้ป่าว คะแนนความพอใจจากเรานะคะ เต็ม 10 เราให้ 7 ค่ะ คือผิดหวังนิดนึง แบบว่าไม่เจ้มจ้นเลยค่ะ มันเบาไปนะเราว่า กลับๆ มากินพุดดิ้งมะพร้าว กับข้าวเหนียวมะม่วงบ้านเราดีกว่าค่ะ อิอิ ค่าเสียหายหมดไปคนละ 300 นิดๆ
หลังจากดื่มด่ำของหวานเสร็จก็ต้องรีบไปต่อคิวขึ้นกระเช้าเพื่อกลับไปเอากระเป๋าแล้วค่ะ ขณะนี้เวลา 4 โมงเย็น คาดว่าจะไปวัดหวังต้าเซียน + สวน Nan Lian ไม่ทันแล้วค่ะ เสียดายๆๆๆ ลงมาถึงสถานี Tung Chung ประมาณ 5 โมงครึ่ง ต้องรีบไปรับกระเป๋าที่เราฝากไว้ที่พักค่ะ (จาก Tung Chung มาลง Central ต่อไปที่ Tsim Shs Tsui) รับกระเป๋าเสร็จก็ไปทางเดิมค่ะ (Tsim Sha Tsui ต่อไปที่ Central มาลงTung Chung) เพื่อขึ้นรถเมล์ สาย S1 เข้าสนามบิน
ถึงสนามบินแล้วยังไม่จบค่ะ ต้องวิ่งต่อ ไฟลท์บินกลับของเราคือเวลา 20.50 น. ขณะถึงสนามบินเวลาประมาณ 19.20 น. วิ่งงงงงงงง จนตับแล่บ Gate อยู่ไกลมากกกก เชคอินอาคารขวามือ แต่ Gate อยู่อาคารซ้ายมือ โอ้ววว จะทันไหมๆๆๆ ในที่สุดก็ ………….. ทัน Bye Bye Hong Kong I Love You Nha . . . . .
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่ 4 1. ค่าบัตรปลาหมึก ซื้อเพิ่ม 50 เหรียญ (50 x 4.68 = 234.00 บาท) 2. ค่าลูกชิ้นทอดที่ Nong Ping คนละ 100 บาท 3. ค่า Honeymoon Dessert คนละ 300 บาท รวมทั้งสิ้น 634.00 – 327.60 = 306.40 บาท (327.60 บาท)
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 1. วันที่ 23 (446.00 บาท) 2. วันที่ 24 (478.08 บาท) 3. วันที่ 25 (1,402.00 บาท) 4. วันที่ 26 (306.40 บาท) รวมทั้งสิ้น 2,632.48 บาท ลบกับงบที่ตั้งไว้ 5,221.05 จะเหลือตังค์กลับบ้านเท่ากับ 2,588.57 บาท สรุปว่าทริปนี้หมดค่าใช้จ่ายไปเพียง 12,411.43 บาท เองนะ