ใครเป็นสายธรรมชาติ รักการผจญภัย ชอบเที่ยวป่าเขา ต้องไป คามิโคจิ (Kamikochi) แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ที่มีวิวสุดอลังการแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น สามารถเดินเทรกกิ้งไปตามเส้นทาง แล้วจะมองเห็นเทือกเขาเจแปนเอลป์ตอนเหนือได้อย่างสวยงามเกินคำบรรยาย เหมือนได้วาร์ปไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว พักการเที่ยวในเมืองหรือเดินช้อปปิ้งไว้ก่อน แล้วตามพี่เห็ด มัชรูมทราเวล ไป ทัวร์ญี่ปุ่น แบบได้ใกล้ชิดธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์กันให้ฉ่ำปอดที่คามิโคจิกัน…!!
ทำความรู้จักคามิโคจิ
หนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มีธรรมชาติสุดอลังการแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ก็คือ คามิโคจิ ดินแดนแห่งสายน้ำท่ามกลางหุบเขา เป็นพื้นที่ธรรมชาติในจังหวัดนากาโน่ (Nagano) และเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติชูบุซังกาคุ (Chubu Sangaku National Park) มีลักษณะเป็นที่ราบสูงทอดยาวไปตามแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ซึ่งมีระยะทางยาว 15 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและป่าไม้เขียวขจี มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้อากาศเย็นสบายในช่วงฤดูร้อน เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติ และชอบความสงบเงียบ
ด้วยความที่ คามิโคจิ ตั้งอยู่ระหว่าง เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) และทาคายามะ (Takayama) จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากไปเที่ยวแบบเช้า-เย็นกลับ แต่ถ้าใครอยากจะพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติกันให้นานกว่านี้ ภายในอุทยานฯ ก็มีที่พักไว้ให้บริการเช่นกันค่ะ
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการไปเที่ยวคามิโคจิ
ตามกำหนดการแล้ว คามิโคจิ จะเปิดเส้นทางให้ท่องเที่ยวระหว่างช่วง กลางเดือนเมษายน – กลางเดือนพฤศจิกายน เท่านั้น ก่อนจะปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว ถ้าถามว่าควรจะมาเที่ยวช่วงไหนถึงจะสวยที่สุด? พี่เห็ดต้องบอกเลยว่า เสน่ห์ของ คามิโคจิ จะสวยงามแตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดูกาล มาดูกันว่าฤดูกาลไหนเป็นยังไงบ้าง
ฤดูใบไม้ผลิ : เริ่มตั้งแต่ช่วงที่เปิดอุทยานกลางเดือนเมษายน ไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน
ช่วงแรกๆ ภายในอุทยานฯ อาจยังมีหิมะหลงเหลือบ้างเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว อุณหภูมิประมาณ 1 – 19 องศา จากนั้นต้นไม้ใบหญ้าจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่ม พร้อมกับอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้น พอมาถึงช่วงเดือนมิถุนายน บางวันอาจเจอกับฝนตกได้ ทำให้ช่วงนี้ผู้คนยังไม่พลุ่กพล่าน ค่อนข้างเงียบสงบ
ฤดูร้อน : เดือนกรกฎาคม ไปจนถึงกลางเดือนกันยายน
ถึงจะเป็นหน้าร้อนแต่อากาศก็ยังคงเย็นสบาย เนื่องจากอยู่ที่สูงและล้อมรอบด้วยป่าเขา อุณหภูมิประมาณ 12 -24 องศา เป็นสถานที่หลบร้อนจากตัวเมืองได้ดีเลยทีเดียว แถมยังเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อนของชาวญี่ปุ่น และเป็นฤดูกาลแห่งการปีนเขาอีกด้วย ถือเป็นช่วงพีคสุดๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินป่ากัน
ฤดูใบไม้ร่วง : กลางเดือนกันยายน ถึง กลางเดือนพฤศจิกายน
ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงพีคของนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันมาชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสี เป็นช่วงที่เหล่าต้นไม้จะมีสีสันสดใสมากที่สุด ซึ่งแต่ละปีก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศในปีนั้นๆ ช่วงเวลาแนะนำสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีคือ กลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน ส่วนสภาพอากาศ ต้นฤดูอุณหภูมิประมาณ 10 – 14 องศา พอเข้าช่วงเดือนพฤศจิกายนอากาศจะเย็นมากขึ้นจนถึงอุณหภูมิเลขตัวเดียวถึงติดลบ หรือประมาณ -4 ถึง 9 องศา บางปีพอเข้าปลายเดือนก็เริ่มมีหิมะตกบ้างแล้ว
ฤดูหนาว : แน่นอนว่าทางอุทยานฯ ปิดเส้นทางในช่วงนี้ เพื่อเป็นการฟื้นฟูธรรมชาติ บวกกับสภาพอากาศที่หนาวจัด อาจทำให้มีหิมะตกหนักได้
ที่เที่ยวไฮไลท์เด็ดในคามิโคจิ
ทัวร์ญี่ปุ่น ครั้งนี้พี่เห็ดบอกเลยว่าคุ้ม ไม่ว่าเพื่อนๆ จะไปจุดชมวิวตรงไหนของ คามิโคจิ ก็สวยงามแทบทุกจุด ไม่มีคำว่าผิดหวัง พี่เห็ดขอพาทุกคนไปชม 4 ไฮไลท์ที่ต้องไป ตามมาเลย
1. สะพานคัปปะ (Kappa Bridge)
จุดชมวิวตัวแม่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมา เป็นสะพานแขวนที่อยู่เหนือแม่น้ำอาซุสะ แม่น้ำใสๆ เย็นๆ ไหลผ่าน เบื้องหน้าจะเห็นความงดงามของเทือกเขาโฮทากะ (Hotaka) แบบชัดเต็มตา รายล้อมไปด้วยร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกต่างๆ แถมยังอยู่ใกล้กับท่ารถบัสและศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย ถือเป็นใจกลางของ คามิโคจิ ที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
2. บึงไทโช (Taisho Pond)
เป็นจุดชมวิวที่ไม่ไกลจากจุดแรก แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก กับความสวยงามของภูเขาที่สะท้อนผืนน้ำของบึง ซึ่งเป็นบึงที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟยาเกะดาเกะ (Mt.Yakedake) ในปี ค.ศ. 1915 ทำให้เราเห็นเศษไม้ที่ผุพังบ้าง แต่บรรยากาศโดยรวมแล้วสวยงามเกินคำบรรยาย หากมาในแต่ละช่วงเวลาก็จะเห็นความอัศจรรย์ที่ต่างกันไป เช่น ยามเช้าหลังพระอาทิตย์ขึ้น, ช่วงหิมะปกคลุมยอดภูเขา หรือแม้แต่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
3. บึงเมียวจิน (Myojin Pond)
บึงที่สวยงาม ตั้งอยู่ในเขตศาลเจ้าโฮทากะ (Hotaka Shrine) ทำให้มีบรรยากาศเงียบสงบ มีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ปีจะมีการจัดงานเทศกาลที่นี่ด้วย หากเดินไปสุดปลายท่าน้ำที่ยื่นเข้าไปในบึง จะเห็นระฆังและกล่องสำหรับบริจาควางไว้ เราสามารถทำบุญและบูชาเทพเจ้าตรงนี้ได้
4. แม่น้ำอาซุสะ (Azusa River)
แม่น้ำสายหลักที่เป็นหัวใจของ คามิโคจิ เลยก็ว่าได้ เป็นแหล่งพักใจของนักท่องเที่ยวไว้สำหรับทำกิจกรรมพักผ่อนต่างๆ สามารถเดินเล่นเลียบแม่น้ำได้สบายๆ เพราะมีระบบการจัดการดูแลเป็นอย่างดี
เส้นทางแนะนำสำหรับเดินในคามิโคจิ
เส้นทางเดินป่าใน คามิโคจิ มีหลากหลายเส้นทางให้เลือกเดิน มีระดับความยากแตกต่างกันไป ตั้งแต่เดินเล่นง่ายๆ ไปจนถึงระดับมืออาชีพ โดยใช้เวลาเที่ยววันเดียวไปจนถึงนอนค้างคืนเลยก็มี ซึ่งก่อนจะเข้าไปเดินป่าหรือปีนเขาภายในอุทยานฯ ต้องทำการลงทะเบียนก่อนนะคะ เส้นทางแนะนำมีดังนี้ค่ะ
– เส้นทางผ่านแม่น้ำอาซุสะ : เส้นทางเดินป่าสุดเบสิก ส่วนใหญ่เป็นทางราบ เดินสะดวก ระยะทางประมาณ 9.2 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก็สามารถเก็บจุดไฮไลท์เด่นๆ ของที่นี่ได้เกือบครบหมดแล้ว
– ภูเขายาเกะดาเกะ (Yakedake) : จุดปีนภูเขาไฟสำหรับผู้เริ่มต้น ระยะทาง 6.4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง สามารถไปเช้าเย็นกลับได้
– ภูเขาโชกะทาเกะ (Chogatake) : เส้นทางเดินป่าสำหรับนักปีนเขาระดับกลาง มีหลายแผนการเดินให้เลือก ซึ่งใช้ระยะเวลาหลายวันในการเดิน
– ภูเขาคิตะ-โฮะตะคาดาเกะ (Kita-Hotakadake) : เส้นทางเดินป่าสำหรับนักปีนเขาระดับสูง ระยะทาง 34.7 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง ต้องมีประสบการณ์ในการเดินป่าและการปีนเขามาระดับมากพอสมควร
– ภูเขายาริ (Yari) : เส้นทางเดินป่าสำหรับนักปีนเขาระดับมืออาชีพ ระยะทาง 39.1 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมง มีการปีนเขาทุกรูปแบบ ใช้เวลาเดิน 2 วัน ค่อนข้างอันตรายและต้องมีประสบการณ์เดินป่าระดับเซียน
การเดินทางสู่คามิโคจิ
– รถยนต์ส่วนตัว : หากขับรถมาจากโตเกียว ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง พี่เห็ดแนะนำให้เที่ยวค้างคืนหลายวันจะคุ้มกว่ามาก แต่สุดท้ายแล้วรถยนต์ส่วนตัวไม่สามารถเข้าอุทยานฯ ได้ ต้องจอดด้านนอกแล้วนั่งรถบัส ประมาณ 20-30 นาที หรือนั่งแท็กซี่เข้าไปอยู่ดี
– รถบัส : หากตรงมาจากโตเกียว ให้ไปขึ้นที่สถานีต่างๆ เช่น ชินจูกุ (Shinjuku), โตเกียว (Tokyo) หรือ ชิบูย่า (Shibuya) ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-7 ชั่วโมง
– รถไฟ : ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษอาซึสะ (Azusa) ตรงสถานีชินจูกุ เพื่อไปลง สถานีมัตสึโมโตะ (Matsumoto Station) ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นต่อรถบัสอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที
เห็นข้อมูลและรายละเอียดแน่นๆ จุกๆ ขนาดนี้ อย่าเพิ่งส่ายหัว เพราะไม่อย่างนั้นเพื่อนๆ จะพลาดแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นไปเลยนะ ไปเที่ยวทั้งทีต้องไปให้คุ้ม ก่อนจะมาที่นี่ พี่เห็ดแนะนำให้เพื่อนๆ วางแผนการเดินทางให้ดี เช็คตารางรถให้ชัวร์ เช็คสภาพอากาศให้ละเอียดถี่ถ้วน เตรียมพร้อมทุกอย่างให้เป๊ะแล้วออกเดินทางกัน หรือถ้าไม่อยากยุ่งยากเรื่องการเดินทาง ก็สามารถเลือกจองโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น จากเมืองไทยที่มีพาไปคามิโคจิ ก็ได้ไปเที่ยวแบบสบายๆ มีรถพาไปเที่ยวทุกสถานที่พร้อมไกด์ตลอดทั้งทริป การได้นั่งพักชมวิวริมแม่น้ำใสๆ มองเห็นเทือกเขาสูงเป็นฉากหลัง โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินป่าก็หายเป็นปลิดทิ้ง บอกได้เลยว่าคุ้มค่าแก่การมาจริงๆ