Kansai The Series – NachiSan / WAKAYAMA – ออกตามหาเจดีย์สีแดงริมน้ำตกในไอหมอก
สวัสดีครับ
วันนี้ ซันนี่อ้วนพีตูดใหญ่ คนเดิม จะพาทุกคน มาญี่ปุ่น ออกจากเมืองใหญ่ใน Kansai ไปตามหา Landmark ในฝัน ที่ใครหลายๆคน ถ้าหลงรักญี่ปุ่นเข้าแล้วจะต้องอยากไปที่นี่สักครั้งให้ได้
ภาพของเจดีย์สีแดง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหุบเขา ห้อมล้อมไปด้วยไอหมอกคลออยู่ในอากาศ มีฉากหลังเป็นน้ำตกสายยาวไหลบ่าลงมาจากโตรกผา เป็นภาพจำติดตา มาตั้งแต่สมัยเห่อญี่ปุ่นแรกๆ ว่าสักครั้งนึง ต้องไปที่นี่ให้ได้ และแล้วโอกาสก็มาถึง คราวที่ได้ไป Kansai ในหน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด ที่จะ มาญี่ปุ่น ชมเจดีย์แดงริมน้ำตกในไอหมอกกับเส้นทางแสวงบุญอันเลื่องชื่อของญี่ปุ่นวันนี้ ซันนี่ จะพาทุกคน ไปเที่ยวเส้นทางแห่งศรัทธาเส้นนี้กัน
” N A C H I S A N ”
จะมัวช้ากันอยู่ทำไม รีบตามตูดใหญ่ๆของซันนี่มาเล้ยยยยยยยย
ปล.ช่วงท้ายของกระทู้ จะพาแว้บไปแวะเที่ยวในตัวเมือง Wakayama แป้บๆ ด้วยนะครับ
การเดินทางไปเจดีย์แดง Nachisan เนี่ย
ถ้าตั้งต้นจาก Osaka จริงๆ สามารถไปเที่ยวแบบ One Day Trip ได้นะครับ แต่ว่าตื่นเช้า + วิ่งกันหัวหกก้นขวิดเลย แถมยังต้องรีบทำเวลาเผื่อรถไฟขากลับด้วย เพราะใช้เวลาเดินทางจากสถานี Tennoji ที่ Osaka ไปเมือง Kii-Katsuura ที่ตั้งของ Nachisan เกือบ 4 ชั่วโมงเลย ซันนี่เลยเลือกวิธีไปนอนค้างที่เมือง Kii-Katsuura ก่อน 1 คืน เพื่อเช้าอีกวัน จะได้ไม่ต้องรีบเร่งทำเวลาแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาก
เหมือนที่บอกไปข้างต้นครับ ถ้าออกเดินทางจากสถานี Tennoji ถ้าจะ Search ใน Hyperdia
ให้ Seach การเดินทาง ต้นทางเป็น Tennoji ปลายทางเป็น Kiikatsuura ครับ
รถไฟที่ยิงตรงจาก Tennoji เลย จะเป็นขบวน Kuroshio ไม่ต้องแวะเปลี่ยนสถานี
ขบวนแรก ออกประมาณ 7 โมงกว่าๆ ถ้าอยากไปชิลๆ ที่ Kii-Katsuura เร็วหน่อย ก็จับขบวนนี้ไปเลย
แต่ถ้าเป็นประเภทแม่สายบัว ชอบนอนตื่นสาย แบบซันนี่
ก็รอขบวนถัดไป รอบ 9 โมงกว่าๆ ก็ได้ ไปถึง Kii-Katsuura ประมาณบ่ายโมง
ระหว่างทาง เกือบ 4 ชั่วโมง มีวิวสวยๆ ให้ดูตลอด ทั้ง 2 ฝั่ง
ตั้งแต่วิวบ้านเรือน ภูเขา นาข้าว ทุ่งหญ้า ไปจนถึงวิวชายฝั่งทะเลเลย
รถไฟบางขบวน มีตู้แบบหน้าต่าง Wide View ด้วย
นั่งจิบน้ำชาขวดตู้กดไป ชมวิว 2 ข้างทางไป ไม่เบื่อเลยครับ
ช่วงเวลา เกือบ 4 ชั่วโมง ก็เพลินๆ ดี มีแอบหลับบ้าง
แต่พอตื่นมา เจอวิวสวยๆ ก็ตื่นตาตื่นใจ หายง่วงอยู่
หลังการเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมง
เราก็มาถึงเมือง Kii-Katsuura กันครับ
เป็นเมืองเล็กๆ ชิมชายฝั่งทะเลตะวันออก ของญี่ปุ่น
ที่นี่ เป็นเมืองเล็กมากกกกกกกกกกกก เงียบมากกกกกกก
ตอนไปถึง เป็นช่วงบ่ายวันธรรมดา คนน้อยมากกกกกกกกก
ร้านรวงปิดหมด 5555 จากสถานีรถไฟเดินไปที่พัก คือเงียบมากกก
รถยนต์วิ่งไปมานี่ แทบจะนับคันได้ 5555
ใครเบื่อแสงสี need ความเงียบ ชีวิตเรียบง่าย แนะนำมาที่นี่เลย 555
พูดถึงที่พัก ตอนนั้น จองโรงแรม Hotel Charmant ผ่าน Agoda ไป
ราคาไม่แพงมาก เหมาะกับเอาไปซุกหัวนอนแบบสั้นๆ คืนนึง
โรงแรมสะอาดดี แอบน่ารักด้วย อยู่ใกล้สถานีรถไฟ KiiKatsuura มากๆด้วยครับ
เดินทางสถานี มาที่โรงแรม แค่ 3 นาทีเอง ใกล้มากกกก (เพราะเมืองมันเล็กด้วยแหละ)
ห้องพัก ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบดีนะ
น้ำอุ่น อ่างน้ำ ชักโครกมี wash let ด้วย เตียงก็ตามมาตรฐาน
ห้องไม่แคบมาก ไม่เหมือนโรงแรมในเมือง
ตอนเช้ามีอาหารเช้าให้ด้วยแหละ
ถ้ามาแบบค้างคืน ก็ไปพักโรงแรมที่ซันนี่พักไปก็ได้นะ สะดวกดีอ่ะ
เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็ยืนจักรยานของโรงแรม (ยืมฟรีด้วยยยยย)
ออกมาปั่นสำรวจเมืองเล็กๆ KiiKatsuura กันหน่อย
ใน Kansai ที่นี่ ขึ้นชื่อเรื่องเมืองที่การจับปลาทูน่ามากุโระมากๆ
มีตลาดปลาที่จะชำแหละเนื้อมากุโระกันทุกๆเช้าตรู่ด้วย
(แน่นอนว่า ซันนี่ไม่ตื่นมาดูจ้าาาาาา)
นอกจากปลามากุโระแล้ว เมืองเล็กๆเมืองนี้ ยังมีแหล่ง Onsen ธรรมชาติด้วยนะ
ตามเกาะแก่งเล็กๆ ที่รายล้อมเมืองอยู่ ถึงได้มีรีสอร์ทเรียวกังไฮโซผุดขึ้นมาเยอะเลย
แต่เราไม่ได้มีจุดหมายหลักที่การแช่ออนเซน เรามาที่นี่เพื่อเจดีย์แดง
เพราะงั้น เราเชิดใส่รีสอร์ทแพงๆพวกนั้นจ้าาาาา (จริงๆ เชิดใส่เพราะมันแพง ไม่มีตังมากกว่า 555)
ระดับซันนี่ คราวนี้เลยแค่เอาเท้าจุ่มๆ ออนเซนฟรีหน้าตลาดปลา ก็พอละ 5555
หลังจากแช่เท้าบวมๆไปแล้ว ก็มาปั่นๆจักรยานกันต่อ
ลัดเลาะไปตามถนนซอกซอยเส้นเล็กๆ จนไปโผล่ที่อีกฝั่งนึง
เป็นย่านโรงแรมราคาแพงริมทะเล มีกิจกรรมทางน้ำให้เล่นด้วย
เห็นวิวชายหาด Nachi Beach อยู่ไกลๆ พร้อมกับภูเขา Nachisan ที่ตั้งตระหง่านอยู่
ด้วยความที่เมือง Kii-Katsuura เนี่ย มันเล็กมากกกกกกก
ปั่นจักรยานสำรวจแค่แป็บๆ ก็รอบเมืองแล้ว ไม่มีไรทำอ่ะ 555
ระหว่างที่นั่งรถไฟมา Kii-Katsuura ก็นึกได้ว่า
เออ ตอนผ่านเมือง Kushimoto มันมีวิวทะเลสวยๆ
ที่มี Landscape เป็นหินรูปทรงแปลกๆนี่หว่า
แค่ 40 นาที จาก Kii-Katsuura เองด้วย
แล้วเราใช้ JR Kansai Wide Area Pass จะนั่งรถไฟกี่รอบ ก็ไม่เสียเงินเพิ่มแล้ว
เลยใช้สิทธิ์บุฟเฟต์รถไฟ นั่งไปเที่ยว Kushimoto ซะเลย
40 นาที แป็บๆ ก็ถึงแล้ว ลงมาขอข้อมูลที่ Tourist Information
ก็ถึงบางอ้อว่า หินที่เห็นสวยๆ เรียงรายไปตามชายหาด เรียกว่า ” Hashigui-iwa Rock ”
อยู่ใกล้ๆ กับ Kushimoto Beach ชายหาดตากอากาศของคนท้องถิ่นเค้า
จริงๆสามารถนั่งรถเมล์จากหน้า Tourist Information Center ไปได้
แต่ดูทรงแล้ว นานๆ รถเมล์จะมาที ขืนยืนรอไป ก็น่าจะมืดพอดี 555
เลยจับแท็กซี่คุณลุงใจดี ไปส่งที่ Kushimoto Beach ก่อน
ราคาก็ไม่แพงมาก 600 เยนเอง หารกันกับน้อง ก็ตกคนละ 300 เยนเอง
เลยโดดขึ้นแท็กซี่กันแบบไม่คิดมาก
นั่งแท็กซี่มาไม่กี่นาที ก็ถึงชายหาด Kushimoto Beach ครับ
เงียบสงบดี ไม่วุ่นวาย น้ำทะเลก็สงบๆ คลื่นไม่แรง
มีคนญี่ปุ่นมาเล่นน้ำ พักผ่อนกันประปราย
ทะเลหน้าร้อนวันฟ้าใสฝนไม่ตก สะท้อนสีฟ้าใสๆ ของท้องฟ้า
มีฉากหลังเป็นเกาะแก่งและสะพาน Kushimoto สีขาวทรงครึ่งวงกลม
ก็เป็นทิวทัศน์ที่สวยสบายตาดีเหมือนกันนะ
จากหาด Kushimoto จะมีทางเดินเลียบหาดให้เดินเล่นไปเรื่อยๆ
ผ่านท่าเรือ สะพานปลา บรรยากาศเงียบสงบเหมือนเคย
โซนนี้คือแบบ เงียบกันทุกเมือง ดีที่กลางวันสว่างดี
ถ้ามืดๆ ครึ้มๆ นี่ก็จะแอบขนลุกเป็นระยะๆอยู่นะ 555
เดินเล่นเพลินๆ แป้บๆ ก็ถึง ” Hashigui-iwa Rock ” กัน
หินรูปทรงแปลกประหลาดริมชายหาด มีตำนานเม้าท์มอยกันมา
ด้วยลักษณะที่หินเล็กหินน้อย เรียงตัวกันคล้ายสะพานยาวลงไปในทะเล
ตามตำนานเค้าก็เม้าท์มอยกันมาว่า พระ Kobodaishi พระญี่ปุ่นในตำนาน
ถูกเทพญี่ปุ่นสักองค์ ท้าทายให้สร้างสะพานข้ามทะเล (ท้าทำไม ก็ไม่มีบอกในประวัตินะ)
และพระ Kobodaishi ก็สามารถสร้างสะพานหินนี้ได้ ภายในชั่วข้ามคืน (แต่ไม่ยักเล่าแฮะ ว่าทำไงสร้าง 555)
จะว่าไป ก็คล้ายๆ พวกตำนานนิทานพื้นบ้านอีสาน
ที่มีการพนันให้สร้างสะพานเงินสะพานทอง สร้างหอคอยทองคำให้เสร็จในชั่วข้ามคืน อะไรทำนองนั้นเลยเนอะ
(เรื่องอะไรนะ … จำไม่ได้แล้วอ่ะ )
แต่ก็นั่นแหละ จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่
จะจากอิทธิฤทธิ์ครูบา Kobodaishi ผู้พิชิต
หรือจะจากการกัดหร่อนของคลื่นทะเลและคลื่นลมก็ตาม
เราก็ได้ ” Hashigui-iwa Rock ” รูปทรงแปลกตา
มาสร้างทัศนียภาพเก๋ๆ ริมหาด อวดสายตาผู้คน
ทั้งจากบนถนน และบนทางรถไฟที่เห็นได้แต่ไกลเลย
เดินเล่นมาจนถึงจุดใกล้ๆ หิน ” Hashigui-iwa Rock ” กันแบบจริงจัง
ก็เริ่มไม่เหงาละ เริ่มมีผู้คนท้องถิ่น มาเดินเล่น กินลม ชมวิว พักผ่อนกันเยอะขึ้น
ขนก็ไม่ลุกละ 5555
ช่วงที่น้ำทะเลลด ก็จะมีเด็กๆ ลงไปวิ่งไล่จับปูลม
แดดที่อ่อนลง ไม่จ้าเท่ากับช่วงบ่าย แอ่งน้ำเล็กน้อยทั่วชายหาด
สะท้อนเงาหิน ” Hashigui-iwa Rock ” ก็ดูสวยแปลกตาดีเหมือนกัน
ถ้ามองย้อนกลับไป ก็จะเห็นวิวทะเลและสะพาน Kushimoto เป็นฉากหลักอยู่ไกลๆด้วย
ตรง Tourist Center ของ ” Hashigui-iwa Rock ” มีร้านขายของด้วย
ก็เลยแวะซื้อ Softcream รสนม มากินดับร้อนสักหน่อย
ซอฟต์ครีมหวานเย็นชื่นใจ ในวันอากาศร้อนอบอ้าวเนี่ย
มันฟินจริงอะไรจริงเลยนะ 5555
หลังจากไปเที่ยว Kushimoto แบบพอหอมปากหอมคอ
ก็นั่งรถไฟกลับ KiiKatsuura กัน กลับไปถึงก็เริ่มโพล้เพล้ละ
ช่วงตอนเย็นแบบนี้ ก็ต้องหาอะไรกินให้อุ่นท้องดีกว่า
และแน่นอนว่า มา KiiKatsuura แห่งภูมิภาค Kansai แล้วทั้งที
ถ้าไม่กินปลา Maguro ของขึ้นชื่อที่นี่แล้ว
คงจะต้องเอาปิ๊บคลุมหัว กลับไปบอกใครก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปาก
ด้วยความอินดี้ ถ้าจะหาร้านกิน ก็ต้องเป็นร้าน Local
จะได้ชิมรสชาติแบบญี่ปุ่นที่แท้จริง (คราวร้านที่ Osaka ยังไม่เข็ด 55)
ก็เลยไปเจอร้านเล็กๆ มีความบ้านๆ เก่าแก่ ร้านนึง
ก็เลยตกลงปลงใจเลือกร้านนี้แหละ ไว้ฝากท้องมื้อเย็น
ถ้าเดินมาจากสถานี JR Kiikatsuura
ให้เดินตามถนนสายหลัก ตรงมาจนเจอทะเล
ให้เลี้ยวซ้าย เดินไปอีก 2 บล็อคใหญ่ ทางขวามือจะเป็นท่าเรือโรงแรมไฮโซ Urashima
ทางซ้ายจะมีถนนอีกเส้น ให้เลี้ยวซ้ายเลย ร้านจะอยู่บล็อคแรกของถนน ทางซ้ายมือเลยครับ
ตรงข้ามจะเป็นเหมือนโซนโล่งๆกว้างๆ ของชุมชน
หน้าร้าน หน้าตาแบบนี้เลย ชื่อร้าน ” OGAWA “ ครับ
เข้ามาในร้าน แน่นอนว่า ต้องสั่ง Set Maguro Sashimi มากิน
ปลาชิ้นใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกก มากแบบกัดจมฟัน (ภาษาเมือง เปิ้นอู้ว่า จุบเขี้ยว 555)
ปลาสด หวาน ไม่คาวเลยสักนิด รสอูมามิธรรมชาติมากกกกกกกก
มีความเนื้อเด้งสู้ฟัน ไม่เหนียว ไม่เละ ไม่แห้งแข็ง
คือความดีงามแห่ง Maguro จริงๆ ยอมใจเลยแหละ
อีกเซ็ต ของน้องสั่ง ข้าวหน้า Maguro คลุกซอส
แอบชิม ก็อร่อยดี ซอสรสเปรี้ยวๆเค็มๆ ช่วยดึงรสหวานของ Maguro ให้เด่นขึ้นมาอีก
โรยสาหร่ายและงาขาว เพิ่มกลิ่นหอมๆ และรสสัมผัสกรุบๆ ไปอีก
พออร่อยมากๆ เลยสั่งอีกจาน มาแบ่งกันกับน้อง
เป็น Maguro Steak กริลล์มาแบบพอสะดุ้ง
เนื้อข้างนอกสุกพอดี เหมือนเนื้ออกไก่ต้ม
ส่วนข้างใน ยังมีความสด เนื้อเด้ง และสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Maguro อยู่ครบ
ราดซอสแบบญี่ปุ่นๆ ที่รสเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มๆ
มีหัวไชเท้าฝนเป็นอนูเล็กๆ มาในซอสด้วย
อะไรๆ ก็อร่อยไปหมดเลยง่าาาาาาาา
กินคาวเสร็จ ก็ต้องกินของหวานล้างปาก
หน้าโรงแรม Hotel Charmant มีคาเฟ่เล็กๆ เท่ๆ เรียบๆ
สไตล์แบบ Cozy Minimal มากๆ
(งงมั้ย ร้านแบบเรียบๆ minimal แต่มันมีบรรยากาศอบอุ่นๆ ในร้านแบบบอกไม่ถูก 555)
ชื่อร้าน ” A MA A I ” อยู่ตรงข้ามกับหน้าโรงแรม Charmant เลยครับ
ซันนี่สั่งน้ำเกรปฟรุตมาจิบให้ชื่นใจ ส่วนน้องสั่งช็อกโกแล็ตร้อน
ขนมก็สั่งทีรามิสุ กับสโคนเนยสดมากิน
ทีรามิสุอร่อยมาก หอมเหล้ามาก มาสคาโปเน่ครีมมาแบบไม่กั๊ก
ส่วนสโคน ก็อบมากำลังดี มีความเหนียวนิดๆ ไม่ร่วนมาก (ชอบสโคนเนื้อแบบนี้อ่ะ ไม่ชอบสโคนร่วนๆ)
คือมีความฟินแบบที่คาดไม่ถึง ว่าจะได้รับในเมืองเงียบๆ เล็กๆ แบบนี้
กินอิ่มท้อง นอนหลับสบายแล้ว ก็ได้เวลาตื่นมาเตรียมตัวไปตามหาคุณเจดีย์แดงกันซักที
(กว่าจะได้ไปน้อ ….. กินจนตัวจะแตกแล้วน้อออ 5555)
ก่อนไป ก็ซัดอาหารเช้าโรงแรมเอาแรงไว้ก่อนเลย
เป็นเซ็ตอาหารเช้าเล็กๆ น่ารักๆ มีขนมปัง ไข่ต้ม สลัด โยเกิร์ต
ปิดท้ายด้วยไอติมที่ทำแพกเกจน่ารักเป็นซองเล็กๆ แบบลูกอมด้วย
และแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปตามหาเจดีย์แดงกันครับ
จากเมือง KiiKatsuura เราจะขึ้นรถบัสกันที่สถานีรถบัส Katsuura Station
อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ JR KiiKatsuura เลย
ตารางเวลาขาไป และขากลับ สำหรับฤดูร้อน ตามนี้เลยครับ
(แอบเลอะๆ เยินๆหน่อย เพราะตอนไปเปียกฝนนิดนึงครับ 555)
ที่ระบายสีชมพู คือสถานี Katsuura Station ครับ
สีเขียว คือสถานี Daimon Zaka เป็นทางเข้าป่าสน 800 ปีที่จะเดินขึ้นไปถึงวัดบนเขาครับ
ส่วนสีฟ้า คือสถานี Nachi No Taki Mae ครับ เป็นสถานีบริเวณหน้าทางเข้าน้ำตก Nachi ครับ
ลองเช็คตารางเวลารถ ทั้งขาไปและขากลับดีๆนะครับ จะได้วางแผนเลือกเวลารถไฟขากลับไป Osaka ไว้เผื่อด้วย
ปล. เวลาอาจมีเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกลาลและช่วงเวลาแต่ละช่วง
ยังไงเอาไว้เทียบดูเวลาวางแผนคร่าวๆ พอไปถึงจริง เผื่อเอาไว้กะเวลากลับได้ไม่กระชั้นนะครับ
(จะได้ไม่เหมือนซันนี่ ที่มีเรื่องราวตกรถบัส 555 เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะ 555)
จากสถานี Katsuura ไปถึงสถานี Daimon Zaka
ใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 20 นาทีครับ
ไปถึง ก็จะเจอถนนและทางเข้าแบบนี้ แสดงว่ามาถูกแล้วครับ
ภูเขา Nachi san ในฤดูร้อน เขียวชอุ่ม ปกคลุมด้วยต้นไม้หนาทึบไปทั้งภูเขาเลยครับ
ดูร่มรื่น ออกไปทางครึ้มๆ น่าเกรงขามไปในตัว (พร้อมกับอากาศที่ครึ้มๆ มาเรื่อยๆด้วย 555)
ตลอดทางเดิน มีต้นไม้ดอกไม้เล็กๆน้อยๆ ให้ได้ดูเพลินๆ ไปเรื่อยๆครับ
เดินตามถนนมาแป็บๆ ก็จะเจอทางเข้าป่าสน อายุกว่า 800 ปี
ต้นสูงใหญ่น่าเกรงขาม มีความครึ้ม ร่มรื่น แต่ก็อบอ้าวไปในตัว 5555
ประมาณว่า ไม่มีแดดก็จริง แต่เหงื่อแตกพลั่กๆอ่ะ 55555
เดินไต่บันไดในป่าศักดิ์สิทธิ์อันร้อนอบอ้าวจนหอบแฮ่ก
เพิ่งจะถึงครึ่งทาง 555555
แต่การแสวงบุญ ต้องมีอุปสรรคมาทดสอบพลังแห่งศรัทธา 5555
ฝนตกจ้าาาาาาาาาาาาาาาา ไม่ได้พกร่มมาด้วย เพราะคิดว่าแบกร่มอีก เหนื่อยแน่ๆ
แต่เชื่อมั้ยว่า ฝนตกหนักมากๆ แต่ไม่เปียกเลย
เพราะต้นไม้ใหญ่ บังฝนให้หมดเลย มีแค่หยดลงมาเปาะๆ แปะๆ บนหัวนิดหน่อย
แต่ไม่ได้เปียกซ่กอย่างที่ควรจะเป็นเลย
รออะไรล่ะ สาธุสิครับ 5555
(แหม …. ก็ใบไม้หนาขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ตกหนักขนาดพายุเข้า ยังไงน้ำฝนมันไม่ไม่หยดลงมาหรอกจ้าาาา)
ระหว่างรอฝนหยุด เคยอ่านผ่านๆ
เค้าบอกว่า คนญี่ปุ่น มีความเชื่อกันว่า ถ้าเราได้สัมผัสต้นไม้อายุเก่าแก่
อย่างเช่นต้นสนอายุกว่า 800 ปีในป่านี้
จะเท่ากับเราได้รับพลังงานแห่งชีวิต ที่ต้นไม้สะสมมายาวนาน
แผ่ซ่านผ่านซึมเข้าสู่ร่างกายเรา
ว่าแล้ว … ก็แวะไปสัมผัสต้นไม้แห่งชีวิตกันหน่อย
(จริงๆไม่ใช่อะไร ไปพักพิงเพราะเหนื่อยหอบแฮ่กตะหาก 555)
พักเหนื่อยเวิ่นเว้อเพ้อเจ้อได้ครู่ใหญ่
ก็ได้เวลาออกเดินต่อครับ อีกนิดเดียว ก็จะถึงวัดแล้ว
แต่จิตใจร้อนรุ่มเหลือเกิน เพราะที่เดินนำหน้า มากันเป็นคู่ๆ
ทดสอบจิตใจไม่ให้อิจฉาริษยาดีเหลือเกิน 5555
และในที่สุด ก็เดินทะลุป่าสน 800 ปี
มาถึงเชิงเขาก่อนถึงวัดสักทีครับ
แต่โอ้…อนิจจา พอพ้นเขตป่าสนมาได้
ฝนเจ้ากรรมก็เหมือนรอคอยโอกาส ตกลงมาหนักมาก ถึงมากที่สุด
จนไปไหนไม่ได้ ติดแหง่กอยู่ที่ร้านขายของที่ระลึก
ติดฝนอยู่นานเกือบ 40 นาทีเลย กว่าฝนจะซา
พอฝนซา ก็รีบออกเดินกันต่อครับ
อีกนิดเดียวก็จะถึงวัดแล้ว
เดินๆไปซักพัก เริ่มเห็นน้ำตก Nachi แล้วครับ
น้ำตก Nachi เป็นน้ำตกสูง 133 เมตร ถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
ผู้คนให้ความเคารพว่าเป็นน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ มาตั้งแต่ก่อนการก่อสร้างเจดีย์และวัด
เพราะความสูง และพลังของสายน้ำที่ถั่งโถมลงมาจากโตรกผาในทุกๆฤดูนี่เอง
จากมุมมองที่เห็นน้ำตก Nachi เดินมาอีกนิด ก็จะเริ่มเห็นเจดีย์แดงแล้วครับ
แต่ว่ายังไม่ใช่มุมในฝันที่เราตามหา เพราะยังเห็นแค่เจดีย์อย่างเดียว ไม่มีน้ำตกมาคู่อ่ะ
และแล้วววววว เราก็เดินทางมาถึงทางเข้าวัดอย่างเป็นทางการแล้วครับ 5555
ก่อนถึงวัด ก็ต้องผ่านศาลเจ้าก่อน ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่นครับ
ที่มักจะมีศาลเจ้าอยู่คู่กับวัดตลอดๆ
ศาลเจ้า Kumano Nachi Grand Shrune
เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ อายุกว่า 800 ปี
ถัดจากศาลเจ้า Kumano Nachi Grand Shrine
เดินทะลุเข้าไป ก็จะเจอวัด Seigantoji ครับ
วัดนี้นี่แหละ ที่เราตามหา เพื่อจะมายลโฉมเจดีย์แดง เคียงคู่น้ำตก Nachi กัน
ฝนตกปรอยๆตลอดทาง ไม่ใช่ปัญหาสำหรับความไฟท์เลยครับ
เดินผ่านมาทางด้านหลังของวัด ก็ได้เจอเจดีย์แดงอยุ่คู่กับน้ำตกแล้ววว !!!!
เจดีย์สีแดง คลอเคล้าเหย้าหยอกกับไอหมอกในอากาศ
มีน้ำตกสูง Nachi อยู่เป็นฉากหลัง OMGGGGGG ฉันมาถึงแล้ววววว !!!!
แต่ !!!!!!!!!!!! เอ๊ะๆๆๆๆๆ !!!!!
ในรูปที่เค้าโปรโมท ที่เค้าถ่ายมากัน มันไม่ใช่มุมนี้นี่นา !!!!!!!!!!!!!
แกร๊ !!!!!!!!!!!!!!!!!!! เค้าถ่ายจากตรงไหนก๊านนนนนนนนน !!!!!!!!!!!!!
เหลือบไปทางขวา เห้ย มีอาคาร เหมือนจะเป็นอาคารสูงๆ แต่ทางเข้าปิดอยู่
เห้ยยยย หรือว่าเค้าจะถ่ายจากในอาคารนี้กันอ่ะ โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย
แล้วทำไมต้องมาปิดวันนี้ว๊าาาาาาาาาาาาาา โอ๊ยยย คือนอยด์มากกกก
กะฟัดกะเฟียด อุตส่าห์นั่งรถไฟ 4 ชั่วโมง มานอนค้างตั้งคืนนึง
แต่ไม่ได้มุมที่ใฝ่ฝันอ่าแกร๊ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฮืออออออออออออออออออ
แต่ด้วยความไฟท์ ด้วยความมั่นใจในสัญชาตญาณ
มันบอกว่า มันมีอีกที่ มันไม่ใช่อิอาคารที่ปิดนี้ ถึงจะถ่ายได้
มันต้องมีอีกจุดนึง ที่คนเค้าถ่ายกันมาได้ และเราก็ต้องได้ 5555
ตอนนั้นเหมือนคนบ้าเลยอ่ะ คือแบบ เดินเป็นหนูติดจั่น
วกขึ้นวกลง หามุมเพื่อจะถ่ายรูปเจดีย์แดง กับน้ำตกให้ได้แบบใกล้ๆ
คือเหมือนผีบ้าผีบอ ไม่รู้จักปล่อยวาง แล้วแบบฝนก็ตกหนักเรื่อย
แต่ก็ไฟท์ ซื้อร่มมากาง ไล่เดินไปมาหามุม
จนแล้ว จนรอด ก็หาไม่ได้ ว่าเค้าไปถ่ายกันตรงไหน
สุดท้ายก็ยอมแพ้ ต้องปล่อยวาง ทำใจ ร้องไห้ในใจเบาๆ
คุยกับน้องว่า เดี๋ยวถ้าฝนซา ก็เดินลงกลับไปทางน้ำตก รอขึ้นรถกลับแล้วกัน
ฟีลแบบ หดหู่ห่อเหี่ยวมาก 5555
พอฝนหยุด ก็ได้เวลาทำใจ เดินวนไปทางออกที่จะลงไปน้ำตก
มีทางลงไปดูเจดีย์ใกล้ๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยแวะเดินไป ไหว้ลาก่อนกลับอะไรงี้
ไม่รู้อะไรดลใจ ตรงทางเดินลงไป มันเป็นมุมที่เจดีย์อยู่คู่กับน้ำตกพอดี
แต่ยังไม่ได้องศาแบบที่คนอื่นเค้าถ่ายกันอ่ะนะ แต่ก็แบบ เห้ย..บังเกิดไอเดีย
แล้วใกล้ๆทางเดินลง มีวิหารรองอีกวิหาร อยู่เยื้องๆกับทางลง
แต่ต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย ประมาณว่าแล้วขวา แล้วขึ้นไปอีกนิด
พอไปหยุดตรงหัวมุมหน้าวิหารรอง แล้วหันกลับมาดูเจดีย์
เห้ยยยยยยยยยยยยยย มันคือใช่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!!!!
นี่แหละ คือมุมที่ตามหา รอคอยมาหลายปีดีดัก ไฟท์นั่งรถไฟมา 4 ชั่วโมง
นอนในเมืองเงียบๆ ไร้แสงสี เดินตากฝนเหงื่อแตกหอบแฮ่กขึ้นเขามา
คือมันคุ้มค่าแก่การมามากกกกกกกกกกกกกก แค่มุมนี้มุมเดียวนี่แหละ
ในแผนที่ จุดที่วงแดงๆ คือวิหารรอง ที่ไปยืนถ่ายรูปเจดีย์แดงกับน้ำตกนะครับ
ถ้ายังไม่ได้ไป อาจจะงงๆ แต่พอไปถึงที่นู่นแล้ว เดินไปตามทาง พร้อมๆกับดูแผนที่
รับรองว่าจะเก็ตแน่นอน ว่าอ๋อ………………. ตรงนี้นี่เองงงงงงงงงงงงงงง
แล้ว Moment นั้นคือ ฝนหยุดตกใหม่ๆ ไอน้ำลอยเป็นละอองทั่วอากาศ
เจดีย์แดง 3 ชั้นของวัด Seigantoji ตั้งตระหง่าน เป็นสง่า มีน้ำตก Nachi ที่ยิ่งใหญ่
สาดสายโตรกลงมาเป็นฉากหลังแบบน่าเกรงขาม
Right Place in a Right Time มากๆเลยครับ
มันตะลัง นิ่งงัน ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยาย
ภาพที่ตาเห็นมันหยุดทุกอย่างไว้ตรงนั้นหมด
ต้องแบบหายใจเข้าออกลึกๆ เก็บภาพที่เห็นกับตาตรงหน้าไว้
ให้จำได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถึงค่อยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายอ่ะ
ฮืออออออออออออออ ….
ทุกๆวินาทีตรงนั้น คือแบบสวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไงครับ
มันสวย ขลัง ดูลึกลับ ศักดิ์สิทธิ์ ขนลุก ทรงพลัง จนไม่รู้จะบรรยายยังไง
ทุกๆครั้งที่ลมพัดไอน้ำลอยผ่านหน้าและผ่านเจดีย์ไป ให้มุมมองที่เปลี่ยนไปตลอด
มันตื้อๆ ตื้นตัน จนทำอะไรไม่ถูกเลยอ่ะ
(เว่อร์มะ 5555 แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆเลยนะ)
ยืนดื่มด่ำบรรยากาศ จนสาแก่ใจแล้ว
ฝนซาแล้ว ได้เวลากลับครับ เดี๋ยวจะไม่ทันรถบัส
แต่ความบันเทิง ยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ 55555
เพราะด้วยความเวิ่นเว้อ ทำให้เดินหลง หาทางลงไปหน้าน้ำตกไม่เจอ 555
เดินหลงวกไปวนมา จนแบบกว่าจะไปเจอสถานี Nachi No Taki Mae ก็แบบ ไม่ทันรถบัสแล้ว
ตอนนั้นคือนอยด์มากกกก (อีกรอบ) เพราะถ้าไม่ไปรถรอบนี้ ก็ต้องรอรถอีกแบบเกือบชั่วโมง
แล้ว point คือ มันจะไม่ทันรถไฟเข้า Osaka อ่าดิ ต้องรอไปถึงทุ่มกว่าเลย
ตอนนั้นก็แบบ เดินวนอีก เอาไงดี 555 ไปถามลุงๆ ร้านขายของแถวนั้น
ลุงก็บอกไม่รู้จะช่วยยังไง จะเรียกแท็กซี่ ลุงก็เบรก บอกว่ามันแพงมาก เกือบ 3000 เยนเลย
(เออ .. แพง พับโปรเจ็กต์การนั่งแท็กซี่ไป 555)
จนสุดท้าย เอาวะ ตัดสินใจ ด้านได้ อายอด
เจอคู่รักคน ญี่ปุ่น 2 คนเดินมา หน้าตาเป็นมิตร
เดินไปทางที่จอดรถ เห้ย … เค้าขับรถมากัน 555
อินี่พุ่งเลยจ้าาาาา เข้าชาร์จทันที (ไม่ได้จะปล้นนนนน !!!!)
เกริ่นสารพัด หว่านล้อมทุกวิธี อ้อนวอนด้วยหน้าตาน่าสงสาร 555
ว่าเนี่ย ถ้าไม่ทันรถไฟเข้า Osaka รอบนี้ มันจะมืดมาก แล้วก็ไม่เคยมาแถวนี้ก่อน
คือทำท่า agitate มาก เดือดร้อนมาก จน 2 คู่รักมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า
ให้ซันนี่กับน้อง ติดรถไปลงที่สถานี KiiKatsuura เย้ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
พอขึ้นรถได้ รายการสัมภาษณ์ ก็มา
ผู้หญิงชื่อ Risa ส่วนผู้ชาย … เอ่อ … เราตื่นเต้นจนลืมจดชื่อเค้ามาอ่ะ 555
มาจาก Aichi เห้ย …. Aichi คนละทางกับที่มาส่งเรานี่นา
ก็แบบ เห้ย …. ทำไมเป็นคนดีงี้อ่ะ เค้าลงทุนซิ่งรถมาส่งเราอีกทางเลย
จริงๆ ถ้าเค้าบอกว่า คนละทางก็ได้ แต่แบบ เค้ามีน้ำใจมาส่งอ่ะ ฮืออออ
กราบน้ำใจชาวญี่ปุ่นจริงๆ 5555
พอมาถึงสถานี KiiKatsuura เห้ยยยย เซอไพรส์ 2 คือ มาเร็วมาก ขับมา 10 นาทีได้
เหลือเวลาอีกแบบ เกือบ 40 นาทีอ่ะ ดีใจมากกกกกกก จับไม้จับมือขอบคุณเค้ากันใหญ่
น้องก็ขอแลกไลน์กับเค้า ร่ำลา ขอบคุณกัน นี่ก็ไปหาข้าวกินรอรถไฟ
นั่งกินไปๆมาๆ เห้ย นึกได้ว่าลืมร่มไว้ในรถ Risa !!!!
ตอนนั้นก็แบบ เออ เกรงใจเค้า ช่างเหอะ ถือว่าให้ร่มแทนคำขอบคุณละกัน 555
ปรากฏว่า Risa ทัก line น้องมาจ่าาาาาาาาา
บอกว่า u forgot umbrella แล้วขับรถวนมาหาที่หน้า สถานี KiiKatsuura อีกรอบ
โอ๊ยยยยย คือแบบ ซาบซึ้งใจนางมากเลยอ่ะ ทำไมเป็นคนดีแบบนี้ ฮืออออ…
กราบใจนางเลย ขอถ่ายรูปก่อนจากกันสักนิสนึง
เป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ของญี่ปุ่นเลยนะ
ว่าด้วยเรื่องกินก่อนกลับ
ตอนรอรถไฟ ก็แวะกินข้าวหน้ามากุโระ ร้าน ” YAMAGA ”
เป็นร้านหน้าสถานีรถไฟ JR KiiKatsuura เลย
คุณลุง Yamaga เจ้าของร้าน อารมณ์ดีมาก
แวะเดินมาทักทายตลอด มีถามด้วยว่ามาจากไหน
พอบอกว่ามาจากไทย ลุงก็โชว์ skill นับเลข หนึ่ง สอง สาม ถึง สิบเลยจ้า
เฮฮามากๆ
ส่วนข้าวเนี่ย สั่งข้าวหน้ามากุโระ กับหมึกสด และอิคุระ มา
เรื่องความตู้ม ชิ้นใหญ่เนี่ย คงต้องยอมแพ้ร้าน Ogawa มะวาน
แต่ความสด ก็ไม่ทิ้งกัน ใช้ได้อยู่ ถือว่าไม่น่าเกลียด
เป็นร้านเอาไว้กินรอขึ้นรถไฟ ก็ไม่ขี้เหร่แหละ
ในที่สุด ก็ได้เวลาออกจาก KiiKatsuura สักที
ประทับใจเมืองเล็กๆ เงียบๆ แต่ผู้คนอัธยาศัยดีที่นี่มากๆ
ระหว่างนั่งรถไฟมา จนถึง Wakayama ก็แบบ เห้ย ยังไม่มืดเท่าไหร่อ่ะ
ก็เลยชวนน้องว่า เออ แวะลงเที่ยว Wakayama ไปหานายสถานีเหมียว Tama กันดีกว่า
พอรถไฟจอด ก็วิ่งออกมาแบบร่าเริงเกินเหตุ
จนรถไฟออกไป ก็แบบ เห้ย เชี้ยละ ! ลืมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในรถไฟ 55555
เสียเวลาต้องไปติดต่อศูนย์ Lost & Found ของ JR
เค้าก็ให้เขียนคำร้อง ระบุสีกระเป๋า ไซส์ และเลขที่นั่งของเราตะกี้
รอเค้าประสานกับพนักงานบนโบกี้ เค้าก็ติดต่อกลับมาว่า เออ .. เจอกระเป๋าแล้วนะ
เดี๋ยวให้เราเอาใบคำร้อง ไปยื่นที่สถานีปลายทาง Shin-Osaka ให้ไปเอากระเป๋าคืนที่นู่น
ตอนที่เรากลับไปถึง Osaka อะไรงี้
ก็เออ …. ดีจังอ่ะ เค้าทำงานกันเป็นระบบดีมาก รู้สึกได้เลย ว่ามีประสิทธิภาพมาก
ขอบคุณพนักงาน JR Wakayama ไปร้อยรอบ 555
แต่กว่าจะประสานอะไรเสร็จ ดูเวลาอีกที
ก็ไม่ทันเวลาไปหาอิหนูเหมียว Tama แล้วอ่ะ
เลยตัดสินใจกันกับน้องว่า เออ เที่ยวใกล้ๆ ในตัวเมือง Wakayama ก่อนก็ได้
เลยตกลงว่า ไปเที่ยวปราสาท Wakayama ก็แล้วกัน
นั่งรถบัสสาย 23 24 25 26 27 สายไหนก็ได้ มาลงที่ป้าย Koen-Mae
แป็บๆก็ถึงแล้ว ลงรถมาพร้อมกับฟ้าครึ้มๆเลย 5555
เค้าว่ากันว่า Wakayama เป็นเมืองแห่งต้นไม้ แห่งภูมิภาค Kansai
เพราะฉะนั้ัน ทั่วทุกมุมเมือง เราจะได้เห็นต้นไม้ใหญ่น้อย
โดยเฉพาะในสวนสาธารณะ Wakayama Park
ที่ล้อมตัวปราสาทไว้ เหมือนอยู่ในป่าย่อมๆเลย
ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขา Torafusu ที่แปลว่า เนินเขาเสือหมอบ
เวลาขึ้ันไปบนตัวปราสาทแล้วมองลงมา จะเห็นทัศนียภาพของเมือง Wakayama
เต็มไปด้วยต้นไม้ สมชื่อเมืองแห่งต้นไม้เลย
ปราสาท Wakayama เดิม สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1585 เป็นปราสาท 3 ชั้น
ต่อมาถูกทำลายลง หลังมาฟ้าผ่า เกิดไฟไหม้ และมาเสียหายซ้ำอีกครั้ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ตัวอาคารที่เราเห็นทุกวันนี้ เป็นอาคารที่บูรณะขึ้นใหม่ เมื่อปี คศ 1958 ครับ
จากมุมมองบนตัวปราสาท
จะได้เห็นวิวเมือง Wakayama แบบ 360 องศาเลย
แต่ไปวันที่ฝนตกปรอยๆ ในปราสาทก็แอบมืดๆ น่ากลัวๆ อยู่เหมือนกันนะ 555
รอจนฝนหยุด ก็ออกจากปราสาท Wakayama
นั่งรถบัสกลับมาตั้งหลักที่สถานี JR Wakayama กันอีกรอบครับ
ที่ Wakayama เค้าบอกว่า มีร้านราเมนแชมป์อันดับ 1 ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เค้าเคลมมาขนาดนี้ จะไม่ไปลอง ก็ดูจะเสียเที่ยว
ไหนๆ ก็มาแล้ว เลยพุ่งไปขอลองหน่อยละกัน
ร้าน ” Ide Shoten” อยู่ไม่ไกลจากสถานี JR Wakayama
ถ้าตั้งต้นที่ JR Wakayama ให้เดินตรงมา
เจอแยกไฟแดงใหญ่ แล้วให้เลี้ยวซ้าย
ตรงไปเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ทางฝั่งขวามือ
เป็นร้านเล็กๆ หน้าร้านประมาณนี้แหละ
บางวันอาจเห็นคนต่อคิวยาวๆ แต่วันที่ไป เป็นช่วงเย็นๆ
หลังจากฝนหยุดตกใหม่ เลยไม่มีคิวเลย ดีมากกกก
เข้ามาในร้าน หิวนิดนึง
เลยแอบกินข้าวปั้นรองท้องไปก่อน 555
กินข้าวปั้นได้แป็บๆ อ้าว ราเมนมาแล้ว 555
ราเมนของร้านนี้ เป็นราเมนทงคตสึ ซุปกระดูกหมูกับโชยุ ครับ
รสชาติออกมาเลย เค็มนำ และมีความหวานของซุปกระดูกหมูตามมา
ว่าด้วยเรื่องเค็ม เออ … มันก็แบบ เค็มแบบ เออ .. เค็มอ่ะ 5555
แต่กินๆ ไป พอลิ้นชิน ก็จะได้รสหวานน้ำกระดูกหมู แซมๆ ขึ้นมา
เส้นราเมนก็นิ่มกำลังดี ไม่เละ ไม่แข็ง
ส่วนหมูชาชู ก็หมักเข้าเนื้อดี กินด้วยกันแล้วกลมกล่อม
และถ้าใครคิดว่า ร้านอันดับ 1 ต้องหรูหราใหญ่โต
บอกเลยว่า ผิดมากกกกกก เพราะร้านเล็กจึ๋งเดียว
โชคดีที่ตอนไป เป็นช่วงหลังฝนตกใหม่ๆ คนไม่เยอะ
ไม่ต้องรอคิวหน้าร้าน แต่ก็เกือบเต็มร้านแล้วล่ะ
ถ้าไปตอนเที่ยง คงต้องรอคิวนานเหมือนกัน
สำหรับกระทู้ตามหาเจดีย์แดง NachiSan
และของแถม Wakayama แบบเบาๆ
คงต้องจบลงเท่านี้ครับ
Wakayama แห่งภูมิภาค Kansai ยังมีที่ให้เที่ยวอีกเยอะมาก
ถ้ามีโอกาส มาญี่ปุ่น รอบหน้า จะกลับไปแก้มือ แก้ตัวอีกรอบแน่นอน
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามมากๆครับ
ไว้ไปเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ
ขอบคุณรีวิวน่ารักๆจาก Guest สุดพิเศษ ที่มามอบประสบการณ์จัดเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย แปะๆๆ !!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩
พูดคุยกับ Guest ได้ที่ : Fb/letsunnytakeyouthere