Mushroom Travel

กินอิ่ม พักสบาย เที่ยวกระจาย โอซาก้า/นารา/โกเบ/เกียวโต รวมทุกอย่าง ไม่เกิน 15,000

ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ เที่ยว คันไซ โอซาก้า เที่ยวชมสวยๆ และสถานที่ยอดฮิต ในราคารวมทุกอย่างแบบไม่เกิน 15,000 บาท จะเป็นยังไง ไปชมกัน!


กินอิ่ม พักสบาย เที่ยวกระจาย โอซาก้า/นารา/โกเบ/เกียวโต รวมทุกอย่าง ไม่เกิน 15,000

ทริปนี้ด้วยความอยากลองไปญี่ปุ่นแบบถูกๆ ก็ต้องมาช่วงหน้าร้อนนี่แหละ ทุกอย่างถูกไปหมดทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทาง หลังจากได้สมาชิกมาช่วยกันแชร์ค่าห้องเรียบร้อยก็พร้อมเดินทางไปเยือน คันไซ โอซาก้า หน้าร้อนกัน

หน้าร้อนของประเทศญี่ปุ่นคือตั้งแต่เดือน มิถุนายน – สิงหาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 35-38 องศา เหมือนอยู่ประเทศไทยเลย แต่จะให้ความรู้สึกอบอ้าวกว่า ข้อดีคือตั๋วถูก ไม่ต้องพกเสื้อผ้าไปเยอะ ไม่มืดเร็วทำให้เที่ยวได้เยอะ กินไอติมแล้วฟินมาก ต้นไม้จะเห็นแต่สีเขียวสดชื่น

แพลนทริป
วันที่ 1 บินไปลงสนามบิน คันไซ โอซาก้า (Kansai) เข้าที่พัก เดินเล่นย่านนัมบะ (Namba)
วันที่ 2 Universal Studio Japan / เดินเล่นโดทงโบริ (Dotonbori)
วันที่ 3 เที่ยวเมืองนารา (Nara) / เมืองโกเบ (Kobe) / เดินเล่นโดทงโบริ (Dotonbori)
วันที่ 4 เที่ยวเมืองเกียวโต (Kyoto)
วันที่ 5 เที่ยวในสนามบินคันไซ นั่งรอบินกลับสนามบินดอนเมือง

คลองโดทงโบริ

ทริปนี้เกิดจากการที่ผมเปิด Facebook ขึ้นมา แล้วเจอกับตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-คันไซ ราคาโปรโมชั่น เที่ยวสบาย 5 วัน 4 คืน (จริงๆ แล้ว 4 วัน 4 คืน เพราะนั่งเครื่องบินเสียเวลาไป 12-13 ชม. ล่ะ) และก็ได้สมาชิกมา 2 คน มาช่วยหารค่าที่พัก ไปช่วงหน้าร้อนนี่แหละ และก็ได้ตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย Direct Flight ไปกลับ 26-30 กรกฎาคม ราคา 3,390 บาท/คน มาอยู่ในมือเรียบร้อย หน้าร้อนญี่ปุ่นมีแต่คนบอก… มันร้อนมากกกก ไปทำไมเนี่ย เที่ยวก็ไม่สนุก แช่ออนเซนก็ไม่ฟิน ใบไม้เปลี่ยนสีก็ไม่มี ซากุระก็ไม่บาน หิมะอย่าได้หวัง จะขึ้นฮอกไกโดเหรอเวลาก็น้อยไปอีกจะหมดไปกับการต่อเครื่องซะเปล่าๆ แหม.. นี่ถ้าน้องอีกคนไม่ติดสอบจะจองยาวกว่านี้เลยให้ตายสิ แต่ไม่เป็นไรหน้าร้อนนี่แหละ ต้องลองไปดูด้วยตัวเองว่ามันจะเป็นอย่างไร

หลังจากผ่านไป 6 ชม. ก็ถึงสนามบิน คันไซ โอซาก้า เรียบร้อย ผมคิดว่าน่าจะทันรถไฟฟ้าเข้าเมืองรอบสุดท้ายน่า ที่ไหนได้พอเห็นแถว ตม. เท่านั้นแหละ คร่าวๆ คือคนเป็นพันๆ คนได้เลยยืนต่อแถวกัน โอ้ย..จะต้องนอนสนามบินเหรอเนี่ย ในใจคิดก็ดีนะ ประหยัดค่าที่พักได้ 1 คืน แต่เฮ้ย.. ไม่ได้ๆ บอกน้อง 2 คนไว้แล้วว่าทริปนี้จะต้องนอนสบาย ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงที่พักให้ได้ แอบทำแผนสำรองไว้แล้วก็คือ Limousine Night Bus นี่แหละจะทำให้เราไม่ต้องนอนสนามบิน ซื้อตั๋วคนละ 1,550 เยน (ประมาณ 470 บาท) จากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติได้ตั๋วมาแล้ว พอถึงเวลาก็กระโดดขึ้นรถได้เลย

รอลิมูซีนไนท์บัสไปส่งที่ Namba

Limousine Night Bus จะมี 4 รอบหลังเที่ยงคืน ซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ค่าโดยสาร 1,550 เยน ออกจากสนามบินคันไซ ไปถึงสถานี Nankai Namba
– Terminal 2 ออกเวลา 0:15 น. และ 1:15 น.
– Terminal 1 ออกเวลา 0:30 น. และ 1:30 น.
ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็มาถึงสถานี Nankai Namba

เนื่องจากพวกผมจองตั๋วเครื่องบินกระชั้นชิด ที่พักราคาถูกและดีจึงหายไปจากสารบบทั้งหมด รับปากน้องๆ แล้วด้วยว่าจะไม่นอน Hostel ต้องการส่วนตัว เลยไปได้ที่ AirBNB เป็นอพาร์ทเมนใกล้ๆ สถานี JR Namba เลย จองเสร็จสรรพ 3 คืน จริงๆ พักได้ถึง 4 คน แต่พวกผมมากัน 3 คน ก็โอเคเฉลี่ยเป็นเงินไทยตกคนละ 880 บาท/คืน เมื่อมาถึงสถานี Nankai Namba ก็หาที่ฝากท้องกันก่อนเป็นข้าวหน้าหมูชามละ 530 เยน (ประมาณ 160 บาท)

ข้าวหน้าหมู ถูกและดี

วันที่ 2 ตื่นมาก็จัดการตัวเองกันเรียบร้อย ไม่ลืมหยิบ Pocket Wifi จากที่พักติดตัวไปด้วย แชร์กัน 3 คน แค่นี้ไม่ต้องกลัวหลงทาง จิ้มพิกัดเลย มาญี่ปุ่น ถึง คันไซ โอซาก้า ดินแดนที่มีสวนสนุกระดับโลกทั้งที วันนี้เราก็จะได้สนุกกันที่ Universal Studio Japan เราจะไปสถานี Universal City ค่าโดยสาร 180 เยน (ประมาณ 55 บาท) ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติเช่นเดิม ใครถนัด Hyperdia ก็ใช้ ใครถนัด Google Map ก็ดี ในที่นี้ผมใช้ Google Map เพราะจะเห็นเส้นทางการเดินทางได้ชัดเจนกว่า จะบอกกระทั่งตำแหน่งของเรา ต้องนั่งรถไฟฟ้าสายอะไร กี่สถานที ลงที่ไหน ขึ้นรถที่ไหน ราคาเท่าไหร่ แนะนำมือถือที่ใช้ควรสนับสนุน GPS ของ Glonass เพราะจะทำให้จับสัญญาณ GPS ได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น

การใช้ Google Map จาก JR Namba ไปยัง Universal Studio Japan

อีกอันก็คือ Hyperdia ส่วนตัวผมใช้สำหรับเช็คตารางเวลาของรถไฟแค่นั้นเพราะมีความแม่นยำกว่า Google Map แล้วก็นำมาบันทึกลงแพลนทริป เวลาจะใช้ก็เอาต้นทางและปลายทางมาค้นใน Google Map ใช้มาตลอดไม่มีหลงเลยครับ

การใช้ Hyperdia จาก JR Namba ไปยัง Universal City

เอาล่ะในที่สุดก็วาร์ปมาถึงหน้า Universal Studio Japan กันแล้ว พอมาถึงเราก็รีบไปซื้อตั๋วที่ Lawson เลย วานให้พนักงานช่วยซื้อให้ ได้ตั๋วมา 3 ใบเรียบร้อย ตกคนละ 7,200 เยน (ประมาณ 2,170 บาท) แอบถามว่าซื้อ Express Pass ได้ไหม พนักงานก็ใจดีช่วยทำให้แต่ปรากฏว่า Sold out หมดเกลี้ยง ดังนั้นทำใจไว้แล้วว่าเราไม่มีบัตรลัดคิวแล้วนะ เตรียมตัววิ่งไปเข้าโซนแฮรี่ให้ทันรอบแรกได้เลย แต่ก็ดีประหยัดไปได้หลายพันเยนเลยทีเดียว

ลูกโลกมหาชน Universal Studio Japan

สำหรับใครไม่รู้ว่า Express Pass คืออะไร บัตรนี้เรียกกันว่าบัตรลัดคิว โดยมีจะให้เลือกกว่าจะลัดคิวกี่เครื่องเล่น ถ้าซื้อแบบลัดคิวเครื่องเล่นเยอะๆ จะสามารถระบุเวลาเข้าไปโซน Harry Potter ได้ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ทาง Universal เปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นให้เข้าไปดูที่เว็บไซต์จะดีที่สุด ส่วนราคา Express Pass ก็แพงพอๆ กับค่าเข้าเลย

คนต่อคิวรอเข้า Universal Studio Japan

เดินมาถึงที่ขายบัตรคนยืนต่อคิวกันเต็มเลย โชคดีที่พวกผมไปซื้อที่ Lawson กันเรียบร้อย ขอแผนที่มาจากเจ้าหน้าที่แล้วศึกษาเส้นทางไปยัง Harry Potter ที่เหลือก็แค่รอเวลาเปิด พอเปิดพวกผมก็ยื่นบัตรผ่านประตูให้เจ้าหน้าที่แล้วก็วิ่งๆๆๆๆ กัน ในที่สุดก็ได้เข้ามาโซนแฮรี่สมใจ รีบไปต่อคิวทันทีเพื่อเข้าชมฮอกวอตส์ ภายในปราสาทห้ามถ่ายรูป เลยมีแต่บรรยากาศรอบนอกมาฝากครับ

ปราสาทฮอกวอตส์

หลังจากอิ่มเอมกับแฮรี่ พอตเตอร์แล้ว ก็ต้องไม่พลาดกับบัตเตอร์เบียร์ ราคา 700 เยน (ประมาณ 210 บาท) แล้วก็เดินเล่นให้คุ้มกับการได้เข้ามารอบแรก แล้วก็ไปโต๋เต๋ต่อคิว Spider Man, Ride Backward, etc.

ร้านขาย Butter Beer

จนเย็นก็เดินทางกลับไปสถานี Shin-Imamiya ค่าโดยสาร 180 เยน (ประมาณ 55 บาท) ที่นี่มีออนเซนขึ้นชื่อ Spa World เปิดให้เข้าตลอดทั้งปี หน้าร้อนก็เข้าได้คนละ 1,200 เยน (ประมาณ 360 บาท) Spa world จะมี 2 โซน ได้แก่ European Zone กับ Asian Zone สลับกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย เช่น เดือนคี่ผู้ชายจะใช้ Asian Zone ผู้หญิงก็จะได้ใช้ European Zone พอเดือนคู่ผู้ชายก็จะมา European Zone ผู้หญิงก็จะไปใช้ที่ Asian Zone สลับกันไป

รูป Spa World ออนเซ็นขนาดใหญ่ใน Osaka จากเว็บไซต์ kansaiscence.com

หลังจากสบายเนื้อสบายตัวกันเรียบร้อย พวกผมก็ต้องไปซื้อ Kansai Thru Pass สำหรับ 2 วัน ในการไปเที่ยวรอบๆ โอซาก้า จุดขายบัตรจะอยู่ที่ Osaka Visitors’ Information Center Namba ค่าบัตร 4,000 เยน (ประมาณ 1,200 บาท)

ซื้อเสร็จเรียบร้อยพวกผมก็เดินไปยังร้านปู Kani Doraku ที่ขึ้นชื่อย่านโดทงโบริ มาญี่ปุ่น ในโซน คันไซ โอซาก้า ก็ต้องกินปูด้วยครับ พอจัดการจองคิวแล้วก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลา ระหว่างทางก็เจอทาโกะยากิ เกี๊ยวซ่า ไอครีม ขนมปัง กินรองท้องไปเรื่อยแล้วก็แวะไปถ่ายป้ายไฟคุณลุงกูลิโกะกัน

ป้ายไฟกูลิโกะ โดทงโบริ
ร้านปู Kani Doraku โดทงโบริ

เนื่องด้วยเดินเล่นไปกินไปกันจนอิ่มเกินครึ่งไปแล้ว จึงตัดสินใจสั่งเซ็ตปู 10,000 เยน (ประมาณ 3,000 บาท) แล้วหารกัน จะได้ดูว่ามันเป็นอย่างไง ฟินแค่ไหน จากรูปนี้คือเขากว่าจะเสิร์ฟครบทั้งหมด พวกเราก็กินกันไปเยอะแล้ว เลยได้รูปซากปูมาแค่นี้ หวังว่าจะสร้างความฟินให้เพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อย

ร้านปู Kani Doraku โดทงโบริ

วันที่ 3 ตื่นมาตั้งแต่ 6 โมง ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำเสร็จก็ตรวจแผนการเดินทางคร่าวๆ วันนี้เราจะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองอื่นๆ บ้างอย่างนารา โดยใช้บัตร Kansai Thru Pass ที่ซื้อมาจากเมื่อวานนี่แหละ บัตรนี้จะเริ่มนับเวลาเมื่อสอดบัตรผ่านเข้าสถานีครั้งแรก เริ่มต้นจากสถานี Osaka Namba นั่งสายสีส้ม (Kintetsu Nara Line) ไปยังสถานี Kintetsu-Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. แล้วเดินต่ออีกหน่อยก็ถึงวัดโทไดจิ บรรยากาศระหว่างทางจะเจอกวางเดินกันไปมาเต็มไปหมด นั่นแปลว่าเราเดินมาถูกทางแล้วครับ

กวางนอนริมถนนกันเลย

บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นมากๆ มีค่าเข้าชมด้านในวัดคนละ 500 เยน (ประมาณ 150 บาท) ภายในประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต หรือ ไดบุตสึ (Daibutsu) วัดนี้มีเอกลักษณ์ก็คือสร้างจากไม้ทั้งหมด เป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ และยังมีองค์หลวงพ่อโตสูง 15 เมตร ประดิษฐานอยู่ภายใน จุดเด่นอีกอย่างก็คือที่นี่จะมีเสาไม้อันใหญ่ที่มีรูให้ลอดโดยมีความเชื่อว่าถ้าใครลอดผ่านได้จะโชคดี

หลวงพ่อโตแห่งเมืองนารา หรือ ไดบุตสึ (Daibutsu of Nara)

ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่ก็คือฝูงกวางนับร้อยตัวที่เดินเพ่นพ่านกันอย่างอิสระรอบๆ บริเวณวัด สามารถซื้อขนมให้กวางทานได้ตกห่อละ 150 เยน (ประมาณ 45 บาท) ใครที่คิดจะให้ขนมกวางโปรดเตรียมสกิลในการหลบหลีกไว้ให้พร้อมรับการโจมตี แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน ฮ่าๆ

ฝูงกวางรอกินขนมเซนเบ้ (Senbei)

เมื่อเสร็จจากการไหว้พระแล้วพวกผมก็แวะไปเดินเล่นที่ Nara Park ซึ่งพวกผมเรียกว่าสวนกวางล่ะกัน บรรยากาศสดชื่นเย็นสบายมากๆ ครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะเย็นสบายได้ในหน้าร้อนแบบนี้ จากนั้นก็ขึ้นรถไฟยิงยาวไปยังเมืองโกเบกันต่อเลย เมืองนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องเนื้อโกเบที่แสนอร่อย แบบว่ามันละลายในปากเลยนะ แต่ๆๆๆ พวกผมนะเหรอไม่มีใครทานเนื้อวัวกันสักคนเลยต้องตัดร้านเนื้อโกเบแสนอร่อยนี้ไป แล้วโกเบมีอะไรให้เที่ยวบ้างนะ ติดตามกันต่อได้เลยครับ จุดหมายของเราคือสถานี Rokko โดยเราจะนั่งสายสีส้ม (Kintetsu Nara Line) ไปถึงสถานี Kobe-Sannomiya และเปลี่ยนไปขึ้นสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kobe Line) ไปยังสถานี Rokko เป็นการนั่งรถไฟที่ยาวนานที่สุดในทริปนี้แล้วครับเพราะนั่งรถไฟข้ามทีเดียว 3 เมืองเลย ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. ทีเดียว

เมื่อถึงสถานี Rokko ตอนเดินออกจากสถานีจะมีป้ายบอกทางจะไปขึ้นรถบัสสาย 16 ใช้บัตร Kansai Thru Pass เสียบตอนขึ้นรถบัสได้เลย แล้วเราก็นั่งไปสุดสายที่ Rokko Cable Car จัดแจงซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ไปกลับ และรถบัสเหมาเที่ยวไม่จำกัด เบ็ดเสร็จ 1,350 เยน ต่อคน (ประมาณ 400 บาท) เพื่อขึ้นไปเที่ยวบริเวณภูเขารอคโค่ (Mt.Rokko) ด้านบน ตอนนี้พวกผมเริ่มหนาวแล้วครับ นี่ มาญี่ปุ่น หน้าร้อนไม่ใช่เหรอเนี่ย เสื้อผ้ายิ่งใส่แต่บางๆ อยู่ด้วยแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

เคเบิ้ลคาร์ที่จะพาพวกผมขึ้นไปบนภูเขารอคโค (Mr.Rokko)

จากนั้นเราก็นั่งรถบัสเที่ยวได้เลย ที่แรกที่พวกผมไปกันก็คือ Rokko International Music Box มีค่าเข้า 1,320 เยนต่อคน (ประมาณ 400 บาท) แต่ใช้บัตรส่วนลดที่ได้มาพร้อมกับ Kansai Thru Pass เหลือจ่ายแค่ 820 เยนต่อคน (ประมาณ 250 บาท) ภายในพิพิธภัณฑ์มีกล่องดนตรีแปลกๆ หลายอย่างมาก สามารถประกอบกล่องดนตรีเองก็ได้ด้วย แถมยังมีการแสดงคอนเสิร์ตให้ชมอีกเป็นรอบๆ เรียกว่าก็เพลินดีเหมือนกัน

Rokko International Music Box ขณะกำลังแสดงคอนเสิร์ต

ที่ต่อไปที่พวกผมไปชมก็คือ หอสังเกตการณ์ Rokko-Shidare Observatory ค่าเข้าชม 300 เยนต่อคน (ประมาณ 90 บาท) ใช้บัตรลดเหลือ 200 เยนต่อคน (ประมาณ 60 บาท) ข้างบนนี้เป็นจุดชมวิวอีกจุดนึง ก็สวยดีนะหรือจะว่าแปลกดีก็ได้ การเดินทางมาก็รอรถที่ป้ายรถบัสแล้วขึ้นไปนั่งได้เลย ที่ป้ายมีเวลาบอกด้วยว่ารถบัสจะมาถึงเมื่อไหร่ คลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 นาที ญี่ปุ่นนี่ตรงเวลาจริงๆ

หอสังเกตการณ์ Rokko-Shidare Observatory

จากนั้นก็ไปชมหมู่บ้าน Little Horti ต่อด้วยนั่งกระเช้าเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ รอให้ถึงเวลาเย็นแล้วเราจะได้ชมวิวเมืองโกเบยามค่ำคืนกัน แสงอาทิตย์ที่หายไปเรื่อยๆ สวนทางกับแสงไฟจากบ้านเรือนช่างสวยงามจริงๆ

จุดชมวิวยอดเขา Rokko
จุดชมวิวยอดเขา Rokko

ขากลับพวกผมก็กลับทางเดิม นั่งเคเบิ้ลคาร์ ต่อรถบัสสาย 16 นั่งรถไฟจากสถานี Rokko ไปลงสถานี Osaka-Namba แล้วก็ไปเดินโดทงโบริต่อ ช้อปปิ้งกันได้ทุกวันไม่มีเบื่อจริงๆ

วันที่ 4 เช้านี้อากาศแจ่มใสจริงๆ พวกผมเก็บของกันเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน จัดแจงเก็บที่นอน ข้าวของเครื่องใช้ให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วล็อกห้อง นำกุญแจไปหยอดที่เมล์บ็อกซึ่งถือเป็นการ Check-out เรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟใต้ดิน Namba (Subway) ฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์คนละ 500 เยน (ประมาณ 150 บาท) คราวนี้ก็พร้อมไปเที่ยวที่ต่อไปแล้ว หยิบบัตร Kansai Thru Pass พระเอกของเราแล้วไปด้วยกันเลย

พวกผมเริ่มจากสถานี Namba (Subway) นั่งสายสีน้ำเงิน (Yotsubashi Line) ไปลงสถานี Umeda (Subway) แล้วเดินไปสถานี Umeda (Hankyu) นั่งสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kyoto Line) ไปลงสถานี Kutsura แล้วต่อสายสีน้ำตาล (Hankyu-Arashiyama Line) ไปลงสถานี Arashiyama แล้วเดินชมวิวกันไปเรื่อยๆ จุดหมายคือป่าไผ่อะราชิยาม่า

อากาศร้อน แต่บรรยากาศรอบๆ ทำให้สดชื่นมาก
เดินเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยเลยเพราะวิวข้างทางช่างดีเหลือเกิน
ไปตามแผนที่ Google Map เลย จะมีป้ายบอกให้เดินไปทาง Arashiyama Tram Station

ในที่สุดก็มาถึง พวกผมร้องโอ้โห.. กันเลยทีเดียว สวยงามมากๆ เพราะมาหน้านี้ป่าไผ่เลยเขียวชอุ่มสดชื่นดูสบายตามากๆ และคนไม่เยอะด้วย ไม่รอช้ารีบถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันเต็มที่เลย

ป่าไผ่ Arashiyama ทางผ่านก่อนที่เราจะไปนั่งรถไฟสายโรแมนติก
ป่าไผ่ Arashiyama ไม่ว่ามุมไหนก็สวย

รถไฟสายโรแมนติกจะพาเราชมวิวเลียบภูเขาและแม่น้ำ สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ถ้าใครมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี่น่าจะฟินกว่าผมมากๆ

รถไฟซากาโน่สายโรแมนติก (Sagano Romantic Train) มีตารางวิ่ง ดังนี้
– ออกจากสถานี Sagano เวลา 9:07, 10:07, 11:07, 12:07, 13:07, 14:07, 15:07, 16:07 และ 17:07
– ออกจากสถานี Kameoka เวลา 9:35, 10:35, 11:35, 12:35, 13:35, 14:35, 15:35, 16:35 และ 17:35
ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 620 เยนต่อคน (ประมาณ 190 บาท) ใช้เวลาชมวิวประมาณ 30 นาที เปิดให้บริการระหว่าง 1 มีนาคม – 29 ธันวาคม และหยุดซ่อมบำรุงทุกวันพุธ (ยกเว้นพุธที่ตรงกับวันหยุดพิเศษของญี่ปุ่น)

หน้าตารถไฟสายโรแมนติก
ภายในรถไฟสายโรแมนติก

รถไฟจะมาปล่อยเราไว้ที่สถานี Truck Kameoka สามารถซื้อของฝากน่ารักๆ เกี่ยวกับรถไฟได้ที่นี่ จากนั้นก็พากันเดินไปสถานี (JR) Umahori ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก นั่งสาย San-in Line ไปลงสถานี Emmachi อันนี้ต้องจ่ายเอง Kansai Thru Pass ไม่สามารถใช้ได้กับรถไฟของ JR คนละ 240 เยน (ประมาณ 70 บาท) แล้วต่อรถบัสสาย 204 หรือ 205 ไปลงที่หน้าวัดคินคะคุจิเลย สามารถใช้ Kansai Thru Pass ได้แล้ว

ถึงวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) มีค่าเข้าคนละ 400 เยน (ประมาณ 120 บาท) เอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือวัดสีทองกลางน้ำ แต่ก่อนเป็นที่พำนักของโชกุนโยชิมิซึ เมื่อท่านโชกุนเสียชีวิตจึงถูกบูรณะให้เป็นวัดแบบเซน และเปิดให้เข้าชมกัน

วัดคินคะคุจิ หรือ วัดทอง (Kinkakuji Temple)

เมื่อเดินกันคุ้มกับเงิน 400 เยนที่เสียไปก็เดินทางกันต่อไปยังศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ขึ้นรถบัสสาย 205 ไปลงสถานี Saiin นั่งรถไฟสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kyoto Line) ไปยังสถานี Kawaramachi แล้วเดินนิดนึงไปยังสถานี Gion-Shijo นั่งรถไฟสายสีแดง (Keihan Line) ไปยังสถานี Fushimi-Inari เดินอีกนิดก็ถึงศาลเจ้าล่ะครับ สามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้ทั้งหมดครับ

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากของเกียวโต ไม่ว่าจะเป็นหน้าไหน ช่วงไหนคนก็จะเยอะตลอดเวลา พวกผมจะเรียกที่นี่ว่า ศาลเจ้าจิ้งจอก หรือศาลเจ้าเสาแดง เพราะจุดเด่นของที่นี่ก็คือรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกซึ่งถือเป็นตัวแทนของเทพอินาริ เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และภายในศาลเจ้านี้มีเสาแดงโทริอิ (Torii) ที่เรียงรายนับพันนับหมื่นต้นทั่วภูเขา จึงเป็นที่ที่นิยมมากันมาก

เสาแดงโทริอิ ที่เรียงรายนับพันต้น

จบภารกิจก็มุ่งหน้ากลับโอซาก้ากัน เพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Namba การเดินทางกลับก็ให้ขึ้นจากสถานี Fushimi-Inari นั่งสายสีแดง (Keihan Line) ไปสถานี Gion-Shijo แล้วเดินนิดนึงไปสถานี Kawaramachi นั่งสายสีน้ำตาล (Hankyu-Kyoto Line) ยิงยาวไปลงสถานี Minamikata แล้วเดินไปสถานี Nishinakajimaminamigata นั่งสายสีแดง (Midosuji Line) ไปยังสถานี Namba (Subway) เอากระเป๋าที่ฝากไว้ออกมา จากนั้นเดินไปสถานี Nankai-Namba ขึ้นสาย Nankai Line ไปยังสถานี Kansai Airport (สนามบินคันไซ) โดยใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้เหมือนเดิม จากนั้นพวกผมก็เข้าไปใช้บริการ KIX Lounge ที่สนามบินคันไซ อาบน้ำอาบท่ากันให้สดชื่น คนละ 500 เยน (ประมาณ 150 บาท) ตอนนี้ก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว ก็ออกมาทำพิธีผ่าน ตม. แล้วก็นอนรอนั่งรอเพื่อที่จะบินกลับ

ทริปนี้ราบรื่นทุกประการไปได้ตามแผนที่วางไว้ทั้งหมด เป็นทริปที่กินอิ่ม นอนหลับ เที่ยวสบาย ประทับใจตรงที่รวมทุกอย่างแล้วใช้งบไม่เกิน 15,000 บาท นี่แหละ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้ากับนายปักเป้านะคร้าบ

ค่าใช้จ่าย
– ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ดอนเมือง-โอซาก้า 3,390 บาท/คน
– ที่พัก 3 คืน 7,920 บาท พักได้ 3-4 คน ตกคนละ 2,640 บาท
– Pocket Wifi ที่พักมีให้ยืมใช้ฟรี
– Universal Studio Japan 1,944 บาท/คน (7,200 เยน)
– ออนเซ็น Spa World 324 บาท/คน (1,200 เยน)
– บัตรขึ้นรถไฟฟ้า และรถบัสไม่จำกัด Kansai Thru Pass (KTP) สำหรับ 2 วัน 1,080 บาท/คน (4,000 เยน)
– ค่าโดยสารรถไฟแบบซื้อรายครั้งรวม 162 บาท/คน (600 เยน)
– ค่าเข้าวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) 135 บาท/คน (500 เยน)
– เคเบิ้ลคาร์ไปกลับ Rokko Cable Car + รถบัสไม่จำกัด 365 บาท/คน (1,350 เยน)
– พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Rokko Musical Box 222 บาท (820 เยน ลดจาก 1,030 เยน เมื่อใช้คูปองจาก KTP)
– หอสังเกตการณ์ Rokko-Shidare Observatory 54 บาท (200 เยน ลดจาก 300 เยน เมื่อใช้คูปองจาก KTP)
– กระเช้าชมวิวไปกลับ 65 บาท/คน  (240 เยน)
– ตั๋วรถไฟสายโรแมนติกขาเดียว (Torokko Train) 168 บาท/คน (620 เยน)
– ค่าเข้าวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) 108 บาท/คน (400 เยน)
– ค่าฝากสัมภาระ 12 ชม. 135 บาท/คน (500 เยน)
– ค่าอาบน้ำที่สนามบินคันไซ (KIX Lounge) 1 ชม. 135 บาท/คน (500 เยน)
– กินร้านปูยักษ์ 1 เซ็ตใหญ่ 10,000 เยน  ตกคนละ 900 บาท (3,334 เยน)
– ค่าอาหาร 9 มื้อ 2,916 บาท/คน (10,800 เยน)
รวมทั้งหมด 14,743 บาท/คน

ขอบคุณรีวิวจาก Guest สุดพิเศษ คุณ แพ็คกระเป๋า สังกัด Pantip จากกระทู้ “กินอิ่ม พักสบาย เที่ยวกระจาย โอซาก้า/นารา/โกเบ/เกียวโต รวมทุกอย่าง ไม่เกิน 15,000” ที่มามอบประสบการณ์ เที่ยว คันไซ โอซาก้า หน้าร้อน ในงบไม่เกิน 15,000 บาท แต่ได้เที่ยวแบบจัดเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย !!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?

1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook www.facebook.com/mushroomtravel/

—————

Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
CustomerService@Mushroomtravel.com
Line id : @mushroomtravel

กินอิ่ม พักสบาย เที่ยวกระจาย โอซาก้า/นารา/โกเบ/เกียวโต รวมทุกอย่าง ไม่เกิน 15,000 was last modified: May 10th, 2019 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version