เปิดพระราชประวัติ รัชกาลที่ 10 ของปวงชนชาวไทย
อะแฮ่ม.. ทุกคนคะ วันนี้มัชรูมทราเวล ขอปรับโหมดเป็นผู้รอบรู้ เพราะว่าเราจะพาไปทำความรู้จักกับพระราชประวัติของ รัชกาลที่ 10 หรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร กันค่ะ โดยพระยศเดิมของพระองค์ก็คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวฃิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งนับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงพระราชสมภพไปจน กระทั่งถึงการครองราชย์ วันนี้เราจะได้ทราบกันอย่างจัดเต็มเลยค่ะ ว่าทรงมีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมาทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทยของเรามามากมายแค่ไหน รับรองว่า หากอ่านแล้วจะต้องประทับใจเอาไปเลย 5 ดาวอย่างแน่นอน!
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวง รัชกาลที่ 10 ของเรา ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินินาถ ทรงเสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต มีพระราชนามเดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร
และเมื่อมีพระชนม์มายุได้ 20 พรรษา ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร และในเรื่องของการเรียน ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนจิตรลดาในชั้นต้น หลังจากนั้นได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนคิงส์มีด และโรงเรียนมิลฟิลด์ ณ ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนคิงส์สคูล กรุงซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และได้ทรงศึกษาต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาจากทั้งวิทยาลัยดันทรูน ประเทศออสเตรเลีย และมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ด้านสาขาอักษรศาสตร์ การทหาร ก่อนที่จะเสด็จกลับประเทศไทย จากนั้นยังได้ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกรุ่น 46 และได้รับราชการทหารควบคู่กันไปด้วย สุดยอดไปเลยค่ะ
และจากนั้นในปี พ.ศ. 2521 ได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งมีสมเด็จพระอริยวงศาสตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 18 เป็นผู้ผนวชให้ หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จนสำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ก่อนจะทรงเข้าศึกษาต่ออีกครั้ง ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรที่ประเทศอังกฤษ
จนเมื่อเสด็จนิวัติกลับยังประเทศไทย จึงได้เข้ารับราชการทหารประจำกรมข่าวทหารบก กระทรวงกลาโหมก่อนที่จะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่พระปรีชาของในหลัง รัชกาลที่ 10 ของเราก็ไม่ได้หมดลงเท่านี้นะคะ เพราะพระองค์ยังเคยผ่านหลักสูตรเกี่ยวกับการฝึกบินเครื่องบินรบเฮลิคอปเตอร์ รวมไปถึงเครื่องบินพาณิชย์ต่างๆ มาแล้วหลายหลักสูตร รวมถึงเคยปฏิบัติหน้าที่เป็นครูการบินสำหรับเครื่องบินขับไล่ของทหารด้วย จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาในด้านนี้อย่างแท้จริง
ต่อมา พระองค์ก็ได้ทำการอภิเษกสมรส รวมทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกทรงอภิเษกกับสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ หรือพระนามเดิม หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร และมีพระราชธิดาด้วยกัน 1 พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ครั้งที่ 2 กับคุณ สุจาริณี วิวัชรวงศ์ และมีพระโอรสด้วยกันถึง 4 พระองค์ และพระราชธิดา 1 พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ และครั้งสุดท้าย กับ ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี และมีพระราชโอรสด้วยกัน 1 พระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อพวกเรามามากมาย จนกระทั่งหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ที่สร้างความเสียใจให้คนไทยทั้งประเทศ จึงถือเป็นการสิ้นสุดลงของรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ดังนั้นตามการสืบพระราชสันตติวงศ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวฃิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร จึงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร หรือ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ซึ่งจะทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนขาวไทยอย่างพวกเราต่อไป ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.themomentum.co, www.voathai.com, www.hiclasssociety.com