Mushroom Travel

ครั้งแรกกับเมืองมรดกโลก…สะบายดี หลวงพระบาง

Guest ของ มัชรูมทราเวล วันนี้เป็น… ชายหนุ่มอินดี้ ที่ชอบการเดินทางไปท่องเที่ยว และวางแผนเอง ทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเองค่ะ ซึ่งครั้งหนึ่งเค้าเคยให้เกียรติกับมัชรูมทราเวลด้วยการรีวิวการผจญภัยในโอซาก้าประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว กลับมาคราวนี้เค้าอยากจะขอพาคุณพ่อกับคุณแม่และพวกเราไปเที่ยวประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างประเทศลาวบ้าง แต่เป็นในเมืองมรดกโลกที่เราคงจะคุ้นหูกันมานาน นั่นก็คือ หลวงพระบางนั่นเองค่ะ

ครั้งแรกกับเมืองมรดกโลก…สะบายดี หลวงพระบาง

หลังจากทริปโอซาก้า กะว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศอีกทีก็ปลายปีหน้า ตามที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเที่ยวต่างประเทศให้ได้ปีละครั้ง แต่ทริปนี้เกิดขึ้นแบบฉุกละหุก จากการคุยกันกับแม่เล่นๆ ว่าปีใหม่นี้จะไปไหนกันดี เป็นการคุยเล่นๆ มากกว่าที่อยากจะได้คำตอบจริงๆ ต้องบอกก่อนว่าโดยปกติแล้วที่บ้านเราไม่ค่อยไปเที่ยวไหน ยิ่งช่วงเทศกาลด้วยแล้วเลิกคิดได้เลย เพราะเคยไปช่วงปีใหม่เมื่อหลายปีมาแล้วเจอรถติดแง่กอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ทำให้เข็ดขยาดกับการออกไปเที่ยวช่วงเทศกาล อย่างดีก็แค่ออกไปหาข้าวกินกันในกรุงเทพฯ หรือใกล้ๆ กรุงเทพฯ

แต่คำตอบที่ได้จากแม่คือ “เราไปเที่ยวหลวงพระบางกันดีมั้ย แม่อยากไปมานานแล้ว” เราแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำตอบนี้จากปากแม่ ขนาดเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาเรากับน้องชายชวนพ่อกับแม่ไปเที่ยวเขาใหญ่ แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่ไปหรอก ขอนอนอยู่บ้านดีกว่า” ทำให้เราต้องถามแม่อีกทีว่าแม่พูดจริงใช่มั้ย ถ้าจะไปจริง เราจะได้หาข้อมูลเตรียมไว้ แม่คอนเฟิร์มว่าจริง ด้วยหน้าที่ของลูกที่ดีก็หาข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพระบางทันที จะหาข้อมูลจากไหนถ้าไม่ใช่พันทิป ที่เคยใช้เป็นไกด์ในการไปเที่ยวโอซาก้ามาแล้ว

การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ตีกรอบว่าต้องอยู่ภายในงบเท่าไหร่ หรือต้องใช้เงินให้น้อยที่สุด เนื่องจากมีพ่อกับแม่ไปด้วย จะพาเดินลุยเหมือนอย่างที่เราไปกับเพื่อนก็คงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่เน้นรายละเอียดในเรื่องของงบที่ใช้ในทริปนี้ แต่จะเน้นในเรื่องของการเดินทางไปยังหลวงพระบาง และสถานที่ต่างๆ ที่ได้ไปเที่ยวชมเป็นหลัก เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้กับคนที่อยากจะไปเยือนหลวงพระบางสักครั้ง

การเดินทาง

โปรแกรมเที่ยวครั้งนี้จะไปกัน 6 วัน ตั้งแต่ 26-31 ธันวาคม ตอนแรกตั้งใจจะเดินทางด้วยเครื่องบินไปลงที่ จ.อุดรธานี แล้วต่อรถไปหนองคายเพื่อข้ามไปฝั่งลาว แต่แม่มีเพื่อนไปซื้อบ้านอยู่ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งชวนแม่ไปเที่ยวที่บ้านหลายครั้งแล้ว แต่แม่ก็ยังไม่ได้ไปสักที เลยถือโอกาสนี้ไปแวะเที่ยวบ้านเพื่อนแม่ด้วย ก็ตกลงกันว่าจะขับรถไปเอง นอนค้างคืนนึงที่บ้านเพื่อนแม่ เอารถจอดไว้ที่นั่นแล้วให้เพื่อนแม่ขับรถไปส่งที่หนองคาย

วันที่ 27 ธ.ค. ก่อนข้ามไปฝั่งลาว เพื่อความเป็นสิริมงคลและเอาฤกษ์เอาชัยในการเดินทางต้องไปสักการะหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ.หนองคาย ที่วัดโพธิ์ชัย ชมศาลาแก้วกู่ ซึ่งเป็นสวนประติมากรรมปูนปั้นขนาดใหญ่ และเดินซื้อของ กินข้าวที่ตลาดท่าเสด็จ

เริ่มการเดินทางที่ด่านพรมแดนหนองคาย ทำการตรวจพาสปอร์ตเสร็จแล้วเดินออกมาจะเจอที่ขายตั๋วรถบัสเพื่อข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไปยังด่านฝั่งลาว ราคาตั๋ว 20 บาท

ที่ด่านฝั่งลาว ตอนทำการตรวจพาสปอร์ตจะต้องเสียเงินค่าเข้าเมืองด้วย วันที่เราไปตรงกับวันอาทิตย์ เสียค่าเข้าเมืองคนละ 55 บาท ถ้าวันธรรมดาในเวลาราชการจะเสียอีกราคานึง น่าจะ 40 บาท ก็จะได้บัตรพลาสติกแข็งมาเพื่อเอาไปเสียบตรงช่องทางออกเหมือนกับรถไฟฟ้า BTS ไม่ต้องรอบัตรคืนออกมานะครับ เพราะเครื่องจะเก็บบัตรไปเลย ออกมาแล้วให้เดินตรงดิ่งโดยที่ไม่ต้องสนใจพวกคิวรถที่จะเข้ามารุมล้อมยังกับเราเป็นซูเปอร์สตาร์ เพื่อให้เราเหมารถไปนั่นไปนี่ ขึ้นรถบัสปรับอากาศสีเขียวสาย 136 ไปสุดสายที่ตลาดเช้าเวียงจันทน์ ค่ารถคนละ 5,000 กีบ (ราว 22 บาท) สามารถจ่ายเป็นเงินบาทก็ได้ แต่เค้าจะเก็บ 40 บาท ระหว่างรอรถออกจะมีแม่ค้าเดินขึ้นมาขายมะม่วง ไข่ต้ม ลูกอม หมากฝรั่ง

ถึงตลาดเช้าเวียงจันทน์ ต่อรถบัสสีเขียวสาย 143 ไปขนส่งสายเหนือ ค่ารถคนละ 5,000 กีบเหมือนเดิม รถจะเข้าไปจอดที่หน้าอาคารขนส่ง ไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อดูรอบรถและซื้อตั๋ว ด้วยความที่อยากไปถึงหลวงพระบางให้เร็วที่สุดเพื่อเผื่อเวลาเดินหาที่พัก เพราะช่วงใกล้ปีใหม่ที่พักคงจะหายาก เลยเลือกเป็นรถนั่ง VIP รอบ 19.30 น. ค่ารถคนละ 130,000 กีบ (ราว 577 บาท)

ในขนส่งจะมีร้านอาหาร ร้านขายของชำ และห้องน้ำซึ่งสามารถอาบน้ำได้ มันคือห้องน้ำธรรมดานี่แหละ มีส้วมนั่งยองกับปูนที่ก่อขึ้นมาเล็กๆ เพื่อใส่น้ำไว้ราดส้วม แต่ว่าทนเหนียวตัวไม่ไหว และถ้าไม่ได้อาบน้ำจะนอนไม่หลับ เลยต้องพึ่งห้องอาบน้ำเฉพาะกิจ เดินเลือกห้องที่ดูสะอาดที่สุด 555+ อาบน้ำอาบท่าสบายตัวแล้วมันต้องหาอะไรเย็นๆ ดื่มซะหน่อย มาถึงลาวแล้วก็ต้อง “เบียร์ลาว” ร้านในขนส่งขายกระป๋องเล็กราคา 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) ได้ขึ้นรถตอน 19.30 น. ตรงเป๊ะ แต่กว่ารถจะออกก็ 20.00 น. รถค่อนข้างจะเก่า แอร์ไม่เย็น แถมไม่มีห้องน้ำด้วย บนรถได้รับแจกขนมเอลเซ่ 1 อัน น้ำดื่มขวดเล็ก 1 ขวด เมื่อถึงจุดพักรถตอนประมาณเที่ยงคืนกว่า เค้าจอดให้ลงไปกินเฝอโดยใช้หางตั๋วรถทัวร์แลก แต่ด้วยความง่วงประกอบกับกลัวท้องไส้จะปั่นป่วนระหว่างทาง ก็เลยนอนรออยู่บนรถ

วันแรกในหลวงพระบาง : วัดใหม่สุวันนะพูมาราม – พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง – พระธาตุพูสี – ตลาดมืด

ระยะทางจากเวียงจันทน์-หลวงพระบาง ประมาณ 400 กิโลเมตร ถ้าเป็นถนนของบ้านเราใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่นี่ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 12 ชั่วโมง เพราะทางที่ไปเป็นทางแคบๆ แค่รถวิ่งสวนกันได้ ขึ้นเขา-ลงเขา โค้งเยอะ ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ สลับกับทางฝุ่น สองข้างทางเป็นป่า มีบางช่วงที่ผ่านหมู่บ้าน ถึงท่ารถหลวงพระบาง ประมาณ 07.30 น. เรียกรถสกายแล็บให้ไปส่งที่ซอยโจมาเพื่อหาที่พัก ค่ารถคนละ 75 บาท จริงๆ แล้วซอยนี้ไม่ได้ชื่อซอยโจมานะครับ แต่เพราะว่าตรงปากซอยมีร้านกาแฟ Joma Bakery Café อยู่ เค้าก็เลยเรียกกันติดปากว่าซอยโจมา และอีกฝั่งซอยจะเป็นวุฒิ-ศักดิ์ คลินิก สาขาหลวงพระบาง ในซอยนี้ทั้งสองฝั่งจะเป็นเกสต์เฮ้าส์ หรือที่ภาษาลาวเรียกว่า เฮือนพัก เดินเข้าไปเห็นแต่ป้ายติดไว้หน้ารั้ว “Full” เกือบทุกที่ คิดในใจว่า ตายละวา จะหาที่พักได้มั้ยเนี่ย ถ้ามาคนเดียวหรือกับมาเพื่อนขาลุยนี่คงไม่ใช่ปัญหาถ้าจะต้องเดินหาที่พัก หรือขอแค่มีที่อาบน้ำและที่นอนก็พอ ไม่ต้องอะไรมาก แต่นี่มากับพ่อแม่ก็ต้องเน้นความสบายเอาไว้ก่อน

โชคดีมากที่เจอห้องว่างเพราะมีคนเช็กเอ้าต์พอดี ที่พักชื่อ เฮือนพัก พรมาลี ราคาห้องพักคืนละประมาณ 600 บาท เค้าบอกว่าถ้าช่วงโลว์ซีซั่นราคาจะประมาณ 400-450 บาท ห้องพักถือว่าใช้ได้ทีเดียว มีแอร์ น้ำอุ่น ทีวี Wi-Fi มีชา กาแฟ ไมโล ตู้กดน้ำดื่ม แครกเกอร์ กล้วยน้ำว้า ส้ม ให้กินฟรีตรงล็อบบี้ ห่างจากที่พักเดินไปนิดเดียวก็จะเป็นแม่น้ำโขง มีร้านอาหารและร้านกาแฟอยู่หลายร้านให้ได้นั่งชมวิวของแม่น้ำโขง

เก็บข้าวเก็บของ อาบน้ำเสร็จแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ตะลอนหลวงพระบางกันทันที อันดับแรกต้องไปแลกเงินกีบซะก่อน ซึ่งจะมีตู้รับแลกเงินกระจายอยู่ทั่วไป ตู้เอทีเอ็มก็มีแต่ไม่กล้ากด 555+ เรตวันที่เราไป 1 บาท = 225 กีบ ด้วยความหิวโหยที่ทั้งคืนไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย พ่อกับแม่เลือกที่จะกินเฝอ แต่เราไปสะดุดตากับซุ้มขายของที่ตั้งติดๆ กันอยู่ริมถนน เดินไปดูเห็นมีแก้วพลาสติกใสใส่ผลไม้อยู่ข้างในเหมือนกับร้านขายน้ำปั่นบ้านเรา และมีขนมปังบาแกตวางอยู่ด้วย ซึ่งมันคือแซนด์วิชลาวนั่นเอง สั่งไส้ไก่ทอดมาลอง เค้าจะใส่มะเขือเทศ แตงกวา ผักกาดหอม มายองเนส ราดน้ำจิ้มไก่ ราคา 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) กัดคำแรกนี่ เฮ้ย! อร่อยอ่ะ แถมชิ้นใหญ่มาก อันเดียวอยู่เลย

ประเดิมที่แรก วัดใหม่สุวันนะพูมาราม ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) เข้าไปสักการะพระประธานในพระอุโบสถ วัดนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาว และยังเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง ด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองเล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก บานประตูแกะสลักเป็นรูปเทวดา

เดินจากวัดใหม่สุวันนะพูมารามมาก็จะเจอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ซึ่งที่นี่แต่เดิมคือพระราชวังหลวงพระบาง ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทางรัฐบาลได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ค่าเข้าชมคนละ 30,000 กีบ (ราว 133 บาท) ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของต่างๆ และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งห้ามถ่ายรูป ด้านนอกทางขวาเป็นหอพระบาง ที่ประดิษฐานพระบางในปัจจุบัน ทางซ้ายเป็นโรงละครพะลัก-พะลาม มีอนุสาวรีย์พระเจ้าศรีสว่างวงศ์อยู่หน้าโรงละคร

ข้ามถนนมาอีกฝั่งเป็นพระธาตุพูสี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงราว 150 เมตร มีบันไดขึ้นไปยังยอดเขา 328 ขั้น ค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบ (ราว 88 บาท) จะมีต้นจำปาอยู่ตลอดทางขึ้น ถึงอากาศจะเย็นสบาย แต่กว่าจะเดินถึงยอดเขาก็เล่นเอาเหงื่อชุ่มเต็มเสื้อเหมือนกัน บนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบางและแม่น้ำโขงได้

ลงจากพระธาตุพูสีแล้วกะว่าจะเดินไปวัดเชียงทองต่อ แต่ด้วยความที่เมื่อคืนตอนนั่งรถทัวร์มาหลับไม่สนิท เพราะรถตกหลุมตลอดทาง เลยต้องกลับไปนอนพักเอาแรงก่อน แล้วช่วงเย็นๆ ค่อยออกมาเดินตลาดมืดหาซื้อของฝาก

ตื่นมาอีกทีเกือบ 5 โมงเย็น เดินมาตรงถนนหน้าพระธาตุพูสี ที่ตอนนี้กลายเป็นตลาดมืดไปแล้ว ของที่ขายก็จะเป็นพวกผ้าไหม เสื้อผ้า พวงกุญแจ ภาพวาด กระเป๋าผ้า ของสวยๆ งามๆ ทั้งหลายแหล่ให้ซื้อไปฝากกัน แม่เราแฮปปี้ดี๊ด๊ากับการเลือกซื้อผ้าไหมและผ้าพันคอเพื่อเอาไปฝากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องมาก เดินมาเจอร้านขายเหล้าลาวที่ในขวดมีทั้งแมงป่อง ตะขาบ งูตัวเล็ก งูตัวใหญ่ ตุ๊กแก ดองอยู่ในขวดเหล้า คนขายเห็นเรายืนด้อมๆ มองๆ ถ่ายรูป ถามเราว่าเอามั้ย เดี๋ยวจะให้ชิม แหม่…ใครจะกล้าชิมล่ะครับ แค่ดูก็ขนลุกแล้ว โดยเฉพาะไอ้ตุ๊กแกเนี่ยตามันจ้องผมเขม็งเลย (ผมกลัวตุ๊กแกมาก แค่ได้ยินเสียงร้องนี่ก็เผ่นแล้ว)

เดินซื้อของเสร็จ ก็ตะลุยซอยของกิน อาหารของที่นี่ดูแล้วก็เหมือนกับทั้งอาหารอีสานและอาหารเหนือของบ้านเรา ทั้งไส้อั่ว หม่ำ แกงบอน แกงขนุน ฯลฯ ที่เด็ดสุดต้องยกให้ส้มตำที่แซบมาก แต่อธิบายไม่ถูกว่ารสชาติมันต่างกับส้มตำบ้านเรายังไง รู้แต่ว่าอร่อย แม่เรานี่กินไปชมไป ที่นี่เค้าก็มีบุฟเฟ่ต์ด้วยนะ ราคาหัวละ 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) จะมีชามให้ใบนึง และตักได้แค่ครั้งเดียว อยากกินอะไรก็ตักใส่ชามรวมๆ มาเลย อันนี้เราไม่ได้กินนะ อยากลองอยู่แต่ว่าโต๊ะเต็มจนไม่มีที่จะนั่ง เลยได้แต่ยืนดู

วันที่สองในหลวงพระบาง : ตักบาตรข้าวเหนียว – เที่ยวถ้ำติ่ง

วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัวไปตักบาตรข้าวเหนียวฝั่งตรงข้ามซอยโจมา อาหารสำหรับตักบาตรจะมีแม่ค้านำมาขายเป็นชุดอยู่ริมถนน พอดีว่าน้องคนดูแลเกสต์เฮ้าส์ที่เราพักเค้าทำของตักบาตรขายด้วย เราเลยอุดหนุนน้องเค้า ราคาชุดละ 100 บาท มีข้าวเหนียวใส่กระติบ ข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวสังขยา ผ้าแพรเบี่ยงสำหรับเอาไว้พาดตัว มีเสื่อปูยาวตลอดแนวให้นั่ง ประมาณตี 5 กว่า เณรก็เริ่มเดินมา การตักบาตรข้าวเหนียว คนตักบาตรต้องนั่งคุกเข่า ไม่ยืนเสมอกับเณร

09.30 น. เรือที่จองไว้สำหรับพาไปเที่ยวถ้ำติ่งก็มารับตรงท่าเรือริมแม่น้ำโขงใกล้กับที่พัก เรือที่เราจองเป็นเรือของพี่ชายคนดูแลเกสต์เฮ้าส์ ค่าเรือคนละ 400 บาท เป็นแบบเหมาลำส่วนตัว (ดูไฮโซมาก 555+) ใช้เวลาเดินทางไปถึงถ้ำติ่งประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะเรือต้องวิ่งทวนแม่น้ำโขงขึ้นไป ก่อนเข้าชมต้องเสียค่าเข้าคนละ 20,000 กีบ (ราว 88 บาท)

ถ้ำจะมี 2 ส่วน คือ ถ้ำบนและถ้ำล่าง ตอนแรกก็นึกว่าถ้ำจะลึกมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ลึกเลย ถ้ำบนพอเข้าไปแล้วจะเป็นโถง มีพระพุทธรูปวางเรียงอยู่ ภายในถ้ำจะมืดต้องใช้ไฟฉายส่องดู ไฟฉายมีให้เช่าอยู่ด้านหน้าทางเข้าถ้ำ โดยหยอดตู้บริจาคตามกำลังศรัทธา ลงมาถ้ำล่างจะเป็นเวิ้งเข้าไป มีพระพุทธรูปวางอยู่มากมายเช่นเดียวกับถ้ำบน ใช้เวลาเดินชมประมาณ 30 นาที ขากลับให้เรือแวะหมู่บ้านที่มีการต้มเหล้าและทอผ้าไหม ผ้าไหมที่นี่ราคาถูกกว่าตลาดมืด อย่างที่ตลาดมืดขาย 200 บาท ที่นี่จะขาย 150 บาท และสามารถต่อราคาได้อีก ที่ขายถูกเพราะว่าเค้าไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ แม่เราก็ได้ผ้าไหมกลับมาอีกหลายผืน เพราะว่าราคายั่วใจเหลือเกิน ผืนนั้นก็สวย ผืนนี้ก็สวย 555+ ขากลับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

กลับถึงที่พักก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับไทย และไม่ลืมที่จะไปนั่งดื่มกาแฟที่ Joma Bakery Café สั่งกาแฟเย็น 1 แก้ว ราคา 20,000 กีบ (ราว 88 บาท) กับขนมปังซินนามอน ราคา 19,000 กีบ (ราว 84 บาท)

19.00 น. รถตู้ก็มารับไปส่งที่ท่ารถหลวงพระบาง การซื้อตั๋วรถขากลับเราไปซื้อที่ร้านตัวแทนขายที่อยู่แถวนั้นตั้งแต่ตอนไปเดินตลาดมืดเมื่อวาน ตั๋วรถ VIP Sleeper ราคาตั๋วคนละ 175,000 กีบ (ราว 777 บาท) รวมค่ารถตู้ไปส่งที่ท่ารถ คราวนี้ดีหน่อยที่ได้รถทัวร์มีห้องน้ำ แต่ห้องน้ำนี่แคบมาก เข้าไปยืนประตูแทบจะปิดไม่ได้ ต้องทำตัวลีบสุดฤทธิ์ รถออก 20.30 น. ก่อนจะขึ้นรถเค้าจะแจกถุงก๊อบแก๊บให้คนละใบเพื่อเอาไว้ใส่รองเท้า

ขากลับดีกว่าขามาตรงที่ไม่ต้องทนนั่งปวดหลัง แต่ฟีลกระแทกกระทั้นยังอยู่ครบทุกเม็ด เหมือนนอนอยู่ในเรือที่กำลังโดนคลื่นยักษ์ซัดอยู่ตลอดเวลา หลับๆ ตื่นๆ มาถึงขนส่งสายเหนือตอน 06.30 น. ใช้เวลา 10 ชั่วโมง เร็วกว่าตอนขาไปที่ใช้เวลาตั้ง 12 ชั่วโมง ขากลับก็นั่งรถย้อนตอนขามา ขนส่งสายเหนือ-ตลาดเช้าเวียงจันทน์-ด่านฝั่งลาว-ด่านฝั่งไทย

จบทริปพาพ่อกับแม่เที่ยวหลวงพระบางแล้วนะครับ แม้การเดินทางอาจจะไม่ได้สะดวกสบาย ต้องนั่งรถนานเป็นครึ่งวันทั้งไปและกลับต้องเดินขึ้นบันไดหลายขั้นทั้งชันทั้งสูง บางช่วงในใจก็นึกสงสารพ่อกับแม่ ว่าเราไม่น่าพาพ่อกับแม่มาเที่ยวในที่ลำบากอย่างนี้เลย แต่ว่าตลอดทริปนี้พ่อกับแม่ก็มีรอยยิ้มเสมอ แม่พูดมาคำนึงว่า “แม่อยากเห็นหลวงพระบางมานานแล้ว ได้มาเห็นสักที” ประโยคนี้แหละครับที่ทำให้ทริปนี้สมบูรณ์แบบ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านรีวิวการเที่ยวแบบบ้านๆ ของผมนะครับ ภาษาอาจจะไม่สละสลวย รูปอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่ผมหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับคนที่อยากจะไปลองสัมผัสกับหลวงพระบางดูสักครั้งในชีวิต

ประสบการณ์มาเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย แปะๆๆ !!

ระดับความสนุก: ✩✩✩✩✩


ชอบ บทความ มัชรูมทราเวล ทำไงดี…?
1.กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook 

www.facebook.com/mushroomtravel/

ครั้งแรกกับเมืองมรดกโลก…สะบายดี หลวงพระบาง was last modified: June 2nd, 2022 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version