Mushroom Travel LINE
เราช่วยคุณได้
@mushroomtour
จันทร์ - เสาร์
9:00-22:00
อาทิตย์
9:00-18:00
Call Mushroom Travel
Call Center
02 105 6234
จอง 6 คนขึ้นไป
จอง 6 คนขึ้นไป
02 105 6244
Loading...

ฮอกไกโด – โตเกียว 12 วัน กินจนต้องกลิ้งกลับบ้าน

โพสเมื่อ

05

ฮอกไกโด – โตเกียว 12 วัน กินจนต้องกลิ้งกลับบ้าน

ตอน Sapporo – Otaru – ตลาดปลา Sankaku – ทำซูชิกินเอง

Print

 สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากสูบข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่นจากในพันทิปอยู่หน้าคอมฯ มานาน ผมก็จะขอทำตัวมีคุณค่า โดยการรีวิวทริปญี่ปุ่นที่เพิ่งไปเที่ยวมา เพื่อ (น่าจะ) เป็นประโยชน์ให้กับท่านอื่นๆ คืนความสุขให้ทุกท่านบ้างนะครับ สำหรับทริปนี้จะแบ่งเป็น ฮอกไกโด 4 วัน แล้วก็โตเกียวอีก 8 วัน ตะลุยกินร้านที่เขาว่าเด็ด ทั้งที่เพื่อนๆ เคยแนะนำมาบ้าง หาเองจาก Tabelog บ้าง จาก ไกด์บุ๊คบ้าง หรือเจอร้านไหนน่ากินก็แวะกินเลยบ้าง ลองติดตามกันดูนะครับ

      หมายเหตุ แต่ละร้านที่ผมไปกินจะมีให้คะแนนด้วย ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง ทั้งนี้แต่ละท่านที่เคยไปมาแล้ว อาจมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้าง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า แต่ละร้านที่ไปกินและนำมารีวิว จะไม่ได้อธิบายการเดินทางแบบละเอียดมากนัก เพราะเชื่อว่าทุกคนคงจะพก Pocket Wi-Fi ไปกันอยู่แล้ว ซึ่ง Google Map นั้นถือเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุด สามารถพาท่านไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน ซึ่งผมจะบอกเป็นพิกัด GPS ไว้ให้ ส่วนบางร้านที่ Search ชื่อแล้วเจอเลย ผมก็จะบอกเอาไว้

 DAY 1 : ดอนเมือง – Narita Airport – New Chitose Airport – ฮอกไกโด

     ผมออกเดินทางในคืนวันศุกร์โดยสายการบิน Air Asia X ไปถึงสนามบินนาริตะที่โตเกียวเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ที่ Terminal 2 จากนั้นจะต้องเดินไปต่อที่ Terminal 3 เพื่อขึ้นสายการบิน Jetstar ไปลงสนามบิน New Chitose Airport เมือง Sapporo ที่ฮอกไกโดครับ
ตอนแรกก็หวั่นๆ กลัวว่าเครื่องจากไทยจะดีเลย์บ้าง กลัวหลง กลัวไปไม่ถูก กลัวสารพัดไปหมด แต่พอลงมาถึงปุ๊บ (สเต็ปกลัวเครื่องดีเลย์ผ่านไปอย่างราบรื่น เครื่องถึงก่อนกำหนด 10 นาทีด้วยซ้ำ) เฮ้ย! คือไม่หลงแน่ๆ ทางจาก Terminal 2 ไป 3 นี่ใครหลงมาจับผมมัดแล้วเฆี่ยนแรงๆ ได้เลย เขาทำทางไว้ชัดเจนมาก ระหว่างทางจะคอยอัพเดทตลอดว่าอีกกี่เมตรจะถึง ตามลู่สีฟ้าไปเลยครับ ส่วนลู่สีแดงเป็นทางสวนกลับจาก Terminal 3 มา 2

6      และแล้วก็มาถึง Terminal 3 ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีแบบชิลล์ๆ ไม่ต้องรีบ (จริงๆ เขามีรถรับส่งบริการด้วยนะ แต่เห็นเหลือเวลาเยอะเลยกระดี๊กระด๊า ประกอบกับความฟิตในวันแรกที่เพิ่งมาถึง เลยอยากเดินวอร์มน่องกันพลางๆ)

    8

 หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องบินไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงสนามบิน New Chitose และนั่งรถไฟมุ่งหน้าสู่ซัปโปโร โดยแพลนแรกของวันนี้คือการเดินเที่ยว Sapporo Autumn Fest ที่จัดขึ้นในสวน Odori ซึ่งวันที่เรามาถึงเป็นวันก่อนวันสุดท้ายของการจัดงานพอดี โชคดีมาก

 Print   สวนโอโดริจะมีลักษณะเป็นบล็อคๆ ยาวไปเรื่อยๆ ตลอดแนวถนน แต่ละบล็อคก็จะมีร้านค้ามาตั้งขายของกินเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ เนื้อย่าง และของปิ้งย่างทั้งหลายแหล่ ซอฟท์ครีม ปู ซูชิ เบอเกอร์ ราเมง สารพัดอย่าง

14

  13

15

    ในเมื่อมาถึงเมืองซัปโปโรแห่งภูมิภาคฮอกไกโดทั้งที สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือเบียร์ซัปโปโรนั่นเอง!!

    หลังจากที่เราเปรมกับการเดินหาของกินกำลังดี กรึ่มกำลังงามที่สวนโอโดริแล้ว จุดหมายถัดไปของพวกเราก็คือ Sapporo Bier Garten!!!

 Sapporo Bier Garten

พิกัด : Search ชื่อใน Google Map แล้วเจอเลย
ประเภท : เนื้อย่างเจงกีสข่าน / เบียร์สดSapporo
คะแนน : 4.5/5
Sapporo Bier Garten นี้จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงเบียร์ Sapporo Beer Museum ซึ่งในตอนแรกพวกเราวางแผนว่าจะมาเดินชมโรงเบียร์ ชิมเบียร์ฟรี หลังจากนั้นก็มานั่งย่างเนื้อจิบเบียร์ต่อที่นี่ แต่พอรู้ว่ามี Autumn Fest เราเลยตัดแผนการเดินชมโรงเบียร์ออก (โรงเบียร์ปิด 18.00 ต้องเข้าชมรอบสุดท้ายก่อน 17.30) แล้วไปลุยเนื้อย่างเจงกีสข่านกันเลย

17         ขอเล่านิดหนึ่งว่าระหว่างทางที่กำลังเดินไป Sapporo Bier Garten มันเปลี่ยวและมืดมาก ไม่มีเพื่อนร่วมทางหรือคนรอบข้างที่มุ่งหน้าไปที่นี่เลย แต่พอไปถึงเท่านั้นแหละ โอโห! คนเยอะมหาศาล ส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่นที่ขับรถมาจากถนนใหญ่ ซึ่งผู้จะเข้าไปนั่งกินต้องจองคิวเสียก่อน คิวยาวมากรอเกือบชั่วโมง ทั้งๆ ที่สถานที่ใหญ่มาก แถมยังมีตั้ง 2 อาคารไว้รองรับลูกค้า แต่เนื่องจากแถวนั้นมีห้างสรรพสินค้าให้เดินเล่นได้ พนักงานที่รับจองจึงบอกเราว่าควรเดินเล่นอยู่ตรงไหนถึงจะได้ยินเสียงประกาศชื่อเมื่อถึงคิว ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ารอนาน เพราะสถานที่เขาตกแต่งสวยงาม เดินเล่นได้เพลินๆ
สักพักก็ถึงคิว พอเข้ามาถึงปุ๊บพนักงานก็จะแจกถุงพลาสติกให้ ตอนแรกก็งงว่ากินไม่หมดก็สามารถกวาดใส่ถุงกลับบ้านได้เหรอ? อ๋อเปล่า เขาให้เราเอาไว้ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตหรือเสื้อหนาวที่เราใส่มา หรือนำมาคลุมกระเป๋าเป้ทั้งหลายแหล่เพื่อกันกลิ่นติดเสื้อผ้าข้าวของต่างหาก เพราะในนั้นกลิ่นจะฟุ้งตลบอบอวลไปหมด ถือว่าเขาละเอียดดีจริงๆ บนจานก็จะมีผ้ากันเปื้อนและกระดาษแบบใช้ครั้งเดียวไว้ให้ด้วย

19 20

     สำหรับท่านๆ ที่เคยทานเนื้อแกะจะรู้ดีว่าเนื้อแกะมันจะมีกลิ่นคาวเฉพาะตัว ซึ่งถ้าใครไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลย ตัวผมเองปกติก็ไม่ได้ชอบเนื้อแกะมากสักเท่าไหร่ แต่ต้องบอกเลยว่าเนื้อแกะที่นี่กลิ่นคาวน้อยกว่าที่อื่นที่เคยๆ กินมา และที่สำคัญคือเนื้อนุ่มมาก บวกกับน้ำจิ้มที่มีความหอมและรสเปรี้ยว จึงช่วยกลบกลิ่นคาวได้ พอเคี้ยวแล้วกลืนก็ลื่นปรื๊ดๆ ลงคอได้อย่างไม่ยากเย็น แถมยังมีเบียร์สด Sapporo ที่เป็นตัวผสานให้ทุกอย่างลงไปกองในท้องได้อย่างราบรื่น

21

     สั่งของหวานมาปิดเกมเสียหน่อย อร่อยครับ พุดดิ้งนุ่มๆ ลื่นๆ ไม่หวานเกินไป รสชาติกำลังดี
สรุป : ร้านนี้เด็ดมากครับสำหรับการจิบเบียร์พร้อมกับแกล้มที่เข้ากันเป็นอย่างดี ตัวเนื้อแกะมีความสาบแต่ไม่มาก จิ้มกับน้ำจิ้มที่เขาให้มาพร้อมกับบีบเลมอนลงไปหน่อย ลงตัวมากครับ ลืมกลิ่นสาบๆ ไปเลย เบียร์สดซัปโปโรก็นุ่มลื่นมากๆ ตอนนี้ขึ้นแท่นเบียร์ที่ชอบที่สุดเป็นอันดับ 1 ไปแล้วครับ

**————————————————————————————————————-**

DAY 2 : โอตารุ (Otaru)

     วันนี้เราตั้งใจจะไปเริ่มกันที่ตลาดปลา Sankaku ที่โอตารุครับ โดยการไปโอตารุนี่ไม่ยากเลย นั่งรถไฟจากสถานี Sapporo ไปประมาณ 45 นาทีก็ถึงแล้ว ซึ่งตลาดปลาที่เราจะไปกันนั้นก็อยู่ใกล้กับสถานีมาก เรียกว่าออกจากสถานี มองไปทางซ้ายก็จะเห็นบันได พอเดินขึ้นไปก็ถึงแล้วครับ

Sankaku Fish Market

พิกัด : Search ชื่อใน Google Map แล้วเจอเลย
ประเภท : ซูชิ ซาชิมิ ข้าวหน้าปลาดิบ ของสด และอีกมากมาย
สำหรับที่นี่ก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก เป็นตลาดขนาดย่อมๆ ที่มีร้านขายปู ขายของสด ปลาดิบ ซูชิ ซาชิมิทั่วไป

23 25

และแล้วก็มาถึงร้านที่ผมไปกินบ้าง

27
ของทานเล่น แจกฟรีทุกโต๊ะ
28
จานหลักมาแล้ว

สรุป : ทุกอย่างสดอร่อยครับ กุ้งเด้งๆ หวานๆ ไข่หอยเม่นไม่แน่ใจว่าเป็นแบบแช่น้ำเกลือมาหรือเปล่าเลยออกเค็มๆ แต่ก็ไม่คาวเลยครับ ส่วนไข่แซลมอนก็กรุบๆ กัดแล้วแตกน้ำท่วมปาก ฟินมากเลยขอบอก โดยร้านนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปหน้าร้านมา แต่ตลาดนี้เป็นตลาดเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก มีร้านอยู่เพียง 5-6 ร้านเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าคุณภาพน่าจะพอๆ กันหมด ถ้าคุณชอบเมนูร้านไหนก็เข้าไปได้เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

     30

เสร็จจากตลาดปลาก็ไปเดินเล่นที่คลองโอตารุกัน (ในโอตารุนีสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะอยู่ใกล้กันหมดครับ เที่ยวทั้งวันเสียค่ารถไฟเฉพาะไป-กลับ Sapporo-Otaru เท่านั้นเอง) มีเรื่องเล่านิดหนึ่งครับ ระหว่างทางที่กำลังจะเดินไปคลองโอตารุนั้น เราก็เจอชายหญิงชาวญี่ปุ่นสองคน เขาก็เข้ามาถามเป็นภาษาอังกฤษว่าพวกเราพูดภาษาอังกฤษได้ไหม เขาก็บอกว่าที่ร้านเขาจัดอีเว้นท์ขึ้นมา คือจะสอนนักท่องเที่ยวปั้นซูชิ แล้วเราก็จะได้กินซูชิที่เราปั้น และอีกส่วนก็จะเป็นซูชิที่เชฟปั้นให้ตามปกติ มีทั้งหมด 2 รอบ คือรอบเที่ยงกับรอบเย็น ซึ่งเราก็เพิ่งฟินกับตลาดปลามา ประกอบกับหนังท้องยังตึงๆ ก็เลยขอโบรชัวร์เอาไว้และขอตัดสินใจก่อน ถ้าจะไปก็คงไปช่วงมื้อเย็น แต่ยังไม่รับปากนะ เพราะเราเองก็ยังไม่แน่ใจว่าวันนี้จะไปไหน และทำอะไรต่อบ้าง ฝ่ายนู้นเขาก็โอเคแล้วก็ขอบคุณ ไปตามเรื่อง แล้วก็แยกย้ายกันไป แต่เรื่องยังไม่จบเท่านั้น เดี๋ยวจะมาเล่าต่อครับ

     หลังจากนั้นก็เดินเรื่อยๆ ไปตามถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) (โอตารุเป็นเมืองเล็กๆ ครับ เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอครบเกือบทุกอย่างที่เป็นร้านเด็ดๆ ที่คนอื่นเคยรีวิวเอาไว้ ไม่ต้องตั้งใจหาก็เจอครับ)

32
ร้าน Rokkatei GPS 43.191755, 141.00752
33
ชูครีม ส่วนตัวผมเฉยๆ คะแนน 3/5

     แต่ขนมที่เขาวางขายใกล้ๆ กันนี่สิครับ ขนมซองสีฟ้านี่ถูกใจผมมาก คืออธิบายไม่ถูก จะเรียกว่าเวเฟอร์มันก็ไม่ใช่ แต่มันจะกรอบๆ เคลือบช็อกโกแลต แล้วข้างในก็มีกลิ่นคล้ายๆ คาราเมล สรุปว่าต้องไปลองกันเองครับ อร่อยดี คะแนน 4/5 เลยซื้อกลับมาบ้านเพียบ และตอนนี้ก็หมดแล้ว

 34  35

37

และแล้วเราก็มาถึงพระเอกครับ ร้านนี้คือร้านที่ผมตั้งใจมากินที่ Otaruโดยเฉพาะ ชื่อร้าน LeTAO ครับ

 38

ชิ้นนี้พระเอกเลย (สีขาว) อร่อยมาก ปีที่แล้วได้ลองกินที่ Pablo ว่าอร่อยแล้ว แต่อันนี้คือทิ้งไม่เห็นฝุ่นเลยครับ ชอบมาก คือเป็นชีสเค้กที่รสชาติออกจะมันๆ หอมๆ อยู่ในปาก แต่ไม่เปรี้ยว ซึ่งผมชอบตรงจุดนี้มากๆ ครับ เนื้อชีสเค้กแน่นแต่เบา คือรสมันถึง แต่ไม่ฝืดคอเลยครับ คะแนน 5/5 ไม่ต้องสืบ

 39

ชิ้นสีน้ำตาลรสช็อกโกแลต รสชาติก็อร่อยนะครับ แต่กลิ่นช็อกโกแลตมันกลบกลิ่นชีสไปหมด เลยได้ความอร่อยไม่เต็มที่คะแนน 3.5/5

 40

ตัวโรลนี้ก็อร่อยไปอีกแบบครับ จะมีเนื้อเค้กมาแก้เลี่ยนด้วย ส่วนที่เป็นไส้ก็หอมเข้มข้นเหมือนกัน แต่อย่างไรผมก็ชอบชิ้นแรกมากที่สุด คะแนน 4/5

     หลังจากกินจนท้องป่องแล้วเราก็ไปเดินเล่นที่ศาลเจ้า Suitengu ครับ ที่นี่คนสูงอายุหรือคนที่มีปัญหาเรื่องขาและหัวเข่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะครับ เพราะทางขึ้นค่อนข้างชันแล้วก็สูงเอาเรื่อง

42 43

     พอลงมาจากศาลเจ้าก็หิวอีกแล้ว เลยตกลงไปที่ Denuki Koji (GPS 43.197418, 141.002932) โดยที่นี่จะเป็นเวิ้งเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก มีร้านอาหารประมาณ 20ร้านเห็นจะได้ แต่ละร้านก็เป็นร้านเล็กๆ ที่นั่งไม่เยอะ ทั้งนี้ไก่ทอด Naruto ชื่อดังของโอตารุก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่เราไม่ได้กินครับเพราะเราจะไปกินเทมปุระกัน

45
บรรยากาศหน้าร้าน
46
เมนู

     ที่นี่พอเราสั่งอาหารปุ๊บ เจ้าของร้านก็จะผสมแป้งแล้วก็หยิบวัตถุดิบมาทอด เสิร์ฟให้เราเป็นชิ้นๆ ตรงตะแกรงที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก็จะมีเกลืออยู่ 3 ชนิด เอาไว้จิ้มกินกับเทมปุระ ขอบอกว่าน้ำจิ้มเทมปุระนี่ไม่ได้แตะเลยครับ เพราะเกลือจะดึงรสหวานของวัตถุดิบออกมา ทำให้เทมปุระแต่ละชิ้นอร่อยมากๆ ประสบการณ์ใหม่เลยครับ ส่วนข้อดีของเทมปุระร้านนี้อีกอย่างที่ผมว่าแปลกใหม่ไม่เหมือนใครก็คือแป้งเขาจะบางครับ แต่มีความกรอบ ทำให้ไม่อมน้ำมันเลยไม่เลี่ยนครับ คะแนน 4/5

49 50

52

     เสร็จจากเทมปุระก็ต่อด้วยของหวานที่อยู่ในเวิ้ง Denuki koji เหมือนเดิม ลองเดินๆ หาดู จะเป็น Soft Cream เมลอน-วานิลลา ในลูกเมล่อนครับ ซึ่งเมล่อนที่ญี่ปุ่นนี่หอมหวานมาก ตัว Soft Cream ก็ทำออกมาหวานกำลังดี หอมกลิ่นเมล่อนสุดๆ เหมือนกัน

     พออิ่มจากของหวานเราก็ไปเดินเล่นกันครับ จุดหมายปลายทางคือถนนสายซูชิ ( Sushiya Godai : GPS 43.194602, 141.000518 ) ระหว่างทางก็เจอเข้ากับร้านปาจิงโกะ เลยลองเล่นดูสักครั้งพอเป็นประสบการณ์ ก็แลกลูกเหล็กกันคนละ 1,000 เยน สรุปว่าเสียหมด ไม่ได้อะไรกลับมาเลย แถมยังเล่นกันไม่เป็นด้วย

     หลังจากเสียทรัพย์ไปฟรีๆ แลกกับประสบการณ์ร้านปาจิงโกะ ก็ตกลงกันว่าจะไปกินซูชิที่ถนนสายซูชิที่ร้าน MASAZUSHI ซึ่งเป็นร้านดังเลยว่าจะไปลองกิน เดินไปสักพักก็เจอร้าน แต่เนื่องจากยังไม่หิวมาก เลยเดินเล่นดูร้านรวงข้างหน้าก่อนแล้วค่อยวกกลับมา และระหว่างทางนั้นเอง! พวกเราก็บังเอิญเจอกับชายหญิงญี่ปุ่นสองคนที่เราเจอตั้งแต่เช้าเข้าอีกครั้ง ดั่งพรหมลิขิตเพราะเขาสองคนก็จำพวกเราได้ เลยเดินเข้ามาถามว่าพวกเราเป็นยังไงบ้าง เที่ยวสนุกไหม ไปไหนกันมา แล้วตัดสินใจได้หรือยังว่าจะมาลองทำซูชิที่ร้านเราไหม พวกเราก็อ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยความที่ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าจะไปกินมาสะซูชิ เลยปฏิเสธไปอีกครั้งด้วยความเกรงใจสุดๆ เขาก็โอเค ไม่เป็นไร แล้วก็แยกจากกันไปอีกรอบ…

      แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเรื่องจบลงแค่นี้แล้วพวกผมกลับไปนั่งกินมาสะซูชิตามที่ตั้งเป้าไว้ ผมก็คงไม่เล่าเรื่องนี้แต่แรก เพราะหลังจากที่แยกกับชาวญี่ปุ่นสองคนนั้นสักพัก เราก็เดินเล่นจนเริ่มหิว ก็เดินกลับไปกินซูชิมาสะตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เดินไปเรื่อยๆ พลันก็เหลือบไปเห็นร้านฝั่งตรงข้าม ก็เจอชาวญี่ปุ่นสองคนนั้นอีกแล้ว ยืนอยู่หน้าร้านซูชิ (ที่เขาเป็นเจ้าของเอง) พร้อมกับมองกลับมาที่พวกเราทั้ง 3 คน ด้วยความตกใจปนๆ กับที่รู้สึกเกรงใจที่ปฏิเสธเขาไปถึงสองครา จึงรีบหลบตากลับมาแบบไม่ตั้งใจ

     พวกเราก็คุยกันว่าจะเดินเลยร้านมาสะไปก่อนละกัน เดี๋ยวเขาเห็นเราเข้าร้านอื่นต้องเสียใจแน่ๆ ให้เขากลับเข้าร้านแล้วเราค่อยเดินกลับมาใหม่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เดินกลับเข้าร้านอย่างที่เราตั้งเป้าไว้ ทั้งสองคนวิ่งตรงมาที่พวกเราพร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า ร้านเขาซื้อปลามาไว้แล้วทั้งตัว เพื่อตั้งใจเอามาแล่โชว์ให้ผู้ที่มาลงคอร์สทำซูชิได้ดู ถึงอย่างไรเขาก็ซื้อปลามาแล้ว ถ้าไม่แล่วันนี้ปลาก็เสียอยู่ดี ไหนๆ จะต้องแล่แล้วก็อยากให้มีคนมาดูสิ่งที่เขาอยากจะสาธิต แต่เดินหาลูกค้ามาทั้งวันแล้วก็ยังไม่มีใครตกลงปลงใจมาลงคอร์สรอบเย็นกับพวกเขาเลย พวกคุณรับราคาได้ที่เท่าไหร่ ถ้าเป็นไปได้จะลดราคาให้เต็มที่เลย (ราคาที่พวกเขาบอกพวกผมแต่เช้าคือหัวละ 3,500 เยน ซึ่งจริงๆ แล้วราคานี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ก็สมเหตุสมผลดี เพียงแต่จังหวะนั้นอยากตามรอยร้านที่เขาว่าเด็ดของโอตารุ ก็เท่านั้นเอง)

     สุดท้ายก็สรุปว่าเอาแบบนี้ได้ไหม คือพวกผมจะขอลงคอร์สแค่คนเดียว แล้วเพื่อนๆ อีกสองคนก็นั่งดู เสร็จแล้วก็จะสั่งซูชิที่ร้านนั่นแหละกินกันเป็นมื้อเย็น (แทนร้านมาสะ) ไปเลย เขาก็โอเคแล้วก็นำทางไปที่ร้าน จังหวะแรกที่เข้าไปในร้านปุ๊บ ก็ตกใจนิดหน่อยเพราะในร้านมีแต่คนของทางร้านทั้งนั้น ไม่มีลูกค้าอื่นๆ อยู่ในร้านสักคน เราก็คิดว่าจะโดนหลอกมาทำอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่มีลูกค้าคนอื่นนั่งกินอยู่เลย ตรงหน้าเซฟก็มีมีดสารพัดแบบเรียงเป็นตับ รู้สึกได้ถึงความคมกริบ นี่เราจะได้กลับออกไปแบบมีไตครบทั้ง 2 ข้างหรือเปล่า แล้วก็นึกย้อนกลับไปว่าทำไมเขาถึงติดใจพวกเรา 3 คนขนาดนั้น อยากชวนเข้าร้านมาให้ได้ โอ๊ย! คิดไปก็เวียนหัว ที่นี่ญี่ปุ่นนะไม่มีไรหรอก (มั้ง)

     เรานั่งหน้าเคาน์เตอร์สักพักเชฟก็เอาปลาแซลมอนตัวโตขึ้นมาวาง พร้อมอธิบายให้ฟังว่าปลาแซลมอนตัวนี้มาจากไหน แล้วก็เริ่มแล่ปลาให้ดู โดยทั้งร้านจะมีคนพอพูดภาษาอังกฤษได้ 2 คน ดังนั้นเขาจึงช่วยแปลภาษาญี่ปุ่นเป็นอังกฤษให้เราฟัง

Print

Print

     จากนั้นจึงสาธิตวิธีการเตรียมข้าวซูชิ โดยการเอามาแผ่ๆ ไว้ในถังไม้ แล้วก็ใส่น้ำส้มสายชูลงไป เชฟก็ปั้นข้าวเปล่าๆ มาให้พวกเราชิมดู แล้วบอกให้จำรสชาติไว้

59

     แล้วก็เอาข้าวซูชิที่เตรียมพร้อมสำหรับปั้นซูชิ (ข้าวที่คลุกกับน้ำส้มสายชู แล้วพักไว้ประมาณ 30-60 นาที) มาปั้นให้เราชิมอีกที เชฟอธิบายว่าข้าวที่เพิ่งคลุกน้ำส้มสายชูเสร็จใหม่ๆ รสเปรี้ยวของน้ำส้มสายชูจะจัดมาก แต่พอทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที รสเปรี้ยวจัดนั้นก็จะหายไป เหลือแค่รสเปรี้ยวอ่อนๆ แบบที่พวกเราคุ้นเคยกันนั่นเอง หลังจากนั้นก็นำปลามากุโร่ หมักในโชยุออกมา เชฟบอกว่าสมัยก่อนไม่มีพวกช่องแช่แข็งเหมือนสมัยนี้ นี่จึงเป็นวิธียืดอายุวัตถุดิบหรือก็คือการถนอมอาหารนั่นแหละ

61
เชฟโชว์เทคนิคการตัดใบไผ่ตกแต่งจาน
60
ซูชิที่เชฟปั้น

     เซฟสอนว่าเวลาเสิร์ฟซูชิหรือซาชิมิ จะนิยมใช้ใบไผ่มาตกแต่งจานหรือใช้รองซูชิ เพราะว่าใบไผ่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และอีกอย่างคือใบไผ่จะแห้งไวมาก ฉะนั้นจึงใช้ใบไผ่เป็นตัววัดว่าซูชิหรือซาชิมิจานนั้นถูกปั้นทิ้งไว้นานหรือยัง (โดยดูจากความสดของใบไผ่) หลังจากขั้นตอนนี้ เซฟก็เชิญให้ไปอยู่หลังเคาน์เตอร์กับเซฟเพื่อที่จะสอนทำซูชิ เพื่อนๆ จึงตกลงกันให้ผมเป็นคนไปลองทำ

Print

พอผมทำเสร็จปุ๊บ ทั้งเซฟและเจ้าของร้านก็ชวนเพื่อนผมที่นั่งดูอยู่ ไปลองทำด้วย ทั้งที่จริงๆ เราคุยกันว่าจะจ่ายเฉพาะคนเดียว นับว่าใจดีมาก และหลังจากเพื่อนคนหนึ่งไปลองปั้น เขาก็มาชวนเพื่อนคนที่เหลือไปปั้นด้วย ผมกับเพื่อนเลยคุยกันว่า ถ้างั้นตอนคิดเงินเราต้องบอกเขานะว่าเราจะขอจ่ายของทั้ง 3 คนเลย เพราะจากที่ไม่คิดจะเข้ามาลอง กลับกลายเป็นรู้สึกสนุกมาก ได้ความรู้และได้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ ดีกว่าไปนั่งกินเฉยๆ เยอะเลย ทุกคนในร้านอัธยาศัยดี ทั้งๆ ที่ก็สื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องแต่ก็ประทับใจมากจริงๆ

Print
ถ่ายรูปซูชิที่ตัวเองปั้นกับเชฟ
66
ดีไซน์สวยๆ ที่เชพปั้นซูชิให้เราดู

    หลังจากจบคอร์ส ก็มีลูกค้าคนญี่ปุ่นเข้ามาที่ร้านหลายรายอยู่เหมือนกัน พอเหลือบดูนาฬิกาจึงรู้ว่าตอนที่พวกเราเข้าร้านมานั้นยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น เลยค่อนข้างเงียบ

Print
ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก

     พอถึงเวลาเช็คบิลล์พวกเขาก็คิดเงินเราแค่ 3,500 เยนจริงๆ เราก็ปฏิเสธเพราะได้ฝึกทำซูชิครบทั้ง 3 คน ให้คิดราคาเต็มมาแต่เค้าก็ปฏิเสธ ทางเราก็ไม่ยอม สรุปว่าเขาคิดราคา 1,700 ต่อหัว ซึ่งค่าใช้จ่ายก็คือ 5100 เยนต่อ 3 คน เราก็ออกจากร้านแวะซื้อน้ำที่ Lawson ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา เอาของฝากมาให้ เพราะก็ประทับใจกับแก๊งเราเหมือนกัน

Print

พอถึงเวลาเช็คบิลล์พวกเขาก็คิดเงินเราแค่ 3,500 เยนจริงๆ เราก็ปฏิเสธเพราะได้ฝึกทำซูชิครบทั้ง 3 คน ให้คิดราคาเต็มมาแต่เค้าก็ปฏิเสธ ทางเราก็ไม่ยอม สรุปว่าเขาคิดราคา 1,700 ต่อหัว ซึ่งค่าใช้จ่ายก็คือ 5100 เยนต่อ 3 คน เราก็ออกจากร้านแวะซื้อน้ำที่ Lawson ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มก็วิ่งกระหืดกระหอบตามมา เอาของฝากมาให้ เพราะก็ประทับใจกับแก๊งเราเหมือนกัน

     นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ประทับใจกับความเป็นกันเอง ความสนุกสนาน และความมีน้ำใจของคนญี่ปุ่นในทริปนี้ สรุปวันที่ 2 ก็จบลงไปเพียงเท่านี้ ใครที่อยากไปสนุกสนานเฮฮาแบบพวกเรา ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสายซูชิ ชื่อว่า ISAMI พิกัด 43.194726, 141.000652 ครับ