หนึ่งในประเทศท่องเที่ยวสุดฮิตของคนไทย ก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจุดเช็คอินมักอยู่ในเมืองใหญ่อย่าง โตเกียว โอซาก้า เกียวโต หรือฮอกไกโด แต่พี่เห็ดอยากบอกว่าญี่ปุ่นมี 8 ภูมิภาค 47 จังหวัดเชียวนะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ จังหวัดโออิตะ (Oita) แห่งภูมิภาคคิวชู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ติดกับจังหวัดฟุกุโอกะ มีเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่าง เมืองเบปปุ (Beppu) และ เมืองยุฟุอิน (Yufuin) ที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนและออนเซ็น ชนิดที่ว่าสามารถมองเห็นไอน้ำพวยพุ่งขึ้นเหนือตัวเมืองได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและเมืองเก่าที่น่าตามรอยอีกเพียบ ใครเริ่มๆ สนใจอยากไปเที่ยว ตามพี่เห็ด มัชรูมทราเวล มาเลยจ้า จะพาไป ทัวร์ญี่ปุ่น กับ 12 ที่เที่ยวโออิตะ ชิลกับบรรยากาศสโลว์ไลฟ์ ที่เพื่อนๆ จะต้องตกหลุมรัก
1. บ่อนรก จิโกกุ เมกุริ (Jigoku Meguri)

ที่เที่ยวโออิตะ แห่งแรกเริ่มต้นที่ เมืองเบปปุ (Beppu) เมืองที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อน เนื่องจากตัวเมืองตั้งอยู่ระหว่างทะเลและภูเขา จึงเป็นต้นกำเนิดของบ่อน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กิจกรรมท่องเที่ยวยอดฮิตที่ไม่ไปก็เหมือนไม่ถึงเบปปุ นั่นก็คือ การทัวร์บ่อนรก หรือที่เรียกว่า จิโกกุ เมกุริ มีอยู่ 8 บ่อด้วยกัน สมกับฉายา แปดขุมนรกแห่งเบปปุ โดยบ่อที่มีอุณหภูมิสูงสุด อยู่ที่ 150 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้อาหารสัตว์อย่างฮิปโป ลิง ม้าแคระ หรือนกฟลามิงโก้อีกด้วย

น้ำพุร้อนในแต่ละบ่อจะมีสีน้ำแตกต่างกันไป เกิดจากแร่ธาตุชนิดต่างๆ อย่างเช่น บ่ออุมิ จิโกกุ (Umi Jigoku) สีฟ้าเขียว คล้ายกับสีน้ำทะเล, บ่อคามาโดะ จิโกกุ (Kamado Jigoku) สีฟ้าสดใส, บ่อโอนิอิชิ โบสุ จิโกกุ (Oniishi Bozu Jigoku) สีเทา คล้ายโคลนที่กำลังเดือด หรือจะเป็น บ่อชิโนเกะ จิโกกุ (Chinoke Jigoku) สีส้มแดง คล้ายกับสีเลือด เป็นต้น
2. บ่อทรายร้อนหาดเบปปุ (Beppu Beach Sand Bath)

ยังอยู่กันที่เมืองเบปปุ กับอีกหนึ่งกิจกรรมเอาใจคนรักสุขภาพอย่างการสปาทราย อบทรายร้อน ที่ บ่อทรายร้อนหาดเบปปุ พร้อมกับนอนชมวิวทะเลฟังเสียงคลื่น ทรายร้อนของชายหาดเบปปุได้รับความร้อนจากน้ำร้อนที่มีโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตเข้มข้น ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผ่อนคลายความเมื่อยล้า กระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย และช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น โดยนักท่องเที่ยวจะได้สวมชุดยูกาตะพร้อมด้วยผ้าขนหนูไว้ห่มระหว่างที่อบทราย ใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็เรียบร้อย
3. ยุฟุอิน ออนเซ็น (Yufuin Onsen)

มาถึงโออิตะทั้งที ต้องไม่พลาดไฮไลต์อย่างการแช่ออนเซ็นที่ ยุฟุอิน ออนเซ็น แหล่งน้ำพุร้อนกลางแจ้งในเมืองยุฟุอิน เมืองพักตากอากาศสำหรับชาวญี่ปุ่น อยู่ห่างจากเมืองเบปปุราวๆ 10 กิโลเมตร เหมาะกับการเที่ยวแบบ One Day Trip โดยออนเซ็นที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพ เพราะระหว่างที่นักท่องเที่ยวแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนเพื่อผ่อนคลาย ยังสามารถชื่นชมความงามของ ภูเขายุฟุ (Mount Yufu) ได้อีกด้วย ออนเซ็นกลางแจ้งจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองยุฟุอิน การเดินทางมายังที่นี่ ใครมาเที่ยวด้วยตัวเองแนะนำให้นั่งรถไฟ Yufuin No Mori ขบวนสีเขียวสลับทองจากฮากาตะ ในฟุกุโอกะ มายังเมืองยุฟุอิน เป็นวิธีเดินทางที่สะดวกมากๆ แถมระหว่างทางมีวิวหุบเขา ทุ่งหญ้า และธารน้ำใส ไว้ให้เก็บภาพสวยๆ ด้วยนะ
4. หมู่บ้านยุฟุอิน ฟลอรัล วิลเลจ (Yufuin Floral Village)

ไปช้อปปิ้งและหามุมถ่ายภาพสุดคิวท์กันต่อที่ หมู่บ้านยุฟุอิน ฟลอรัล วิลเลจ หมู่บ้านสไตล์ยุโรปที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก คอตส์โวลส์ (Cotswolds) ประเทศอังกฤษ หลายคนคงคุ้นเคยกันดีในฉากของภาพยนตร์ในตำนานอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) ถ้าใครชอบความแฟนตาซี เทพนิยายสไตล์ยุโรป หรือการ์ตูนน่ารักๆ ต้องมาปักหมุดเช็คอินให้ได้ โดยภายในหมู่บ้านเต็มไปด้วยร้านค้าขนาดเล็กที่ตั้งเรียงรายสองข้างทาง มีร้านสัตว์เลี้ยงที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ทักทายเจ้านกฮูก ซื้อของที่ระลึก ของพรีเมียมการ์ตูนต่างๆ ถ้าเหนื่อยแล้วก็นั่งพักในคาเฟ่ ชิมขนมท้องถิ่นแสนอร่อย เป็นอีกหนึ่ง ที่เที่ยวโออิตะ ที่พี่เห็ดแนะนำว่าไม่ควรพลาด
5. ทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake)

ออกจากหมู่บ้านยุฟุอิน ฟลอรัล วิลเลจ จะได้พบกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของโออิตะ คือ ทะเลสาบคินริน ซึ่งในช่วงเช้าจะมีไอหมอกลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ และอุณหภูมิของน้ำจะอบอุ่นกว่าทะเลสาบทั่วไป เพราะมีต้นกำเนิดจากน้ำพุร้อน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงที่มีชื่อเสียงอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเดินตามเส้นทางเพี่อชมพืชและสัตว์หายากได้ ต่อด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่อยู่ระหว่างหมู่บ้านยุฟุอินและทะเลสาบคินริน ซึ่งหากเพื่อนๆ เดินไปถึง ศาลเจ้าเท็นโซะ (Tenso Shrine) จะได้เห็นภาพสะท้อนของภูเขาที่ปรากฎเหนือผืนน้ำราวกับกระจก บวกกับชายฝั่งมีโรงแช่ออนเซ็น, ร้านอาหาร และคาเฟ่บรรยากาศดีเปิดให้บริการ เป็น ที่เที่ยวโออิตะ ที่มาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
6. ถนนยุโนะสึโบะ (Yunotsubo Kaidou)

ถึงเวลาของการช้อปปิ้งที่ ถนนยุโนะสึโบะ ถนนคนเดินที่เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟยุฟุอินและทะเลสาบคินริน เป็นถนนท่องเที่ยวสายหลักของเมือง มีความยาวประมาณ 800 เมตร สองฝั่งถนนเป็นร้านค้าและบ้านเรือนสลับกัน โดยของขายมีตั้งแต่กิฟต์ช็อปน่ารัก เสื้อผ้าแฟชั่น ของที่ระลึกจากจากสตูดิโอ Ghibli เจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง Grave of the Fireflies, Totoro และ Ponyo ตลอดจนคาเฟ่ที่มีขนมพื้นเมือง และถ้าเพื่อนๆ เดินไปตามถนนสายนี้ จะได้พบกับตรอกที่ตกแต่งด้วยสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม มีกลิ่นอายของสมัยเอโดะ จนสามารถจินตนาการได้ถึงภาพซามูไรถือดาบเดินอยู่รอบเมือง ด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างสงบ ไม่แออัดวุ่นวาย มองไปเห็นวิวภูเขายุฟุ จึงเหมาะสำหรับคนที่อินกับการช้อปปิ้งแบบสโลว์ไลฟ์
7. ถนนนิโอซะ (Nioza Historial Road)

พี่เห็ดขอพาเพื่อนๆ มาย้อนเวลาหาอดีตที่เมืองเก่า อุซุกิ (Usuki) ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังคือ ถนนมิโอซะ หรือ ถนนสายประวัติศาสตร์ มีความยาวประมาณ 200 เมตร สองข้างทางเป็นอาคารบ้านเรือน วัด และศาลเจ้า ที่คงไว้ด้วยสถาปัตยกรรมในสมัยเอโดะ ส่วนเส้นทางเดินปูด้วยหินแบบโบราณ มีความเก่าแก่ แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรม ในช่วงศตวรรษที่ 16 หรือราวปี ค.ศ.1603 เมืองอุซุกิอยู่ภายใต้การปกครองของซามูไร ได้รับเอาวัฒนธรรมมาอย่างเต็มเปี่ยม และยังคงอนุรักษ์ไว้จวบจนปัจจุบัน กิจกรรมน่าสนใจในย่านนี้คือ การปั่นจักรยานเพื่อสัมผัสร่องรอยของยุคสมัย และการเข้าชมบ้านพักซามูไรที่เคยปกครองเมืองอุซุกิอย่าง ตระกูลอินะบะ (Inaba Residence) และ ตระกูลมะรุโมะ (Marumo Residence) และ ที่เที่ยวโออิตะ แห่งนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ทิวทัศน์เมืองยอดนิยมของญี่ปุ่นอีกด้วย
8. ซากปราสาทอุซุกิ (Usuki Castle)

สำรวจอารยธรรมยุคเอโดะกันต่อ ที่ ซากปราสาทอุซุกิ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1562 แต่เดิมปราสาทแห่งนี้เป็นเกาะที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเล แต่ภายหลังมีการปรับพื้นที่เพื่อให้สามารถเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ได้ รอบปราสาทจึงคึกคักและกลายเป็นเมืองอุซุกิ แม้ปัจจุบันจะถูกทิ้งร้างและกลายเป็นอุทยานซากปราสาท แต่นักท่องเที่ยวสามารถไปชมความสง่างามของกำแพงหินและป้อมปราการซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองอุซุกิได้ และหากเพื่อนๆ มาเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิจะมองเห็นซากุระป่าที่เบ่งบานอีกด้วย
9. พระพุทธรูปหินอุซุกิ (Usuki Sekibutsu Stone Buddhas)

ไปชมจิตรกรรมที่มีอายุยาวนานกว่าพันปี และได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นสมบัติชาติของญี่ปุ่นอย่าง พระพุทธรูปหินอุซุกิ จุดเด่นของที่นี่คือ พระพุทธรูปที่ถูกสลักบนกำแพงหิน 61 องค์ในถ้ำ มีทั้งถูกสลักติดกับผนังถ้ำ และสลักจากหินภูเขาไฟ ต่างจากพระพุทธรูปทั่วไปที่แกะสลักจากไม้และโลหะ คาดว่าถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 ถึง 14 เพื่อการเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายโจโด ทุกวันเสาร์สุดท้ายในเดือนสิงหาคมของแต่ละปีจะมีเทศกาลนมัสการพระพุทธรูปหินสลักเหล่านี้ โดยชาวบ้านจะจุดคบเพลิงที่อยู่ด้านล่างของถ้ำ เกิดแสงสว่างไสวมองดูคล้ายอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว
10. น้ำตกฮาราจิริ (Harajiri Falls)

ไม่ต้องไปถึงอเมริกา แค่ ทัวร์ญี่ปุ่น ก็สามารถชมความงามของน้ำตกไนแองการาได้ที่ น้ำตกฮาราจิริ ในเมืองบุงโกะโอโนะ (Bungo Ono) ทางตอนใต้ของโออิตะ น้ำตกแห่งนี้รูปร่างคล้ายน้ำตกไนแองการาย่อส่วนลงมา จนได้ชื่อว่าเป็น ไนแองการาแห่งญี่ปุ่นและโลกตะวันออก ด้วยอายุที่ยาวนานกว่า 90,000 ปี ความสูง 20 เมตร และกว้างกว่า 120 เมตร บวกกับพื้นที่โดยรอบเป็นนาข้าวสีทองสลับเขียว ที่ถูกโอบล้อมด้วยหุบเขา ก่อให้เกิดทัศนียภาพงดงามแปลกตา

น้ำตกฮาราจิริติดอันดับ 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมบรรยากาศและถ่ายรูปได้บนสะพานแขวน หรือจะลงไปสัมผัสใกล้ชิดกับน้ำตกก็ได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างการพายเรือเล่น และการชมทุ่งดอกทิวลิปกว่าห้าแสนต้นที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
11. สะพานแขวนโคโคโนเอะยูเมะ (Kokonoe Yume Suspension Bridge)

ใครมา ทัวร์ญี่ปุ่น อยากไปเยือนที่เที่ยวแนวแอดเวนเจอร์นิดๆ ต้องไม่พลาด สะพานแขวนโคโคโนเอะยูเมะ สะพานแขวนสำหรับคนเดินเท้าที่ยาวและสูงที่สุดในญี่ปุ่น อยู่ในเมืองโคโคโนเอะ (Kokonoe) โดยสะพานแขวนแห่งนี้ทอดผ่านช่องหุบเขาขนาดใหญ่ มีผืนป่าเขียวขจีและม่านน้ำตกถึง 2 แห่งเป็นฉากหลัง ในแต่ละฤดูกาลจะมีความงดงามแตกต่างกัน

ด้วยความสูงถึง 173 เมตร และยาวเกือบ 400 เมตร เมื่ออยู่บนสะพานจะรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่กลางอากาศ เหมาะสำหรับคนที่ชอบความท้าทาย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมปีนเขา เอาใจทั้งมือใหม่และมือโปร แต่ถ้าไม่ถนัดแนวตื่นเต้น เน้นเที่ยวแบบชิลๆ ก็สามารถชมพืชพันธุ์ทางธรรมชาติและสัตว์ป่าหายาก รวมถึงเที่ยวน้ำพุร้อน แช่ออนเซ็น ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้
12. สวนดอกไม้คุจู (Kuju Flower Park)

ปิดท้ายด้วยสวนดอกไม้สุดโรแมนติกอย่าง สวนดอกไม้คุจู ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองทาเคตะ (Taketa) บนพื้นที่กว่า 130 ไร่ มีดอกไม้ให้ชมกว่า 3 ล้านดอก จาก 500 สายพันธุ์ ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในคิวชู มาที่นี่แล้วจะได้เดินเล่นถ่ายรูป และชมความงามของดอกไม้นานาชนิดที่สลับกันเบ่งบานตามฤดูกาล ได้แก่
– ฤดูใบไม้ผลิ กลางเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤษภาคม : ทุ่งดอกทิวลิป
– ฤดูร้อน ปลายเดือนมิถุนายน – กลางเดือนกรกฎาคม : ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ และ กลางเดือนกรกฎาคม – ปลายเดือนกรกฎาคม : ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย
– ฤดูใบไม้ร่วง ต้นเดือนตุลาคม – ปลายเดือนตุลาคม : ทุ่งดอกคอสมอส
– ฤดูหนาว เดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม สวนนี้จะไม่เปิดให้เข้าชม
นักท่องเที่ยวสามารถเดินถ่ายรูปตามเส้นทางรอบแปลงดอกไม้ได้ เก็บภาพสวยๆ เสร็จแล้วก็ไปช้อปปิ้ง ซื้อขนม ของที่ระลึกกลับไปฝากคนพิเศษ
ถ้าได้มาเที่ยวโออิตะบอกเลยว่าจะต้องเป็นทริปญี่ปุ่นที่คุ้มสุดๆ เพราะได้ทั้งแช่ออนเซ็น เที่ยวชมธรรมชาติ สัมผัสอารยธรรมเมืองเก่า และช้อปปิ้งกันอย่างเต็มอิ่ม ส่วนใครที่กังวลเรื่องการเดินทาง พี่เห็ดขอบอกว่าไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด เพราะโออิตะมีอาณาเขตติดกับจังหวัดที่เป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมอย่างฟุกุโอกะ จะรถบัส รถไฟ หรือเครื่องบิน ก็เดินทางเข้ามาได้ หรือถ้าไม่อยากวางแผนเที่ยวเอง ไปเที่ยวกับทัวร์ก็สะดวกสบาย สามารถคลิกชมโปรแกรม ทัวร์ฟุกุโอกะ ที่พาไปเที่ยวจังหวัดโออิตะ เมืองเบปปุ และเมืองยุฟุอิน กับพี่เห็ดได้เลย