@MushroomTravel” ริชชะคุจิ ” วัดใจกับบันไดพันขั้นสู่วัดแห่งขุนเขา
เตรียมกำลังขาให้ดีเราจะพาคุณไปวิ่งขึ้นเขา ผ่านบันไดพันขึ้นที่ ริชชะคุจิ สถานที่แห่งความสุขสงบ อากาศดี วิวสวย สูงจนจนเกือบเอื้อมมือแตะขอบฟ้าได้ สวยจนเหมือนภาพวาดอย่าง ริชชะคุจิ หรือที่บางคนเรียกว่ายามะเดระ (วัดภูเขา) และมีชื่อเล่นไทยๆ ว่า “วัดบันไดพันขั้น” นั่นเอง
ริชชะคุจิแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองยะมะงะตะ จังหวัดยะมะงะตะ ภูมิภาคโทโฮกุเช่นเคย #แหมจะเที่ยวทั้งที่ต้องเอาให้รอบสิเนอะเลยขอเจาะลึกภูมิภาคนี้กันนี๊ดดดดนึง ตามชื่อเขาและชื่อเมืองเลยล่ะเพราะวัดนี้ตั้งตระหง่าน ท้าแรงโน้มถ่วงโลกอยู่บนยอดเขาสูงลิบเชียวล่ะ (ยามะจากชื่อจังหวัดและชื่อวัดแปลว่าภูเขานะจ๊ะ หลายคนน่าจะคุ้นหูกับคำว่าฟูจิยามะ หรือภูเขาฟูจิไงล่ะ)
ริชชะคุจิหรือยามะเดระแห่งนี้ มีประวัติย้อนกลับไปเป็นพันปีเชียวล่ะ เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.860 และว่ากันว่าจำนวนขั้นบันไดขึ้นเขาที่วัดนี้มีมากถึง 1015 ขั้น จนเป็นอีกที่มาของอีกชื่อหนึ่งคือ “วัดบันไดพันขั้น” ที่พี่ไทยเราเองก็เรียกติดปากกันนั่นแล โดยวัดแห่งนี้เป็นวัดหนึ่งในนิกายเทนได และจากความสวยงามของทิวทัศน์ที่รายล้องวัดแห่งนี้ทำให้ Matsuo Basho นกกวีไฮกุชือดังถึงกลับเอ่ยขานบทกลอนชมความงามและแต่งกลอนไฮกุไว้ที่วัดแห่งนี้เลยทีเดียว (ลองคิดภาพสุนทรภู่แต่งกลอนชมความงามของวัดสักวัดสิว่าวัดนั้นจะต้องสวยสุดยอดขนาดไหนกัน!)
ยามะเดระแห่งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับวัดอีกหลายแห่ง ที่มีอาคารหลายหลากแตกต่างตามแต่วัตถุประสงค์การใช้งาน แต่ที่วัดแห่งนี้แตกต่างจนชวนตื่นตา ก็คืออาคารแต่ละแห่งจะถูกสร้างขึ้นจนไล่เรียงไปบนเขาสูงนั่นเอง และอาคารที่ใกล้กับประตูทางเข้ามากทีสุดก็คือ ห้องโถงหลัก (Konponchudo Hall) ที่เป็นอาคารที่สร้างจากไม้บีชที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีห้องสมบัติเล็กๆ อยู่ไม่ห่างกันไว้ให้ผู้สนใจได้ลองเข้ามาเห็นโบราณวัตถุอีกด้วย
แต่ถ้าใครต้องการจะขึ้นให้ถึง “โกไดโด”(GODAIDO HALL) ตัววิหารที่อยู่จุดสูงสุดจะต้องใช้เวลาเดินจากประตูวัดที่ตีนเขาขึ้นมาประมาณครึ่งชั่วโมง ผ่านประตูซังม่อน สู่ห้องโถงหลัก ซึ่งเส้นทางนี้เองที่จะเป็นจุดวัดใจกับบันไดพันขั้นที่รอทดสอบศรัทธาของผู้ที่ต้องการขึ้นไปด้านบนสองข้างทางจะพบโคมไฟหิน และรูปปั้นน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายกันไป เมื่อใกล้ถึงยอดเขาจะเป็นเส้นทางผ่านหินมิดะโฮระ ที่มีรูปร่างคล้ายพระพุทธเจ้า ลอดประตูนิโอม่อนไปแล้วจะมีทางแยกไปยังอาคารต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเหมือนสวรรค์ตามความเชื่อในภาพวาดของญี่ปุ่นเลยล่ะ และในบรรดาอาคารวิหารทั้งหมดอาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ หอคาอิซังโดะที่ก่อตั้งมายาวนานที่สุด และที่สำคัญรองลงมาก็คืออาคารเล็กสำหรับคัดลอกพระสูตรที่อยู่ใกล้ๆ กัน โนเคียวโดะนั่นเอง
หากใครอยากลองเดินทางมาที่นี่ล่ะก็ บอกได้เลยว่าง่ายมากๆ เพราะว่าเดินทางโดยรถไฟ JR มาลงที่สถานียามะเดระ เดินเพียง 7 นาที (แต่เตือนนิดนะ 7 นาทีเรากับคนญี่ปุ่นไม่เท่ากัน เคยเดินหาที่พักที่เขาบอก สิบนาทีถึงไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยล่ะ เศร้าและเหนื่อยหนักมาก แต่เพื่อความสวยจากวิวที่นี่เราเลยยอมเชื่อว่ามันใกล้) และก็จะเจอกับประตูวัดที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่เนินเขา เชื้อเชิญและท้าทายให้เราวัดใจกับธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ที่ผสานกับความงามและเรียบง่ายของธรรมชาติได้อย่างลงตัวจนเกิดเป็นด่านวัดใจ “บันไดบันขั้น” แห่งนี้นี่เอง!!!
แต่ก่อนจะเหนื่อยจนถอดใจ ขอบอกก่อนเลยนะว่าภาพที่จะได้เก็บลงเม็มโมรี่ความทรงจำผ่านสายตาและเลนส์ถ่ายรูปจากการได้ก้าวผ่านด่านสุดหินมาแล้วมันคุ้มค่ากว่าการไปดูไฟ 39 ล้านแน่นอน (อุ๊ก! คลุกๆๆ อยู่ๆก็เผลอไออกมาได้ไงเนี่ย) เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้สูง หายใจเข้าแต่ละทีบอกเลยว่าสดชื่นกว่ามีเครื่องฟอกอากาศอยู่ในบ้านเสียอีก
ที่สำคัญถ้าเดินทางมาช่วงฤดูใบไม้ร่วง ช่วงที่ใบไม้เกือบครึ่งเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีแดง นั้น เราต้องขอบอกเลยว่า สวยจนถูกยกให้เป็น โบราณสถานที่มีธรรมชาติงดงามติดระดับประเทศ (National Historic Site และ National Special Place of Scenic Beauty) จริงๆ บอกเลยว่าซากุระก็ซากุระเถอะที่นี่สวยไม่น้อยหน้ากันเลย เพราะหากซากุระคือความสวยแบบปราณีตอ่อนโยน ใบไม้เปลี่ยนสีก็คงเป็ความสวยสดใส ฉูดฉาดเติมสีสันให้ได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว หรือถ้าอยากเห็นโลกแห่งสีขาวบริสุทธิ์ล่ะก็ หน้าหนาวเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน
มาถึงขั้นนี้แล้วสิ่งแรกที่ต้องเริ่มคงจะเป็นรองเท้าดีๆ สักคู่และพกแรงใจแรงกายมาให้เต็มเหนี่ยวเป็นพอ อ้อ!!! ลืมอีกอย่าง กล้องถ่ายรูปคู่กายสักตัว รับรองว่าภาพที่ได้คุ้มค่าแน่นอน
ขอบคุณรูปภาพจาก www.lifetoreset.wordpress.com
www.yamaderakankou.com