::: เที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว แต่รูปเดี่ยวเยอะมากกกก :::
รีวิวญี่ปุ่น 5 วัน พร้อมวิธีเซลฟี่แบบไม่มีไม้สอยมะม่วง
สวัสดีค่ะทุกคน บีเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นไป เที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว มาค่ะ ชะนีโสดๆใสๆ แบคแพคลุยเดี่ยวเที่ยวเจแปน จริงๆก็ไม่แปลกอะไรเนาะ ตอนแรกก็คิดว่าคงไม่รีวิวดีกว่า เพราะแพลนเที่ยวเราก็เบๆ พื้นๆ ฟลอร์ๆ เหมือนๆคนอื่น แถมงบก็ไม่ได้ถูกเว่อร์ แบบที่รีวิวแล้วจะ inspire ใครๆได้ แต่เพื่อนบิ้วค่า เพราะนางเห็นบีเซลฟี่ตัวเองแล้วคนถามเพียบเลย ว่า “ไป เที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว จริงหรา” “ถ่ายยังไงอ่ะ” เต็มไปหมด
ก็เลยคิดว่าเคล็ดลับของเรา อาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง
เพราะเป็นการเซลฟี่ที่ไม่ต้องพกขาตั้งกล้อง, ไม้เซลฟี่, สายลั่นชัตเตอร์ หรือ Go pro ใดๆทั้งสิ้น แอบหวังว่า บุญกุศลครั้งนี้อาจทำให้ทริปหน้ามีคนไปถ่ายรูปให้เรากับเค้าสักที
เกริ่นยาว เมื่อยมือ เริ่มเถอะ !
บีขอเริ่มรีวิวการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวอันแสนสนุกสนาน คุ้มค่า กับการไปเที่ยวช่วงสงกรานต์แบบไม่ต้องลาเพิ่มกันก่อนนะคะ แล้วค่อยเฉลยว่ารูปในรีวิว มีเคล็บลับการถ่ายยังไง แบบไม่ใช้ไม้มะม่วง
เริ่มจากสายการบินค่ะ บีเลือกเวียดนามแอร์ไลน์ เพราะราคาถูกค่า ไป-กลับ หมื่นหก เท่านั้น จองก่อนสงกรานต์เดือนนึง แล้วไปช่วงสงกรานต์พอดีเด๊ะ
แต่ถึงอาหารจะเยอะยังไงก็ต้องแลกด้วยการทรานสิทเครื่องที่เวียดนาม ซึ่งจริงๆแล้วการทรานสิทที่เวียดนามนั้นง่ายมากกก เพราะสนามบินเค้าเล็ก เดินไม่ถึง 20 ก้าวก็เปลี่ยนเครื่องได้แล้ว (อันนี้เว่อนิดหน่อย) แต่จริงๆคือเวลาชั่วโมงนึง ก็ทรานสิทที่เวียดนามได้เหลือๆ แต่ของบีเกือบ 9 ชั่วโมงค่า!!!ถึงเวียดนามสามทุ่มครึ่ง และเครื่องออกอีกที 6 โมงเช้า ก็เลยจองห้องพักที่เวียดนามเพื่อนอนเอาแรง 1 คืน
การออกจากสนามบินเวลาเครื่องทรานสิทก็ไม่ได้ยากอะไรค่ะ เดินออกจาก ตม.มาตามปกติ ขากลับมาถ้ายังไม่มีบรอดดิ้งพาสก็ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ตามปกติ ถ้ามีบรอดดิ้งพาสแล้วก็เดินเข้า gate ไปได้เลย ที่เวียดนาม บีพักที่ MiLinh Hotel ค่ะ เพราะทั้ง agoda และใน pantip บอกว่าใกล้สนามบินสุดแล้ว แต่เฮ้ยยยมันไม่ใกล้ขนาดนั้นนะ แต่ความจริงแล้ว ก็เดินเหนื่อยอยู่ แถมเวลาสามทุ่มครึ่งด้วยแล้ว นี่คือทางเดินไปโรงแรม มืดๆ เปลี่ยวๆ (และนี่คือจุดที่สว่างสุดแล้ว คือแถวๆหน้าโรงแรม)
ผ่านไปด้วยดีนะ ว่าแต่มาญี่ปุ่น….จะถึงญี่ปุ่นมั้ย…พูด!
ว่าแล้วก็ขอตัดภาพมาที่ญี่ปุ่นเลยนะฮะ มาถึงนาริตะแอร์พอร์ต บีก็ซื้อตั๋ว NEX (Narita Express) ไปที่ชินจูกุเพื่อ Check-in เข้าที่ Apartment Hotel Shinjuku เลย ทริปนี้บีไม่ได้ซื้อ JR pass อะไรทั้งนั้นค่ะ เพราะที่พักอยู่ใกล้สถานี Shinjuku samchrome มากกว่า ก็เลยซื้อตั๋วเป็นเที่ยว ๆ สะดวกดี ไม่ต้องบังคับตัวเองให้นั่งแต่ JR
ที่พักน่ารักมาก ฮิปสเตอร์น่าจะชอบ เก๋ไก๋ตั้งแต่ข้างหน้า ข้างใน ยันห้องพัก ห้องบีเป็น Single Bed แต่ไม่แคบมาก ราคาวันละ 1,900 บาทค่ะ ถือว่าไม่แพง ถ้าเทียบกับทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าสุดๆ พักที่นี่ไม่ต้องพกกุญแจค่ะ ใช้รหัสในการเข้าโรงแรม และเข้าห้อง สะดวกสุดๆ เลิฟมากก มาอีกจะพักที่นี่อีก อ้อ..แต่ข้อเสียข้อเดียวคือไม่มีลิฟต์ ดังนั้น เรื่องกระเป๋า Reception จะแบกขึ้นไปให้เฉพาะขามา แต่ขากลับหิ้วลงเองนะจ้ะ
เช็คอิน ชื่นชมห้องพัก และลง IG รัวๆแล้ว ก็เดินทางต่อไปที่ย่าน Koenji และ Destination หลักของบีก็คือร้านโดนัทมุ้งมิ้งที่ชื่อว่า Nature Doughnuts Floresta การเดินทางก็ง่ายมาก ขึ้นจาก JR Koenji ก็เปิด Google Maps และเดินตาม Maps ไปโลด (ง่ายมากจริงๆ เห็นม่ะ) จริงๆตั้งใจจะกินโดนัทแมวเหมียวแต่ตอนที่ไป มีตัวแรคคูนก็เลย โอเคอ่ะ ตามนั้น ที่ร้านมีทั้งโต๊ะ In-Door และ Out-Door วันนั้นอากาศแจ่มใส ก็เลยไม่มีใครนั้ง In-door เลย บีก็เลยเข้าไปนั่ง ตั้งกล้องถ่ายตัวเอง เพลินเลยข่า 55
นี่คือย่าน Koenji พูดเลยว่า ดีงามค่ะ มีของมุ้งมิ้งน่ารักตลอดทาง คนไม่พลุกพล่านมาก แถมอยู่ไม่ไกลจากชินจุกุด้วย
พอกินของหวานเสร็จก็ได้เวลาของคาว (เฮ้ยยย..ใช่ป่ะว้า) บีเลยนั่งรถไฟฟ้าไปกินของคาวที่ Moomin café สาขา Tokyo Dome City Laqua โดยการลงรถไฟฟ้าสถานี Suidobashi แล้วก็ Google Maps เหมือนเดิม ไปถึงก็มีคนรอคิวอยู่ 3-4 คิว ก็อดทนหน่อยนะ นั่งเลือกเมนูไป บีเลือกเมนูที่เป็นข้าวสตูเนื้อ และมักกะโรนีซุปข้าวโพด เฮ้ยย ดีงามมาก หน้าตาก็น่ารัก แถมอร่อยด้วยอ่ะ
ดูมักกะโรนีสิ ยังเป็นรูปมุมินเลย ดีเทลไป๊..!!
จริงๆวันที่ไป เค้ามีบุฟเฟ่ขนมปังให้ด้วย กินไม่อั้นค่ะ แต่บีไม่กินค่ะ เก็บท้องไว้กินเนื้อกินหนังต่อดีกว่า
คืนนี้มีนัดค่ะ มีเพื่อนมาญี่ปุ่นเพิ่งบินมาถึงที่ชิบุย่า ก็เลยนัดกินมื้อค่ำกันที่ร้าน Gyubei แต่ให้ตายเหอะ หาไม่เจอ…..เดินข้ามแยกชิบุย่ามาห้า หก รอบแล้ว ถามคนนั้นคนนั้นให้มาทางนี้ ถาม Google Maps กูเกิ้ลบอกให้มาทางนั้น วู้…เดินจนสี่ทุ่มแล้วค่า ยังไม่ได้กินเลย เลยเอาร้านง่ายๆแถวนั้นแหละ
แต่…ปรากฎว่าดีงามมากกกก อีกแล้วข่า จนค้นพบว่าจริงๆ มาญี่ปุ่น เนี่ยเข้าร้านไหนก็ดีงามไปหมดแหละ!!
เชฟเค้าพิถีพิถัน เค้าใส่ใจกับอาหารของเค้าจริงๆ เนื้อเนี่ย…ละลายในปาก ..สั่งเบิ้ลเลยค่าาา
เมื่อกินเสร็จ ก็เม้าท์มอย ตามประสาบี ก่อนจะจับรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายกลับที่พัก และวันรุ่งขึ้นก็ตื่นอย่างไว ซื้อตั๋วรสบัสไป Kawaguchiko เพราะเข้า Google นางบอกว่า วันรุ่งขึ้น ที่ Kawaguchi-ko จะอากาศดี มีแดด ดังนั้น Next Station และเป็น Highlight ของเราคือ Fujisan ค่า บีจะไปนอนพักที่นั่น 2 คืน วิธีที่สะดวกที่สุด โดยเฉพาะถ้าเรามีกระเป๋าเดินทาง คือ by bus ค่ะ
บีซื่อตั๋ว KEIO Shinjuku Highway Bus ราคาเที่ยวละ 1,750 เยน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่า
และระหว่างทาง ก็เริ่มเห็นฟูจิซัง กับฟ้าเคลียร์ๆ ก็เลยถ่ายรูปรัวๆ
บีเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรม Plaza Inn Kawaguchi-ko ซึ่งอยู่ใกล้สถานี kawaguchi-ko มว๊าก ๆ แล้วก็ซื้อตั๋ว Sightseeing Bus ซึ่งเป็นรสเวียนสายแดงไปเที่ยวรอบ Kawaguchi Lake ส่วนสายสีเขียว จะไปรอบ Saiko Lake ซึ่งบีไปทั้งสองสายค่ะ ติดตามกันนะคะ ราคาของ Sightseeing Bus คือ 1,200 yen นั่งแบบไม่จำกัดได้ 2 วันเต็มๆ เนื่องจากต้องแสดงบัตรตอนลงบัส ดังนั้นเก็บให้ดีห้ามหายนะ ห้ามทิ้งนะจ้ะเด็กๆ
วันแรกบีเลือกไป red-line รอบ Kawaguchi-ko ก่อนเนาะ
Bus stop แรกที่แนะนำ และบีลง คือ no.18 ป้ายนี้ที่เด่นคือต้นซากุระที่เรียงรายอยู่ริมทางเต็มไปหมด ตั้งกล้องถ่ายรัวๆ
Bus stop ต่อไป no.20 เป็นที่ตั้งของโรงแรมสุดฮิตของคนไทย Sunnide resort
ตรงนี้เจอคนไทยค่ะ กำลังเซลฟี่กันสามคนพ่อแม่ลูก ก็เลยอาสาไปช่วยถ่ายให้ หวังใจว่าเค้าจะช่วยถ่ายรูปเรากลับแต่ไม่ค่ะขอบคุณแล้วก็จากไป #จ๋อยนิดนึง ต่างกับคนต่างชาตินะคะ เห็นเราวิ่งตั้งกล้องไปมา ก็มาถามว่า อยากให้เค้าช่วยถ่ายภาพให้มั้ย อันนี้ฝากไว้ให้คิดแล้วกันโน๊ะ
ขานั่งบัสกลับ บีแวะป้ายที่เป็น ropeway แต่คิว ropeway ยาวมากๆ (มารู้ทีหลังว่าเปิดให้บริการวันนี้วันสุดท้ายก่อนปิดปรับปรุงหลายหลายสัปดาห์) ก็เลยแวะหาอะไรทานที่ Lake Side Coffee & Restaurant หิวค่ะ สั่งเยอะรัวๆ อร่อยเหมือนเดิมค่ะ
เวลาที่นี่ผ่านไปช้ามากกก ใช้ชีวิต slow life ไปตั้งนาน เพิ่งบ่ายสามเอง แต่เวลานี้ก็เป็นเวลาเช็คอินที่ Plaza Inn Kawaguchi-ko พอดี ห้องที่ได้ โอ้ยยย ดีมากกค่ะ เปิดหน้าต่างเห็นคุณฟูจิซังใหญ่โต ยิ้มให้เลย
Single bed ห้องน้ำในตัว คืนละ 1,200 บาท วิวนี้ ตายๆๆค่ะ ตายไปเลย อยากจะลงไปให้เงินเพิ่มกับคุณลุง Reception เลยทีเดียว
หลังจากดื่มด่ำกับการเซลฟี่ริมหน้าต่าง ก็นั่งเล่น นอนเล่นในห้องสักพัก แล้วก็ออกผจญภัยต่อค่ะ คราวนี้เรานั่ง Fujikyu Railway ไปสถานี Shimoyo shida กันค่ะ มันคือทางเดียวกับที่ไปสวนสนุก Fuji-Q นั่นแหละค่ะ แต่เลยไปอีกหน่อย เป็นที่ที่คนชอบไปถ่ายรูป Fujisan กับศาลเจ้า Arakura sengen น่านแหละค่ะ
แต่บีไม่ได้ขึ้นไปสูงสุดนะ ยอมแพ้บันได 400 ขั้นจริงๆค่ะ เอาวิวแค่ตรงเสาโทริอิ ก็พอค่ะ แค่นี้ก็สวยมากแล้ว ตรงนี้ก็เป็นจุดที่เจอคนไทยเพียบค่ะ แลกกันถ่ายรูปไปมา แต่สรุปว่าเราไม่ชอบรูปที่คนอื่นถ่ายให้อยู่ดี ขอเซลฟี่ตัวเองเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ
พอมีฝรั่งเดินผ่านมา ถามว่าให้ถ่ายรูปให้มั้ย ก็ยังบอกไปว่า It’s ok. I can do it. ค่ะ
วันนี้ฟ้าเคลียร์มาก พี่ฟูจิซังอยู่ด้วยกันยั้นดึกเลย เคลียร์จนไม่คิดว่ารุ่งขึ้นฝนจะตกแบบ 24 ชม.เช่นกัน
วันรุ่งขึ้นตื่นมา เปิดหน้าต่างออกไป โอ้วม่ายย ฟูจิซังที่เมื่อวานมายิ้มให้ หายไปแล้ว!! และฝนก็ตกมาตลอด
วันนี้เลยคิดว่าจะลองนั่งบัส Green Line ไปเที่ยว Saiko Lake ดูบ้างดีกว่า Saiko Lake จริง ๆ สวยงามมาก ธรรมชาติมากค่ะ เห็นภูเขาเรียงรายรอบทะเลสาบเต็มไปหมด แต่เสียดาย ฝนตกหนักมาก บีเลยไม่ได้ลงไปถ่ายรูปมาให้ดู ดังนั้นก็เลยเลือกลง Station ที่เป็น Bat Cave เพราะคิดว่า เข้าถ้ำหลบฝนหน่อยเห้ยยย (ค่าเข้า bat cave 100 yen เท่านั้นค่ะ)
แต่บีคิดผิดค่ะ เพราะมันต้องมีทางเดินระหว่างเข้าถ้ำอีก ทั้งหนาว ทั้งเปียก ทางเดินก็ยาวพอสมควร ก้าวเท้าแทบไม่ออกค่ะ
ในถ้ำก็อย่าหวังว่าบีจะเห็นค้างคาวหรืออะไรหรอกนะคะ เพราะว่า รีบจ้ำ หาทางออกอย่างเดียวค่ะ
พอออกมาได้ก็ผิงไฟรัวๆค่ะ ไม่ไหวแล้ว…แล้วก็นั่งรสบัสกลับยังจุดเริ่มต้นเลยค่ะ
กลับมาเปิดฮีตเตอร์ที่โรงแรมแป็ป แล้ววางแผนชีวิตใหม่ คิดว่าวันนี้คงไม่ใช่วันเที่ยวของเราแล้วล่ะ ทั้งหนาว ทั้งเปียก เลยขอเปลี่ยนให้วันนี้เป็นวันกินดีกว่า เอ๊า เริ่ม!
เริ่มจากออกไปทานอุด้งพื้นเมืองของชาว Kawaguchi-ko ร้านที่อยู่ตรงข้ามสถานี Kawaguchi-ko เลยสั่ง HOUTO เมนูแนะนำ กินแก้หนาวไปได้ดีมากกกค่ะ
เมื่ออิ่ม ก็ง่วงค่ะ รีบกลับไปที่โรงแรมแล้วเปิดฮีตเตอร์นอนอย่างไว เก็บแรงไว้ผจญภัยต่อพรุ่งนี้ !!! เปิด Playlist ฟังเพลงชิว ๆ นอนเล่น Wifi ที่พักที่ญี่ปุ่นนี่คือเร็วมาก เร็วเท่าชินคันเซน เทียบกับ Wifi โรงแรมบ้านเราแล้วเพลียใจ โรงแรมห้าดาวบ้านเราบางที่ ใช้ 3G ยังเร็วกว่า
วันรุ่งขึ้น พี่ฟูจิซังแอบมาส่งเบา ๆ ที่หน้าต่างก่อนฝนจะตกทำให้เดินลากกระเป๋าลำบาก บีเลยจับ highway เที่ยวแรก 7 โมงเช้าไปชินจุกุเลย ระหว่างรอบัสมา ก็เซลฟี่นิดนึง
2 ชั่วโมงผ่านไปมาถึงชินจุกุ เดินมาวางกระเป๋าที่ Apartment Hotel Shinjuku ที่เดิม แต่ reception ยังไม่เปิด (เปิด 10 โมง)
บีเลยเดินไปหาอะไรกินค่ะ ตอนนี้ที่ชินจุกุก็ฝนตกตลอดเวลาเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า วันนี้จะเป็นวันขึ้นห้าง วันซื้อของฝากแล้วล่ะ แต่เข้าห้างไม่ใช่ว่าจะเซลฟี่ไม่ได้นะจ้ะ หน้า Muji café เบาๆ แล้วพอเย็น ๆ บีก็นัดเจอเพื่อนกรุ๊ปเดิมที่ร้าน Aoyama Flower Market TEA HOUSE การเดินทางง่ายมากค่ะลงที่สถานี Omote sando ทางออก A4 เดินข้ามถนนเจอเลย
ร้านน่ารักมากกก ชาหอมมาก French toast ก็ดีงามค่ะ พอทานเสร็จก็ได้เวลาช้อปปิ้งต่อค่ะ mission ในการหากระเป๋า BAO BAO ได้เริ่มขึ้น เดินไปกันสิ 3 ห้าง กว่าจะได้ ก็มาเจอที่ห้าง ShinQs ค่ะ เมื่อเดินเมื่อยช้อปกันอย่างหนักหนาแล้ว ก็ได้เวลากินรัวๆๆค่ะ
เริ่มจากซูชิร้านเด็ด ร้านดังที่ Sushizanmai ใกล้ห้าง ShinQs นั่นแหละค่ะ อร่อยดีงามทุกคำ ต่อด้วยร้านหอยเผาที่มีอยู่ใน guidebook ร้าน Isomaru Suisan สาขา sunshine dori สำหรับการเดินทางก็ให้ไปที่สถานี ikebukuro โลดค่ะ ใครที่พักแถวนั้น ไปทานเมื่อไหร่ก็ได้นะคะ เพราะร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมง
วันรุ่งขึ้นก็ต้องกลับแล้ว ตื่นมาเอากระเป๋ามาวางไว้ที่ Reception ไว้ก่อน แล้วออกเดินทางไป Kawagoe เพราะบีชอบเที่ยวนอกเมืองนิดหน่อยค่ะ ไม่ค่อยปลื้มคนเยอะแยะ จอแจสักเท่าไหร่ ที่ Kawagoe จริงๆมีถนนโบราณอยู่ 1 เส้น แต่หลงค่ะ หาไม่เจอ (แฮ่) เลยเดินเล่นถนนอะไรไม่รู้ แต่ชอบค่ะ มีสวนสาธารณะที่มีเด็ก ๆ เต็มไปหมด ซากุระกำลังปลิวออกจากต้น สวยสวรรค์มากกค่ะ
มีศาลเจ้าเล็ก ๆ ให้เข้าไปถ่ายเซลฟี่เบาๆ
ใช่ค่ะ! 150 yen = 40 บาทไทยนี่แหละ ถูกเว่อร์ ค่าอาหารเปียกแมวยังไม่พอเลย
รีบออกจาก Kawagoe ไป Shinjuku รีบ check-out แล้วเอากระเป๋าและรีบขึ้น NEX มา Narita Airport เลยค่ะ ไม่ได้แวะกินอะไรเลย เพิ่งเห็นว่าจะบ่ายสามแล้ว กิน soft cream ไปอันเดียว เลยซื้อข้าวกล่องอัดกินบน NEX รัวๆ ป.ล.น้ำ Green Lemonade นี่ดีม๊ากๆค่ะ สดชื่นสุดๆ
จบทริปการมา เที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว แบบห้วนๆนะคะ เพราะประเด็นจริง ๆ ของกระทู้นี้ก็คือ เคล็ดลับการเซลฟี่แบบไม่มีไม้มะม่วง โดยรูปทั้งหมดในกระทู้นี้ ที่บีไม่ได้บอกว่ามีพนักงาน หรือเพื่อนถ่ายให้ เป็นรูปที่บีเซลฟี่เองทั้งหมด โดยไม่ต้องพกขาตั้งกล้องให้หนัก , ไม่ต้องมีไม้สอยมะม่วงให้เกะกะ ไม่ต้องมีสายลั่นชัตเตอร์ ไม่ต้องกดถ่ายจากโทรศัพท์ อุปกรณ์หลักๆมี 3 อย่างค่ะ
1.กล้อง (ชัวร์ดิเห้ย)
2.กอลิร่า หรือขาหนวดปลาหมึก อันเล็กจิ๋ว ราคาไม่ถึงร้อย
3.เลนส์ซุปเปอร์ไวด์
Remark ไว้สำหรับมือใหม่ค่ะ ถ้าเป็นกล้องแบบพับจอได้จะดีมากก
อย่างทริปนี้บีใช้ Fuji X-A2 ช่วงที่เราตั้งเวลากล้อง ตอนเราวิ่งออกมา จะได้มองเห็นตัวเองได้ว่าหลุดเฟรมมั้ย บอดี้ไลน์เป๊ะรึยัง หน้าไม่ต้องไปซีเรียสค่ะ เน้นวิว เน้นบอดี้ไลน์ และบรรยากาศ เคล็บลับที่ง่ายแสนง่าย
เราต้องมีมุมมองที่ดี ว่าวิวที่เราอยากได้นี้ ต้องวางกล้องไว้ตรงไหน และหาที่ตั้งมั่นของกล้องให้ได้ค่ะ ที่ราบทั้งหมดไม่ว่าจะบนกระเป๋าเดินทาง, รั้วบ้าน, อานจักรยาน, เสาไฟเตี้ยๆ วางได้หมดค่ะ แล้วเอากระเป๋าตังค์หรือ power bank หนุนเลนส์ให้เงยๆนิดหน่อย กดตั้งเวลา 10 วิ แล้ววิ่งไปยังจุดที่หมายตาไว้ ยืนยิ้ม หรือเล่นใหญ่ แนวทีเผลอตามสไตล์จนเสียงชัตเตอร์ดัง จบค่ะ!
จบแล้ว ที่ให้ติดตามมายืดยาว คือจบแล้วค่ะ!!
แต่รูปที่ได้ออกมา อาจเอียงบ้าง รูปไกลบ้าง ก็ rotate หรือ crop สิคะ ไม่ต้องโหลด app อะไรเล้ยยย ใน photo ของ iPhone ก็สามารถทำได้ แล้วใครใคร่จะใช้ VSCOcam ใช้ snapseed หรือ IG แต่งรูปก็ตามสไตล์ใคร สไตล์มันค่ะ บีใช้มันทุก app อ่ะ
สาธิตให้เห็นภาพ behind the scene & การ process รูปค่ะ
1. อันนี้ถ่ายจากกล้อง Fuji X-A2 ค่ะ
2. เมื่อเล็งเห็นว่ามีโขดหินอยู่ 2 ก้อน ก็ตั้งกล้อง 1 ก้อน ไปนั่งอีก 1 ก้อน รูปเอียงก็ปรับเอาค่ะ
รูปนี้พีคสุดค่ะ เพราะวางบนกระโปรงรถ (ใครก็ไม่รู้) แล้วฝนเพิ่งตกกลัวกล้องเปียก เลยเอาเสื้อวางไว้ก่อน ปรากฎเสื้อบังกล้องนิดหน่อย แต่ก็ crop ออกได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ดึง highlight / brightness ภาพ สำหรับการตั้งเวลา บางครั้งตัวเราจะ Out focus นะคะ เพราะไม่ได้ focus นางแบบไว้แต่แรก ดังนั้น ไม่ควรเน้นหน้าค่ะ เอาแค่บอดี้ไลน์สวยงามพอแล้วเนาะ ^^
หวังว่ากระทู้เที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้สาว ๆ ที่ชอบลุยเดี่ยวเที่ยวเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมีภาพเซลฟี่มีลักษณะเหมือนกำลังจะสอยมะม่วง หรือเซลฟี่แบบเห็นแต่หน้าตัวเอง โดยไม่รู้ว่า เฮ้! วิวคืออะรายย อีกต่อไป