@MushroomTravel
ใครอยากเที่ยวสวนสนุกแบบได้ท่องแดนมหัศจรรย์ในท้องทะเล ต้องไปที่ โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ประเทศญี่ปุ่น สวนสนุกดิสนีย์ที่มาในธีมสำรวจทะเลแห่งเดียวในโลก! เครื่องเล่นเป็นแนวผจญภัยทางน้ำ อิงจากการ์ตูนและภาพยนตร์ของดิสนีย์ มีเครื่องเล่นสำหรับทุกวัย แต่รวมๆ จะออกแนวท้าทายและหวาดเสียวนิดนึง เหมาะสำหรับเด็กโต หรือผู้ใหญ่ที่มองหาความตื่นเต้นเร้าใจ ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแล้ว พี่เห็ด มัชรูมทราเวล จะพา ทัวร์ทุกโซนในสวนสนุก Tokyo DisneySea แนะนำเครื่องเล่นห้ามพลาด พร้อมพาสำรวจโซนใหม่ที่เพิ่งเปิดในปี 2024 แถมด้วยทริคดีๆ ในการวางแผนเที่ยว บอกได้เลยว่าข้อมูลแน่น จะน่าสนใจขนาดไหน ตามมาดูกัน !!
ทำความรู้จักสวนสนุก Tokyo DisneySea
สวนสนุกโตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) เปิดให้บริการในปี 2001 โดยเป็นสวนสนุกที่ขยายออกมาจาก โตเกียว ดิสนีย์ รีสอร์ต (Tokyo Disney Resort) ตั้งอยู่ที่เมืองอูรายาซุ (Urayasu) จังหวัดชิบะ (Chiba) ติดกับโตเกียว ซึ่งเป็นสวนสนุกจากดิสนีย์ในธีมสำรวจทะเลที่มีแห่งเดียวในโลก! เปลี่ยนแลนด์มาร์คจากปราสาทตรงใจกลางสวนสนุกให้เป็นภูเขาไฟ และห้อมล้อมด้วยทะเล บรรยากาศแต่ละโซนล้วนได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ดิสนีย์ที่เกี่ยวกับท้องทะเล ไม่ว่าจะเป็น Finding Nemo, Little Mermaid และอีกมากมาย เราจะได้เห็นตัวการ์ตูนและตัวละครจากดิสนีย์ในเวอร์ชั่นของนักสำรวจทะเล ต่างจากสวนสนุกอีกแห่งอย่าง โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ฝั่งดิสนีย์แลนด์เป็นสวนสนุกสุดคลาสสิกที่อิงจากคาแรคเตอร์ของเหล่าเจ้าหญิง และตัวการ์ตูนต่างๆ มีธีมหลักเป็นอาณาจักรแห่งความฝันและเวทมนต์ มีทั้งเครื่องเล่นแนวซอฟท์ๆ เด็กเล็กเล่นได้ แต่ก็มีบางโซนที่มีเครื่องเล่นผาดโผนอยู่ด้วย
โซนเครื่องเล่นห้ามพลาดใน Tokyo DisneySea
พื้นที่ภายใน Tokyo DisneySea แบ่งออกเป็น 7 โซนหลักๆ ซึ่งแต่ละโซนมีธีมการตกแต่ง บรรยากาศ กิจกรรมการแสดง รวมถึงเครื่องเล่นแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. Mediterranean Harbor
มาเริ่มความสนุกกันที่โซนร้านค้าและร้านอาหารในธีมยุโรปทางตอนใต้ เดินลอดซุ้มประตูทางเข้ามาปุ๊บก็จะเจอทันที เปรียบเสมือนเมืองท่าที่ต้อนรับผู้คนมาเยือน ให้บรรยากาศสุดโรแมนติก ภายในโซนประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านขายของฝาก ร้านอาหาร และร้านขนมมากมาย เติมพลังให้ร่างกายก่อนไปลุยกับเครื่องเล่นไฮไลต์ของโซนนี้อย่าง Soaring: Fantastic Flight เครื่องร่อนที่พาเราบินไปรอบโลก ไปตามแลนด์มาร์คดังๆ อย่างเช่น ยอดเขาเอเวอเรสต์ กำแพงเมืองจีน หรือพีระมิดอียิปต์ ก่อนจะวกกลับมาที่ โตเกียวดิสนีย์ซี ซึ่งพี่เห็ดแนะนำให้รีบเดินปรี่เข้าไปตั้งแต่ช่วงเปิด เพราะเป็นเครื่องเล่นฮิตที่คนต่อแถวเล่นเยอะมาก ใช้เวลาต่อคิวนานสุดๆ และห้ามพลาดกับการแสดงพาเหรดบนน้ำ ที่บอกเลยว่าว้าวมาก! จะเห็นคาแรคเตอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มิกกี้เมาส์ มินนี่เมาส์ และอีกมากมาย มาทำการแสดงโชว์ ทั้งร้อง เล่น เต้นรำให้เราได้ดูกันอย่างใกล้ชิด
2. American Waterfront
เดินถัดมาจะเป็นโซนเมืองท่าย้อนยุคในบรรยากาศเมืองนิวยอร์ก สไตล์คนเมืองชิคๆ ดูคึกคักมีชีวิตชีวา ผสมผสานกับอีกหนึ่งธีมที่เป็นบรรยากาศหมู่บ้านชาวประมงที่เคปค้อด (Cape Cod) เดินเล่นเพลินๆ เหมือนได้วาร์ปไปอเมริกาจริงๆ ส่วนใครที่จะมาเล่นเครื่องเล่นในโซนนี้ให้รีบพุ่งตัวมาที่ตึกทรงแปลกๆ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของโซนอย่าง Tower of Terror เครื่องเล่นสุดหวาดเสียว ให้เราหลงเข้าไปในเรื่องราวลึกลับชวนสยองขวัญในโรงแรม เนื่องจากการหายตัวไปในเหตุการณ์ลิฟต์ตกของ “แฮริสัน ไฮท์ทาวเวอร์” (Harrison Hightower) เจ้าของโรงแรม ซึ่งเราก็จะได้สัมผัสความรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะเครื่องเล่นนี้จะพาเราขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดของตึก แล้วปล่อยให้เราร่วงลงมาเหมือนลิฟต์ตก จนได้ยินเสียงกรี๊ดมาเป็นระยะๆ จากนั้นไปต่อกับ Toy Story Mania! เครื่องเล่นน่ารักๆ 4D ที่จะพาเราขึ้นไปนั่งบนยาน และให้ยิงเป้าเพื่อเก็บคะแนน บริหารได้ทั้งกล้ามเนื้อแขนและสายตา เล่นกันแบบเบาๆ หลังจากผ่านศึกหนักกันมาแล้ว
3. Port Discovery
อีกหนึ่งโซนล้ำๆ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ท่าเรือแห่งอนาคต” มาในธีมสถานีวิจัยแนวย้อนยุค และเป็นที่ตั้งของ 2 สถานที่สมมติอย่าง ศูนย์ควบคุมสภาพอากาศ และสถาบันวิจัยชีวิตทางทะเล โดยสร้างขึ้นมาจากธีมของหนัง Finding Dory ส่วนเครื่องเล่นที่พลาดไม่ได้ในโซนนี้คือ Nemo & Friends SeaRider นั่งเรือดำน้ำที่มีขนาดเล็กเท่ากับปลานีโม และปลาดอร์ลี่ ออกไปผจญภัยใต้ท้องทะเล จากนั้นไปเล่น Aquatopia เครื่องเล่นคล้ายๆ รถบั้ม วิ่งไปกลางน้ำ เหมาะกับเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่อยากนั่งให้ลมตีหน้าเล่นๆ
4. Lost River Delta
พักลงน้ำบ้าง ขอเดินลุยเข้าไปในโซนป่าอเมริกากลาง ช่วงทศวรรษ 1930 ออกสำรวจอารยธรรมโบราณ โดดเด่นด้วย พีระมิดแอซเท็ก (Aztec Pyramid) ขนาดใหญ่ที่พังทลายลง เต็มไปด้วยเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวที่มีกลิ่นอายมาจากภาพยนตร์เรื่อง “อินเดียน่า โจนส์” (Indiana Jones) อย่าง Indiana Jones® Adventure: Temple of the Crystal Skull เครื่องเล่นแนวผจญภัย ด้วยการนั่งรถจิ๊บตะลุยวิหารแห่ง Crystal Skull ที่อยู่ใต้ดิน โดยมีวิญญาณผู้พิทักษ์แห่งวิหารคอยตามรังควานเราตลอดเส้นทาง หรือจะนั่งรถไฟเหาะตีลังกาม้วน 360 องศาในซากโบราณไปกับเครื่องเล่น Raging Spirits บอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะทั้งฉาก แสง สีเสียง และเอฟเฟกต์ต่างๆ คืออลังการงานสร้างสุดๆ
5. Arabian Coast
ใครเป็นแฟน อะลาดินและเจ้าหญิงจัสมิน จะพลาดโซนนี้ได้ยังไง เพราะเป็นโซนท่าเรืออาหรับ ท่องไปในโลกมหัศจรรย์และเวทย์มนต์จากเรื่อง Aladdin และ Sindbad ทำให้บรรยากาศและการตกแต่งเป็นแนวอาหรับ เหมือนได้แวะไปแถบตะวันออกกลางและอินเดียในคราวเดียว ส่วนเครื่องเล่นจะเบาๆ เล่นได้ทุกเพศทุกวัย อย่าง Sindbad’s Storybook Voyage ล่องเรือผจญภัยเข้าไปในโลกของซินด์แบด คล้ายกับเครื่องเล่น ‘It’s a Small World’ ของฝั่งโตเกียวดิสนีย์แลนด์ หรือน้องๆ หนูๆ จะนั่งพรมวิเศษ Jasmine’s Flying Carpets บินขึ้นลงวนไปรอบๆ รวมถึง The Magic Lamp Theater ชมการแสดงมายากลของนักมายากลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมชมภาพยนตร์แบบ 3D
6. Mermaid Lagoon
ไปต่อกันที่โซนเบาๆ เหมาะสำหรับน้องๆ หนูๆ มาในธีมจากเรื่อง เงือกน้อยผจญภัย “The Little Mermaid” พาเราเข้าไปโลกใต้ทะเล สำรวจเมืองบาดาลที่อยู่ภายในปราสาท ภายในโซนมีเครื่องเล่นอย่าง Ariel’s Playground สนามเด็กเล่นของแอเรียล เต็มไปด้วยเครื่องเล่นน่ารักๆ ไม่ว่าจะเป็น Jumpin’ Jellyfish เครื่องเล่นแมงกระพรุนเรืองแสง ที่แหวกว่ายขึ้นลงไปในท้องทะเล หรือ Blowfish Balloon Race ชิงช้าปักเป้าตัวกลม นอกจากนี้ยังมีโชว์ Mermaid Lagoon Theater โชว์โลกใต้ทะเลของแอเรียลและเพื่อนๆ จากเรื่อง The Little Mermaid
7. Mysterious Island
ปิดท้ายด้วยโซนเกาะพิศวงที่แฝงตัวอยู่ในหลุมปล่องภูเขาไฟโพรมีธีอุส (Mount Prometheus) โอบล้อมด้วยแอ่งน้ำขนาดใหญ่เอาไว้ ซึ่งเป็นธีมที่อิงมาจากเกาะที่อยู่ในเรื่อง “The Mysterious Island” นวนิยายของ ฌูล แวร์น (Jules Verne) ซึ่งเป็นเกาะที่ซ่อนตัวของ กัปตันนีโม่ (Captain Nemo) ทั้งยังเป็นที่รู้จักในชื่อของ “เกาะวัลคาเนีย” (Vulcania Island) ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง 20,000 Leagues Under the Sea อีกด้วยนะ แน่นอนว่าเครื่องเล่นในโซนนี้ก็จะพาเราดำดิ่งไปในท้องทะเลลึกอย่าง 20,000 Leagues Under the Sea นั่งเรือดำน้ำของกัปตันนีโม่ ลงไปสำรวจอาณาจักรแอตแลนทิส และ Journey to the Center of the Earth เครื่องเล่นที่พาเราเข้าไปผจญภัยยังใจกลางแกนโลกในภูเขาไฟโพรมีธีอุส ซึ่งเป็นฐานทัพของกัปตันนีโม่นั่นเอง ทั้งบรรยากาศ ฉาก และเอฟเฟกต์ต่างๆ บอกได้ว่าทำถึงแบบสุดๆ
ชมการแสดง Believe! Sea of Dreams
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยวโตเกียวดิสนีย์ซีก็คือ การชมการแสดงต่างๆ ที่นี่จะมีการแสดงสุดพิเศษที่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะเป็นการแสดงบนทะเลสาบ ในชื่อว่า “Believe! Sea of Dreams” โดยเหล่าตัวการ์ตูนดิสนีย์จะออกมาทำการแสดงบนเรือลำใหญ่ และมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟโพรมีธีอุส (Mount Prometheus) ที่ประประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลากสีสัน พร้อมด้วยเอฟเฟกต์สุดอลังการ แสง สี เสียง แบบจัดเต็ม มีนักเต้น นักแสดง นักดนตรี ออกมาทำการแสดงบนเรือ ให้เราได้ชมแบบ 360 องศา ถือเป็นการแสดงที่แตกต่างจากสวนสนุกดิสนีย์แห่งอื่นๆ หาชมที่ไหนไม่ได้แน่นอน
พบปะตัวคาแรคเตอร์ยอดฮิต Duffy and Friends
ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งความพิเศษก็คือเราจะได้พบกับคาแรคเตอร์สุดน่ารักอย่าง Duffy and Friends ซึ่งเป็นตัวละครออริจินัลแห่งสวนสนุก Tokyo DisneySea ประกอบไปด้วย หมีน้อย ดัฟฟี่ (Duffy), เชลลี่เมย์ (ShellieMay), แมวน้อย เจลาโตนี่ (Gelatoni), กระต่ายสุดน่ารัก สเตลล่าลู (StellaLou), น้องหมา คุกกี้แอน (CookieAnn), เต่าน้อย โอลูเมล (Olu Mel) และ น้องจิ้กจอกน้อย ลินาเบล (LinaBell) โดยตามประวัติความเป็นมา ดัฟฟี่และเชลลี่เมย์ เป็นตุ๊กตาหมีที่มินนี่เมาส์ทำให้กับมิกกี้เมาส์ ใครอยากเจอคาแรคเตอร์สุดน่ารักเซ็ตนี้ มาเจอได้ที่โตเกียวดิสนีย์ซีเท่านั้น ฝั่งดิสนีย์แลนด์ไม่มีนะคะ รวมถึงสินค้าที่ระลึกต่างๆ จากคาแรคเตอร์ในเซ็ต Duffy and Friends ก็หาซื้อได้แค่ที่นี่เท่านั้นด้วยจ้า
โรงแรม Tokyo DisneySea Hotel MiraCosta!
โรงแรมระดับ 5 ดาวที่ตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือเมดิเตอร์เรเนียนของโตเกียวดิสนีย์ซี ห้องพักส่วนใหญ่ได้รับการตกแต่งในธีมท่าเรือเวนิสและปอร์โตฟิโนของอิตาลี มีความโอ่อ่า สวยงามอลังการ ทำให้ทุกมุมเป็นจุดถ่ายรูปได้หมดเลย มีห้องพักทั้งสิ้น 502 ห้อง แบ่งออกเป็นหลายประเภท หลายวิวให้ได้เลือกพัก ทั้ง Tuscany, Venice และ Porto Paradiso ความพิเศษของที่นี่คือ มีทางเข้าออกของโรงแรมที่เชื่อมต่อกับสวนสนุกโดยเฉพาะ สามารถเข้าสวนสนุกได้ก่อนใคร 15 นาที ไม่ต้องไปเบียดกับใคร แถมกดจองคิวเครื่องเล่นได้ก่อนอีกด้วย
เปิดสวนสนุกโซนใหม่ปี 2024 : Fantasy Springs
หลังจากที่แฟนๆ ตั้งหน้าตั้งตารอมาเนิ่นนาน ในที่สุดวันที่ 6 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา สวนสนุกได้เปิดโซนใหม่ Fantasy Springs ภายใต้ธีม “a world of Disney fantasy led by magical springs” ที่ประกอบด้วยธีมภาพยนตร์ดิสนีย์ 3 แห่งจากเรื่อง Frozen, Tangled และ Peter Pan ตามด้วยโรงแรม Tokyo DisneySea Fantasy Springs Hotel อีกหนึ่งแห่งบนพื้นที่กว่า 140,000 ตารางเมตร ซึ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ โตเกียวดิสนีย์ซี เปิดดำเนินการมา
1. Frozen Kingdom
เริ่มกันที่โซนแห่งเมืองน้ำแข็ง อิงจากภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Frozen” ให้เราได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรเอเรนเดล (Arendelle) ในช่วงเวลาหลังจากที่เอลซ่าควบคุมพลังได้ ทำให้อาณาจักรแห่งนี้กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง และล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง มองเห็นภูเขาน้ำแข็งสูงตั้งตระหง่าน รวมถึงพระราชวังน้ำแข็งของเอลซ่า โดยโซนนี้เครื่องเล่นจะมีความเกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น Anna and Elsa’s Frozen Journey ล่องเรือผ่านเรื่องราวผจญภัยของสองพี่น้อง พร้อมกับเพลงประกอบชื่อดังยาวนานกว่า 6 นาที ใครที่เป็นแฟน Frozen ห้ามพลาด!
2. Rapunzel’s Forest
ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปสู่โลกของราพันเซล อิงจากภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Tangled” มองเห็นหอคอยราพันเซล (Rapanzel’s Tower) ตั้งตระหง่านโดดเด่นมาแต่ไกล สวยงามทั้งกลางวันและตอนกลางคืน ที่สำคัญห้ามพลาดกิจกรรมไฮไลท์อย่าง Rapanzel’s Lantern Festival เครื่องเล่นที่แสนจะโรแมนติก กับการล่องเรือไปยังเทศกาลโคมไฟประจำปีที่ส่องสว่างจำนวนนับไม่ถ้วน ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย ให้ความรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในฉากใดฉากหนึ่งของเรื่อง พร้อมมีเพลงเปิดคลอไปด้วย
3. Peter Pan’s Never Land
ไปต่อกับอีกหนึ่งโซนที่ใครหลายคนคิดถึง สร้างจากภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Peter Pan” ดินแดนเนเวอร์เเลนด์ที่ให้เราสวมบทบาทเป็นสมาชิกของ Lost Boys และออกไปสำรวจเรือโจรสลัดด้วยกัน โดยมีเครื่องเล่นไฮไลต์เด็ดอยู่ที่ Peter Pan’s Neverland Adventure เครื่องเล่นเเนว 3D ที่เราจะได้แล่นอยู่บนเรือ ผจญภัยไปกับเรื่องราวของปีเตอร์ แพน และทิงเกอร์เบลล์ ในการช่วยเหลือจอห์นที่ถูกกัปตันฮุคและโจรสลัดลักพาตัวไปไว้ที่เนเวอร์แลนด์ ต่อด้วย Fairy Tinker Bell’s Busy Buggies ให้เราได้ไปท่องเที่ยวใน Pixie Hollow หุบเขาแห่งนางฟ้า ได้เห็นแต่ละขั้นตอนของเหล่านางฟ้าในการช่วยทิงเกอร์เบลล์ส่งพัสดุไปยังสถานที่ต่างๆ โดยแต่ละแห่งจะสะท้อนถึงฤดูกาลที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องเล่นที่ใช้เวลาสั้นๆ เพียง 2 นาทีเท่านั้น
4. Tokyo DisneySea Fantasy Springs Hotel
เรียกได้ว่าที่นี่เป็นโรงแรมดิสนีย์แห่งที่ 6 ในญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำพุมหัศจรรย์ของโซน Fantasy Springs ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเยี่ยมชมหรือเข้าพักหลังจากเดินเที่ยวในสวนสนุกมาทั้งวันได้ เปิดให้บริการทั้งสิ้น 475 ห้อง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Fantasy Chateau ห้องที่มีการตกแต่งด้วยดอกไม้และตัวละครจากภาพยนตร์ดิสนีย์ เเละ Grand Chateau ห้องไทป์นี้จะมีการตกแต่งที่หรูหราขึ้น เป็นห้องพักที่ดีที่สุดของโรมแรมแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งห้องพักทั้งสองแบบสามารถมองเห็นวิวของ Fantasy Springs ได้จากระเบียงของห้องพักทุกห้องเลย ความพิเศษอยู่ตรงที่ผู้เข้าพักในโรงแรมสามารถซื้อ 1-Day Passport: Fantasy Springs Magic เป็นบัตรแบบพิเศษที่สามารถเข้าพื้นที่ Fantasy Springs และ Tokyo DisneySea ส่วนอื่นๆ ได้ทุกเมื่อในเวลาทำการ และเล่นเครื่องเล่นแบบไม่ต้องต่อคิวโดยไม่ต้องใช้ Pass แบบพิเศษ
เตรียมพร้อมก่อนเที่ยว Tokyo DisneySea
สำหรับใครที่มาเที่ยว Tokyo DisneySea ครั้งแรก หรือเคยมานานมากแล้ว พี่เห็ดนำทริคดีๆ และการวางแผนเที่ยวมาฝาก ตามนี้ค่ะ
1. ดาวน์โหลดแอปฯ Tokyo Disney Resort : ตัวช่วยให้เราวางแผนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่การซื้อตั๋ว การสแกนตั๋วเข้าสวนสนุก การจองคิวเครื่องเล่น ร้านอาหาร ดูตารางการแสดง ตรวจสอบเวลาในกรรอคิวเครื่องเล่น ไปจนถึงการจองโรงแรมในเครือ พร้อมแพ็คเกจท่องเที่ยว ทำให้เราสามารถจัดแจงเวลาได้ดีมากๆ
2. ใช้ 40th Anniversary Priority Pass เพื่อลัดคิวเครื่องเล่น : Tokyo Disney ใจดี ฉลองครบรอบ 40 ปี เปิดให้ทุกคนได้กดบัตรลัดคิวแบบระบุเวลา ฟรี! ถึง 7 เครื่องเล่นด้วยกัน สามารถกดได้ผ่านแอปฯ ดิสนีย์ หลังจากที่เข้าสวนสนุกแล้วเท่านั้น และ 1 คนสามารถเล่นได้ 1 เครื่อง โดยเมื่อกดแล้วต้องรอ 120 นาทีจึงจะกดเครื่องเล่นอื่นเพิ่มได้
3. จองรอบการแสดงด้วย Entry Request : ใครที่อยากดูการแสดงควรรีบจองตั้งแต่เข้าสวนสนุก เพราะรอบที่ต้องการอาจเต็มก็ได้ เน้นความไวเป็นหลัก สามารถจองได้วันละ 1 ครั้ง 1 ต่อ 1 การแสดงเท่านั้น
4. ซื้อ Disney Premier Access เพื่อลัดคิวเครื่องเล่น : ถ้าใครมีเงิน แล้วไม่อยากต่อคิวเครื่องเล่นฮิตๆ นาน แนะนำให้ใช้เงินแก้ปัญหาเลย ซึ่งบัตรนี้ใช้สำหรับเข้าช่องพิเศษ ลดเวลาต่อคิวเครื่องเล่น หรือถ้าเป็นรอบการแสดงก็จะได้จองเวลาล่วงหน้าในโซนที่กำหนดไว้แบบระบุที่นั่งอีกด้วย สามารถกดซื้อได้ผ่านแอปฯ ดิสนีย์อีกเช่นกัน โดยราคาจะแตกต่างกันไป
5. หากมีเด็กเล็กควรเตรียมหรือเช่ารถเข็นเด็กไว้ด้วย : เพราะถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นสำหรับการพาเด็กไปสวนสนุก ผู้ใหญ่ยังเหนื่อย เด็กต้องมีที่นั่งพักซึ่งก็คือรถเข็นนี่แหละ เพื่อสะดวกในการเดินเที่ยวชมยาวนาน แถมยังใช้วางสิ่งของต่างๆ ได้ด้วย ทุกจุดเครื่องเล่นมีที่จอดรถเข็นที่ปลอดภัย ไม่ต้องห่วง
6. ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มจากข้างนอกเข้ามา : ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดในระดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วภายในสวนสนุกมีร้านอาหาร และของกินเยอะมาก แถมยังน่ารักน่ากินอีกด้วย แค่นี้ก็เลือกซื้อไม่ถูกแล้ว
7. เตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่อาจแปรปรวน : ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าเหมาะสม พกร่ม เสื้อกันหนาว แว่นกันแดด และควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเข้าสวนสนุก เพื่อให้มีพลังเต็มที่ตลอดทั้งวัน
วิธีการเดินทาง
จากโตเกียว นั่งรถไฟ JR สาย Keiyo หรือสาย Musashino มาลงที่สถานี Maihama จากนั้นให้เดินมาขึ้นรถไฟสาย Disney Resort มาลงที่สถานี Tokyo DisneySea
รายละเอียดเพิ่มเติม
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน เวลา 09.00 – 21.00 น. (เวลาเปิด-ปิดแต่ละฤดูกาลอาจมีการเปลี่ยนแปลง แนะนำให้ตรวจสอบที่เว็บไซต์ของสวนสนุก)
ค่าเข้า : ตั๋วแบบ 1-Day Passport ผู้ใหญ่ 7,900 yen – 10,900 เยน / เด็ก 6,600 yen – 9,000 เยน / เด็กเล็ก 4,700 yen – 5,600 เยน (ตั๋วเข้าสวนสนุกแบ่งออกเป็นหลายประเภท สามารถซื้อได้หลากหลายช่องทาง เช่น ทางออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ Tokyo Disney Resort หรือซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายต่างๆ โดยราคาแต่ละช่วงเวลาอาจมีความแตกต่างกัน แนะนำให้ตรวจสอบที่เว็บไซต์ของสวนสนุกอีกครั้ง)
เว็บไซต์ : https://www.tokyodisneyresort.jp/en/tds/
แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/CDmHvHTX2QhTqdFh6
อ่านจบบอกได้เลยข้อมูลแน่นเต็มสมอง จนอยากออกไปเที่ยว Tokyo DisneySea ตอนนี้เลย แต่ไม่ว่ายังไงการเตรียมความพร้อมทั้งข้อมูล แผนการเดินทาง และสภาพร่างกายจิตใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้การเที่ยว โตเกียวดิสนีย์ซี สนุกขึ้น แถมไม่ต้องกังวล หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหน้างาน ไปเที่ยวสวนสนุกกันให้สนุกนะคะ