Mushroom Travel

ลากล้อเที่ยวกินช้อป.. เกาหลี ..หมีหมัดเมา

สวัสดีค่ะ ขอนำท่านเข้าสู่ทริปการเดินทางอันมั่วซั่วของอาฮั้น หมี..หมัด..มาววววว

ทำไมต้องเป็นหมีหมัดเมาอีกไม่นานท่านคงรู้ (เพราะเพื่อนอาฮั้นบอกว่ามันเมาได้ตลอดเวลา พูดเหมือนคนเมา พูดไม่รู้เรื่อง)

ขออภัยในความไม่รู้ประสีประสาของหะมีมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ รีวิวเกาหลีทริปนี้ เน้นไปที่เรื่อง กิน ช้อป เที่ยว ข้อมูลอาจไม่แน่น ไม่ปึ๊ก ไม่เป๊ะ แต่ก็หวังว่าคงเป็นแนวทางให้กับท่านที่สนใจเดินทางไปเที่ยวเกาหลีครั้งแรกด้วยตัวเองได้บ้างไม่มากก็น้อย

แรกเริ่มเดิมทีคุยกับคุณสามีไว้ว่าจะเดินทางไปเที่ยวไต้หวัน ซื้อหนังสือท่องเที่ยวไต้หวันมาศึกษาแล้วล่ะ

แต่ไง๋มันเปลี่ยนทิศทางเบนเข็มไปจองตั๋วเครื่องบินไป เกาหลี แทน

อาจจะเป็นเพราะกระแสเกาหลีมาแรง ชอบฟังเพลงเกาหลีจังหวะมันดี อยากไปช้อปเครื่องสำอางเห็นว่าถูก อยากไปกินหมูกระทะเกาหลีแบบต้นตำหรับด้วย คุณสามีก็ชอบดูรายการสองวันหนึ่งคืน เลยถือโอกาสไปกินตามรอยคุณคังโฮดง บินโดยสายการบินแห่งชาติเกาหลี ค่าตั๋วประมาณคนละ 19,025 บาท ไฟลท์นี้ KE652 บินรอบดึก 22.30 น. เครื่องออกตรงเวลาเป๊ะ ไปถึงก็ตี5กว่าๆ เกือบ 6 โมงของเวลาเกาหลี

นั่งเครื่องราว 6 ชั่วโมง ถึง ตม. แล้วคิวยาวมากมาย ป้ายช่องสีฟ้าสำหรับ Korean passport ส่วนป้ายช่องสีชมพูสำหรับชาวต่างชาติ หาข้อมูลมาเยอะ ในใจแอบกลัวเราจะถูกส่งกลับประเทศไหมหนา ถ้าถูกส่งกลับจะทำยังไงดี แอบเสียใจน่าดูเลย ระหว่างที่รอคิว แถวของคนเกาหลีก็หายไปในพริบตา ระบบเขาดีจัดการได้รวดเร็วทันใจดีจัง จากนั้นท่าน ตม. ก็เชิญให้ไปตั้งแถวในช่อง Korean passport เราเลยได้คิวแรก ในใจสั่นสู้ ถ้าเขาถามมาจะตอบระรัวว่าอะไรดีนะ คุณสามีก็ไปเข้าช่องโน้นซะแล้ว ปรากฏว่า ท่าน ตม. เขาไม่ถาม ไม่เอ่ยปากอะไรสักแอะเลยอ่ะ โธ่ๆ ปล่อยให้ลุ้นตั้งนาน ยืนอมน้ำลายบูด จากนั้นก็ไปช่องรับกระเป๋า กระเป๋ามารอเราก่อนแล้วล่ะ รับกระเป๋าเสร็จเราได้ก้าวเข้าสู่เกาหลีอย่างเป็นทางการแล้ว เย้ๆ อีก 7 วันข้างหน้าเราจะเที่ยวให้หน่ใจไปเลย

ออกมาเราก็เจอ 7-11 มาซื้อตั๋ว T-MONEY พร้อมทั้งเติมเงินลงบัตร ค่าบัตร2500w /คน เติมเงินไปด้วยให้เป็น 10,000w เพื่อใช้ในการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน รถเมล์ และสามารถซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ (สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อในสนามบิน อาทิเช่น ร้าน GS25, 7-11 เป็นต้น) ที่สนามบิน Wi-Fi เขาแรงดีไม่มีตก เวิร์คมาก ขอเช็คอิน FB ที่นี่สักหน่อยประกาศให้รู้ว่ามาถึงแล้ว คนที่บ้านจะได้ไม่ต้องห่วง

เราเลือกเดินทางเข้าเมืองโดยใช้รถบัสลีมูซีนเพราะจะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าแสนถ่วงของเราขึ้นรถไฟใต้ดิน แล้วไม่รู้รถไฟใต้ดินต้องเปลี่ยนสถานียังไง ไกลไหม มีลิฟท์หรือเปล่า ไม่อยากเสี่ยงเลยคิดว่าทางนี้สะดวกสุดในการเข้าเมือง ตอนเช้ารถไม่ติดด้วย ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่า

จากนั้นก็มาที่ช่องขายบัตรรถเข้าเมือง อยู่ตรงประตูทางออก 4, 6, 7, 8, 11 และ 9c ที่นั่นมีป้ายสีฟ้าบอกสายรถที่จะไปที่ต่างๆ อย่างละเอียด และตรงนั้นจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษได้ดีค่ะ ฟังพูดรู้เรื่อง จะไปไหนถามได้เลยว่านั่งรถสายอะไร แต่จะให้ดีหาข้อมูลจากที่พักไปคร่าวๆ ก่อนจะดีกว่า เราไปเมียงดงป้ายหน้าโรงแรม Sejong Hotel

 

ซื้อตั๋วรถลีมูซีนบัสเข้าเมืองคนละ 10,000w รถสาย 6015 ออกมาข้างนอกประตูมีป้ายบอกเวลาที่รถจะมารับและจะจอดที่จุดใดบ้าง เราขึ้นรถรอบ 06.50 น. ตอนนี้เราได้สัมผัสลมหนาวของเกาหลีแล้วช่างเย็นสะท้าน โชคดียืนรอรถไม่นานมาก รถก็มาจอดเทียบท่ารับกระเป๋าเราไว้ข้างใต้ ส่วนกระเป๋าล้อลากใบเล็กๆ ก็เอาขึ้นไปด้านบนมีที่วางค่ะ

ขึ้นไปบนรถรอผู้โดยสารท่านอื่น สักพักก่อนได้เวลาล้อหมุน โชเฟอร์ก็มาบอกให้ทุกท่านรัดเข็มขัด เตรียมตัวซิ่งละนะฮ๊าบบ…วิวข้างนอกเมืองดูโล่งโล้นเตียน แห้งๆ ต้นไม้เฉาๆ ผ่านสะพานออกนอกเกาะมาสักพักถึงมีสิ่งปลูกสร้าง ไม่เหมือนบ้านเรา โฆษณาขายบ้านใกล้สนามบิน หารู้ไม่ เครื่องขึ้นลงเสียงดังจริง 55+ ด้วยความตื่นเต้นเก็บวิวสองข้างทางไปสักพักฮ่ะ เดี๊ยนก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลยค่าาาา มาตื่นก็เกือบจะสามป้ายสุดท้าย ส่วนนายแว่นก็ดูวิวกับดูนังภรรเมียมันหลับอย่างสบายใจ กินแรงจริงๆ

เราลงป้ายสุดท้ายเลยค่ะ หน้าโรงแรม Sejong แต่เราไม่ได้พักที่นี่คะ เราพักที่เกสเฮ้าส์ IB VILLE จากนั้นเราต้องข้ามถนนไม่มีทางม้าลายค่ะคุณเอ๋ย.. ต้องเดินลงทางข้ามที่เป็นสถานีรถไฟใต้สถานีดินเมียงดง หน้าโรงแรมจะเป็นทางออกที่ 10 เราเดินออกไปทางออกที่ 1 แล้วลากกระเป๋าขึ้นมาด้านบนถนนผ่านช่องทางออกที่ 2 และ 3

ทีนี้มาถึงช็อตเด็ดสิคะคุณขา เป็นการเดินทางที่อิชั้นประทับใจม๊ากมากไม่รู้ลืมเลือน โปรดกรุณาจิ้น (จินตนาการ) ตามนะคะ นอกจากต้องลากกระเป๋าเดินทางหนักสิบกว่าโลแล้ว ต้องปะทะกับลมหนาวที่ลอดช่องลมทางเดินบันไดรถไฟใต้ดิน ณ อุณหภูมิเช้านั้นอยู่ที่ -2 องศา ขาค่ะ ขาอิชั้นก้าวไม่ออกเลยค่ะ บันไดแบ่งเป็นสองช่วงด้วยค่ะ ช่วงกลางก็มาพักยืนหลบลมหนาวข้างเสา นึกว่าจะหลบพ้น ยืนสั่นไม่ไหวจะเคลียร์อ่อนเพลียไม่อยากขยับ ทำตัวไม่ถูก พอลงมาถึงข้างล่างแล้วค่อยยังชั่วที่ลมมันไม่ตามมา แต่ก็ยังหนาวสั่นอยู่ รีบหากุญแจมาเปิดกระเป๋าลากด่วนๆ เลยค่ะ กางกระเป๋าใส่ชุดช่วยชีวิตเพิ่ม หนาวจะตายอยู่แล้ว นึกในใจ GU มาทำอะไรวะเนี่ย พี่เกา (หลี) ชาย-หญิง เดินผ่าน ณ ที่ตรงนั้นไม่มีสายตาคู่ไหน ที่ไม่จับจ้องดิฉันเลยค่ะ แต่มีหรือที่สาวไทยขาสั้น 150 ซม. จะแคร์ สวยไม่แคร์สื่อ ใส่ถุงเท้า เพิ่มกางเกงลองจอน ใส่หมวก ถุงมือ ผ้าปิดจมูกกันลมที่หน้า ประโคมเสื้อหนังเอามันให้ครบ อย่าได้อาย ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะเที่ยวไม่สนุก เก็บเงินตีตั๋วมาใหม่คงอีกเป็นปีเลย นาทีนี้ไม่มีห่วงสวย

ตัดฉากกลับมาต่อที่การเดินทางไปที่พักค่ะ พอเราถึงทางออกที่ 3 เราจะเจอร้าน 7-11 เดินตรงไปจะเจอแยกรูปตัว Y ข้างหน้าจะเป็นโรงแรม Pacific แยกขวามีร้านสะดวกซื้อ GS25 แยกซ้ายจะเป็นทางลาดชันขึ้นไปที่พักเกสเฮ้าส์ IB VILLE

ทางไปที่พักใกล้กับโซลทาวเวอร์ด้วยค่ะ เดินผ่านย่ามค่ำคืนเห็นแสงไฟทุกคืนเลย วิวสวยดี แต่ความสวยมันไม่ได้มาง่ายๆ นะคะกับสาวเลข 3 ทางมันลาดชันเวลาเดินขึ้น หอบมันก็ขึ้นมาด้วยค่ะ แต่ตอนลงก็สบายหน่อย จุดที่สังเกตเห็นของสาวนักเรียนเกาหลีขาเขาจะเรียวไม่เหมือนสาวญี่ปุ่นที่เป็นปล้องๆ ข้าวต้มมัด เลยแซวกับแฟนอยู่ว่าคงเป็นเพราะเดินทางชันประจำแน่ๆ เลยขาเขาถึงได้เรียว ถ้าเราอยากขาเรียวยาวแบบสาวเกาหลีก็เดินไปอย่าได้บ่น

เดินไปที่พักมาถึง 08.30 น. แม่เจ้าเช้าไปเขายังไม่เปิดจ้า.. เขาเปิด 9 โมง กรรมแล้วไหมตรู หนาวก็หนาว ต้องนั่งรอหน้าที่พัก คุณแว่นเลยบอกว่าให้ไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อตรงกลางซอย เออความคิดดีเหมือนกัน งั้นเธอเฝ้ากระเป๋าฉันจะไปสำรวจว่ามีอะไรกินรองท้องบ้าง เดี๋ยวโรคกระเพราะจะกำเริบเหิมเกริมขึ้นมาจะไม่ไหว ไปถึงร้านสะดวกซื้อ โอ้สวรรค์โปรดแท้ๆ อุ่นจังแต่ตังค์อยู่ไม่ครบ ได้ขนมที่เขาว่าอร่อยมาก market o แต่เราว่ามันหวานมากไม่ถูกปากเลย ต้องขออภัยคนที่ชื่นชอบด้วย กับช็อกโกแลตอุ่นๆ ได้รับความอบอุ่นแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย รีบไปบอกนายแว่นว่าให้ไปหลบหนาวที่ร้านนั้นกันเถอะ เหมือนเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดของเราเลยล่ะ และแล้วเรายอมลากกระเป๋าไปมาเพื่อความอบอุ่น และคุณแว่นก็หาของรองท้องกินสักหน่อย

นมกล้วยที่เขาว่าเด็ดฉันก็ลองแล้วกับเขาเหมือนกัน แต่กินแล้วเฉยๆ ชอบนมธรรมดามากกว่า หอมมันเข้มข้นอร่อยติดใจ ส่วนมาม่าก็รสชาติเผ็ดร้อนอร่อยดี แต่ยังไงมาม่าต้มยำกุ้งเราแซบครบรสกว่า มีทั้งเผ็ดเปรี้ยวหวานเค็ม ชนะเลิศ ข้างในมีที่ยืนกินได้ เราก็หลบมุมยืนโซ้ยกันอย่างเมามันเลย

เกสเฮ้าส์ IB VILLE ที่เราจองมันสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวดีค่ะ อยู่ย่านกลางกรุงแหล่งช้อปปิ้งเมียงดง และมีอาหารเช้าให้เป็นขนมปังทาแยม ไม่มีนมกับซีเรียลให้กิน ที่พักมีอาหารเช้าเล็กๆ แบบนี้ก็ดีนะทำให้ช่วยประหยัดงบมื้อเช้าไปได้ กว่าจะได้กินอีกมื้อก็สายๆ เที่ยงๆ บ่ายๆ แล้ว ข้อเสียของที่นี่คือต้องจองผ่านเว็บ paypal คือเราต้องจ่ายเงินล่วงหน้าไว้ก่อน คงมีกรณีคนจองแล้วยกเลิกกะทันหันไม่มาทำให้เจ้าของเสียรายได้ไป ตอนเราจองเรียบร้อยก็มีอีเมลติดต่อส่งข้อมูลวิธีการเดินทางไปมาให้เรา พร้อมใบเสร็จในการไปยื่นตอนเช็คอิน แต่เช็คอินได้เวลาบ่าย 2 โมง เช็คเอาท์ 11 โมง แต่ถ้าไปถึงก่อนฝากกระเป๋าได้ตั้งแต่ 09.30 น. โชคดีวันที่ไปห้องที่พักไม่มีคน เราเลยเข้าห้องพักได้เลย ไม่ต้องรอจนถึงบ่าย2 ด้วยความหนาวมากเราเลยลืมถ่ายรูปหน้าที่พักขออนุญาตเอามาหน้าเว็บเลย

เราได้ห้องชั้น 2 จองแบบเตียง double แบบว่ารักกันอ่ะ อย่าหวังว่าจะได้สวีทฮันนี่มูนเลย ของที่พ่อแม่พี่ป้าน้าอาฝากให้ทำการบ้านคือการมีเบบี้ตัวน้อยลืมไปได้เลยนะฮะ เดินทั้งวันหัวถึงหมอนก็หลับ ครอกฟี้ๆ แทบจะถอดขาออกมาพักไว้ก่อน หายเมื่อยค่อยใส่กลับร่าง เฮ้อๆ

ห้องพักสะอาด มีผ้าขนหนูเช็ดตัวให้ขนาดกลาง 2 ผืน และผืนเล็ก 2 ผืน สามารถเปลี่ยนได้แต่ต้องเอาไปเปลี่ยนเองข้างล่าง ที่ล็อบบี้จะมีชั้นวางผ้าให้เปลี่ยน มีผ้าเช็ดเท้า 1 ผืน ไม่มีการทำความสะอาดห้องให้ หากจะทำต้องเสียเงินค่ะ ขยะในห้องเอาไปทิ้งเองด้านล่าง มีถังแยกแต่ละชนิดให้ด้วย น้ำอุ่นแรงดีไม่มีตก แต่ปรับการใช้งานยาก มันร้อนมากๆ จะขยับนิดหนึ่งมันก็ไม่อุ่น ขยับไปอีกนิดก็ร้อนจะลวกผิว มียาสีฟัน ครีบอาบน้ำ ยาสระผมให้ที่ห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่าของคนเก่าเขาทิ้งเอาไว้หรือที่เกสเฮ้าส์จัดไว้ให้ใช้ แต่เราก็เตรียมของเราไปเอง ไม่ได้ใช้ของที่มีให้ กระดาษทิชชู่มีให้สองม้วน ถ้าใช้หมดจ่ายค่าทิชชูด้วยนะ ถ้าอ่านไม่ผิด แนะนำว่าครีมทาตัวไปซื้อที่โน่นก็ได้ที่ร้านสะดวกซื้อ ครีมที่โน่นเข้มข้นชุ่มชื้นเหมาะกับสภาพอากาศ ผิวไม่แห้งแตก ราคาไม่แพงค่ะ

นอกจากนี้ที่นี่มีห้องเก็บกระเป๋าชั้นใต้ที่เป็นโรงรถ วันสุดท้ายก่อนกลับฝากกระเป๋าไว้เขามีผ้าผืนใหญ่ไว้คลุมกระเป๋าของใครของมันไว้ให้ด้วย แล้วไปเดินช้อปปิ้งเก็บตกได้เลยนะจ๊ะ ส่วนของมีค่าก็เอาติดตัวไปด้วยแล้วกันเน้อ อ้อ ที่นี่เขามีตราชั่งไว้ให้ชั่งกระเป๋าด้วย ที่นี่มี Wi-Fi ให้เล่นฟรี และคุณสามารถถามข้อมูลต่างๆ กับเจ้าของได้เลย เขาจะนั่งประจำที่ล๊อบบี้ด้านล่าง ค่าที่พัก 420,000w (พักทั้งหมด 7 คืน) ตกคืนละ 60,000w แนะนำให้แลกเงินที่ไทยไปเลยหมีแลกที่ซุปเปอร์ริช ร้านสีเขียวตรงประตูน้ำ แลกไปให้พอที่จะใช้เลยนะคะ เพราะไปแลกที่โน้นเรทแพงไม่คุ้มเลยค่ะ ในการเดินทางครั้งนี้จะบอกว่า ท่านมินิไอแพตเป็นผู้ชี้ชะตานำทางแก่เราทั้งสอง ฮ่าๆ มันสะดวกมากเลยค่ะ แต่คุณต้องขยันเตรียมบางสิ่งดังนี้

วางกระเป๋าแล้วเราก็ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งหน้า แต่งตัวใหม่ พร้อมเผชิญกับโลกกว้าง 10 โมงกว่าๆ เรานั่งรถไฟไปพระราชวังชางดองกุ๊ก ลงรถไฟใต้ดินที่สนานี anguk ทางออกที่ 3 ในสถานีรถไฟได้กลิ่นหอมโชยมาจากร้านขนมปัง Paris Baguette แต่เราเพิ่งกินมาจากที่พักเลยไม่ได้แวะซื้อ ดมกลิ่นให้อิ่มก็พอ แต่แวะร้าน daiso ซื้อถุงอุ่นร้อน hot pack ไว้ประทังชีวิตอันหนาวเหน็บ ราคา 1,000w เป็นแบบอุ่นนาน 6 ชม. มี 4 อัน ใน 1 แพ็ก

โผล่ขึ้นมาจากสถานีก็เดินตรงไปนิดหน่อยก็เจอพระราชวังแล้วค่ะ ค่าตั๋วเข้าวังคนละ 3,000w ค่าเข้าชมสวนลับคนละ 5,000w เราไปเข้าชมสวนต้องห้ามก่อน เพราะมีไกด์พาเที่ยวรอบ 11.30 สวนนี้ UNESCO ตั้งให้เป็นมรดกโลกด้วย คือเกาหลีมีอะไรพี่แกยื่นจดมรดกโลกไว้หมดเลยค่ะ เป็นจุดขายเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เงินเข้าประเทศ

รีบไปรอคิวเข้าสวนดีกว่าเดี๋ยวจะไม่ทันไกด์ ไปนั่งชมวิวชิลล์ๆ ที่หน้าทางเข้าสวน

คุณไกด์สาวเกาหลีหน้าใสมาก เธอแนะนำและก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ปกติสวนแห่งนี้ไม่ได้เข้ามาได้ง่ายๆ นอกจากได้รับเชิญจากพระราชา สวนแห่งนี้จึงเป็นสวนที่ต้องห้าม และยังเป็นสถานที่ที่ญี่ปุ่นไม่ได้มารุกราน การตกแต่งจึงยังเป็นไปตามสถาปัตยกรรมตามแบบต้นฉบับสไตล์เกาหลีอย่างแท้จริง แต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ช่วงเวลาที่เราไปไม่เหมาะกับการเดินชมสวนเพราะเป็นปลายฤดูหนาว ต้นไม้แห้งเฉามีแต่กิ่ง ไร้สีสันของใบไม้ดอกไม้ พื้นเริ่มแฉะ น้ำแข็งจากหิมะละลาย

ข้างในเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของกษัตริย์ มีศาลาริมน้ำ ที่จำลองเกาะตรงกลางเปรียบเสมือนกับโลก น้ำที่ล้อมรอบเป็นจักรวาล อาคารที่นั่งชมก็จะสูงต่ำไม่เท่ากัน เนื่องจากที่สำหรับกษัตริย์กับข้าราชบริพาร ฉันตื่นเต้นกับการได้เห็นหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิต 55+ น้ำเย็นจนจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งสีขาว ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า และวิวกิ่งไม้หัวโกร๋นสีน้ำตาล

ส่วนตรงนี้จะมีห้องหนังสือของพระราชาด้วย คนทั่วไปขึ้นไปไม่ได้ เข้าได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ประตูทางเข้าใหญ่สำหรับพระราชา และประตูเล็กสองด้านสำหรับข้าราชบริพารเดินผ่าน

ประตูนี้เขาว่าจะเป็นประตูที่เดินผ่านแล้วทำให้อายุยืนยาว หมีว่าใครได้ไปคงเจอกับพี่ไกด์คนสวยจนแก่ 100 ปีแน่ๆ เพราะ She เดินผ่านเข้าออกไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้วเนอะ

รูปแรกซ้ายมือด้านบนใครเห็นเก๋งชมสวนกี่แห่งเอ่ย?? ((พี่ไกด์ฝากมาถาม เดี๋ยวมาเฉลยนะ)) พระราชาต้องการอยากจะรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านว่าอยู่ยังไงนอกรั้วขอบวัง จึงได้สร้างสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่จำลองบ้านพักของชนชั้นสูง

 

บ้านพักก็จะสร้างจากไม้ มีหน้าต่างเป็นกระดาษเหมือนในหนังเลย ที่เวลาโดนวางยาสลบก็เจาะรูแล้วเป่ายาพิษเข้าไป ไอ้คนเป่าดันไม่สลบเนอะ !! ว่ามะ??

ข้างใต้เรือนจะเป็นช่องที่ไว้ก่อไฟให้ความอบอุ่นขึ้นไปด้านบน งานพวกนี้จะให้ทาสผู้หญิงเป็นคนทำ ผู้ชายจะไปทำงานหนักๆ กัน

วันว่างพระราชาก็จะออกมาเดินเล่น มีการจัดสวนปิกนิก จะมีแม่ครัวมาทำอาหารให้ในสวนด้านหลังด้วยนะคะ ข้างในนี้กว้างมากค่ะ เดินวนไปมาซะเมื่อยเลย ดูไปดูมาก็เก๋งนั่งชมสวนรูปร่างคล้ายๆ กัน แต่ที่พิเศษก็เป็นรูปซ้ายมือด้านล่างที่เก๋งเป็นรูปกล้วย ทรงวงรีค่ะ ปกติจะเป็นทรงเหลี่ยมๆ ด้านในก็จะมีตาน้ำด้วย น้ำใสแต่น้ำไหลไม่เยอะเท่าไหร่ ระหว่างทางที่เดินก็ขึ้นเขาลงเนินบ้างตามลักษณะภูมิประเทศ ถ้ามีโอกาสได้มาอีกครั้งอยากจะมาตอนที่เห็นใบไม้หลากสีคงจะได้เห็นภาพสวนสวยๆ ของพระราชา

ออกมาจุดสุดท้ายของสวนกันแล้ว เป็นต้นไทรต้นใหญ่มาก มีลำต้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ใครมองออกว่าเป็นตัวอะไรบ้างจ๊ะ เขาว่าจะเป็นรูปนก เหยี่ยว มังกร ลิง ตามแต่จะจินตนาการ

ชมสวนเสร็จก็วนมาที่พระราชวังถ่ายรูปและเดินดูส่วนต่างๆ ภายในวัง ที่นี่กว้างใหญ่แต่ไม่ค่อยมีอะไรมากมาย ความคิดเห็นส่วนตัว อาจะเพราะเกาหลีเป็นประเทศเล็กๆ ที่ต้องคอยทำสงครามกับต่างชาติตลอดเวลา จึงทำให้ไม่มีเวลามาตกแต่งก่อสร้างบ้านเรือนให้สวยงาม แต่จะเน้นความเรียบง่ายมากกว่า

ที่วังนี้เป็น 1 ใน 5 พระราชวังที่สำคัญที่สุดของเกาหลี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแทจงแห่งราชวงศ์โชซอน เมื่อปี พ.ศ. 1948 (ค.ศ. 1405) แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1955 (ค.ศ. 1412) ด้วยเหตุที่พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังเคียงบก (Kyeongbok Palace) ผู้คนจึงเรียกพระราชวังแห่งนี้ว่าพระราชวังตะวันออก (East Palace)

 

ที่ว่าราชการหลักของพระราชวังชางด็อกกุง —>

<— ที่ประทับภายใน

ต่อไปเราจะมุ่งหน้าไปหาของอร่อยที่ตลาดกวางจัง (Gwangjang market) รถไฟใต้ดิน jongno5ga คุณพี่แว่นจะไปกินตามรอยรายการ 2 วัน 1 คืน ตลาดกวางจังเป็นตลาดขายของกินของสดต่างๆ มีขนมแต่งงานขายด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านเช่าชุดฮันบกถ่ายรูปแต่งงานด้วย ด้วยเวลายามบ่ายทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเราทำงานกันอย่างคล่องแคล่ว เห็นอะไรก็ดูน่ากินไปหมด อยากจะลองกินทุกสิ่งอย่างแต่กลัวพุงจะรับไม่ไหว อย่าเสียเวลา…ตามมากินกันเลยดีกว่า

ตลาดกวางจังมาร์เกตเป็นตลาดพื้นเมือง ส่วนใหญ่จะมีแต่คนท้องถิ่นมากินอาหารท้องถิ่น คนญี่ปุ่นมาเที่ยวก็จะกลับไปเขียนรีวิวไว้ ชาวญี่ปุ่นเป็นส่วนมากจะมาเที่ยวและหาของกินที่นี่ ส่วนเราเป็นคนไทยไปกินก็เลยโดนนึกไปว่าเป็นคนญี่ปุ่นไปด้วย ตลาดขายของกินมากมาย อาทิเช่น คิมบับ ต๊อกป๊อกกี ไส้กรอกเลือดหมู ก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยวเส้นสด แป้งทอด ของทะเลสดต่างๆ ข้าวต้มธัญพืช ข้าวต้มถั่วแดง ข้าวต้มฟักทอง ของไหว้ ของแต่งงาน โซนเสื้อผ้า ผลไม้ เหมือนตามตลาดสดทั่วไป แต่ที่ต่างคือมีอาหารพื้นเมืองขายเยอะกว่าที่อื่นๆ เรียงเป็นแถบ และแต่ละร้านขายเหมือนๆ กันเรียงเป็นแถว ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะว่าอยากกินเจ้าไหนก็นั่งเก้าอี้อุ่นก้นได้เลย

 

ร้านนี้เลยตรงหัวมุมพอดีที่คุณคังโฮดงมากิน มีหรือนายแว่นจะพลาด ไม่กินเหมือนมาไม่ถึง

อาจุมม่าถามว่าอีหล้าเอ๊ย!!รับทานอีหยังจูเซโย…เชิญหย่อนก้นลงนั่งก่อนเด้อ แมนนี่ๆ แซบๆ ให้เลือกหลายอย่าง แซบหลายแท้ล่ะแม่อีหนู

กินเป็นไม่เป็นก็ลองดูนะลูกน้า.. (อาหารที่ฮอตฮิตของคนที่นี่เป็นไส้กรอกเลือด สั่งกันจานโตมาก)

อย่างคิมบับเจ้านี้ อร่อยดีติดใจอ่ะ อร่อยกว่าที่คิดเสียอีก เหมือนไม่มีอะไรแต่ทำไมมันอร่อยได้ก็ไม่รู้ มันหอมกลิ่นงา แล้วไส้ก็เป็นผักกรุบกรอบ นายแว่นบอกว่ากินกับน้ำต๊อกป๊อกกีแดงๆ มันเผ็ดๆ อร่อยเข้ากันดี 55+

ต๊อกป๊อกกีเขามาในชามวางบนถุงพลาสติกพลาสเจอร์ไรซ์ (หรือเปล่าไม่รู้) แต่ที่แน่ๆ ชามเขาจะได้ไม่เลอะ ไม่ต้องล้าง อาซิ้มไอเดียดีนะประหยัดน้ำ แต่เปลืองถุงพลาสติกแทน 55+ เอาเป็นว่าสะดวกในการใช้งานมากกว่า รสชาติมันเผ็ดเล็กๆ หรับคนกินเผ็ดก็รู้สึกว่าเผ็ดแสบๆ แต่ไม่เผ็ดเหมือนพริกบ้านเรานะ คือพริกเรากินแล้วมันจะแสบร้อนไปทั้งขอบปาก แต่อันนี้มันเผ็ดเฉพาะตอนกิน พอไม่กินก็ไม่เผ็ดแล้ว มันทำจากแป้งข้าวเหนียว เหนียวนุ่มหนึบ เคี้ยวเพลินเหมือนกินหมากฝรั่ง เฮ้ย!!จะบ้าเหรอ (ม่ายยช่ายยย) อร่อยๆ ค่ะ

ได้กินกิมจิต้นตำรับแล้ว แต่ละที่ก็รสชาติแตกต่างกันไปนะ ที่นี่ก็ออกเปรี้ยว ไม่เค็มมาก ที่ไทยบางทีรสชาติก็โดดลิ้นเกินไป แต่ที่นี่อร่อยแบบกลมกล่อมกว่า เหมือนกินต้มยำถ้าไม่กินที่ไทยก็อร่อยไม่ถึงใจเท่ากินที่ต้นตำรับยังไงยังงั้นเลยจ้า

ซุปลูกชิ้นปลาแผ่น ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร คุณป้าเชียร์เหมือนสาวเชียร์เบียร์ ชี้ที่หม้อต้มแล้วบอกว่าอันนี้อร่อยๆ พี่แว่นก็เลยจัดตามคำเรียกร้องของอาจุมม่า จัดมาอย่าให้เสีย โฮะๆ ชิมแล้วรสชาติน้ำซุปซดคล่องดี อากาศหนาวๆ ได้กินอุ่นๆ แล้วรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว แถมช่วยแก้เผ็ดของเจ้าต๊อกป๊อกกีด้วย คนไม่กินเผ็ดมากจะรู้สึกว่ามันเผ็ดจุงเบย น้ำซุปเป็นรสชาติปลา มีสาหร่ายมาด้วย กินแล้วมีประโยชน์เพิ่มโอเมก้า 3 มื้อนี้เสียทรัพย์ไป 8,000w

ไปลุยกินต่อที่ร้านบิบิมบับชามกะละมัง เมนูข้าวยำใส่ผักสำหรับคนรักสุขภาพ (กินตามรอยคังโฮดง)

เห็นข้าวชามนี้นึกว่าอยู่ในสวนหลังบ้าน ชามโต๊โตกินคนเดียวคงไม่หมด รสชาติอร่อยแบบแปลกๆ คือมีมีกลิ่นเหม็นเขียวผักที่เราไม่เคยกิน แต่รสชาติก็อร่อยแบบกินได้ แต่ไม่ได้ติดใจอยากจะกินอีก กินให้รู้ดูเห็นก็เท่านั้น

น้ำซุปที่ให้มาซดก็ อร่อยแจ่มเลย เข้มข้นหอมกลิ่นปลา มีผักต้มเปื่อยมาด้วย ราคามื้อนี้ 5,000w

เป็นตลาดสดที่สะอาด ไม่เฉอะแฉะเท่าไหร่

ร้านผลไม้เจ้านี้ อยู่หน้าทางออกสถานีรถไฟพอดี ไปเช้าได้ผลไม้สดมากิน อร่อยอ่าาาาาาา แวะซื้อสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต๊โต หอมหวานฉ่ำ อร่อยถึงใจจริงๆ ราคาแพ็กละ 4,000w ไปดูที่ห้างซูเปอร์ล็อตเต้ตรงสถานีรถไฟโซลสเตชั่น 6,000w ราคาแพงกว่าอีกอ่ะ ลูกโตเท่ากัน กล่องขนาดพอกันด้วย เทียบไซส์กับขนาดมือ เดี๋ยวหาว่าใหญ่ไม่จริ๊ง..ไม่จริง

ที่ย่านเมียงดงมีคนพาเที่ยวเยอะแล้ว อย่างที่เห็นคือส่วนใหญ่เรียงรายด้วยร้านเครื่องสำอางเพียบเลย ร้านขายกระเป๋า เสื้อผ้า ห้างต่างๆ และยังมีรถเข็นขายอาหารริมฟุตบาทด้วย แต่ถ้าอยากรู้ว่าที่รถไฟใต้ดินเมียงดงมีอะไรน่าช้อปบ้าง..ตามมาเลยจ้าาา

เรากลับไปย่านเมียงดงเพื่อเดินช้อปปิ้งเสื้อผ้าที่จะใส่ประทังชีวิต เสื้อผ้าที่เอาไปกันหนาวได้ไม่พอเพราะหนาวมาก แนะนำให้เตรียมไปส่วนหนึ่งและไปหาตายเอาดาบหน้าเลย ที่เกาหลีแฟชั่นสวยๆ เริดๆ นำเทรนด์ตามไปช้อปปิ้งกัน เสื้อผ้ากันหนาวแบบติดลบ แนะนำใส่ฮีทเทคของยูนิโคล่เลยค่ะ เนื้อผ้าจะช่วยกักเก็บความร้อนภายในของเรา อย่างเดินข้างนอกมาอุณหภูมิร่างกายเราจะอุ่นขึ้น เสื้อผ้าฮีทเทคก็จะทำให้เราอุ่นนานขึ้นด้วย ขอบคุณคลิปคุณนายปลาดิบที่ทำให้รู้ค่ะ หมีไปตามหาเสื้อฮีทเทคที่ยูนิโคล่สาขาไบเทคบางนา ปรากฏว่าหมดค่ะไม่มีสินค้า แต่คนที่จะเดินทางไปต่างประเทศไม่เป็นไรนะคะ ไปหาซื้อที่โน่นได้เลยคะ Uniqlo เกาหลี สาขาเมียงดง ตอนที่ไปมีเป็นโซนเสื้อผ้าฮีทเทคโดยเฉพาะเลยจ้า ของผู้หญิงอยู่ชั้น 2 ส่วนของคุณผู้ชายเราไม่เห็นฮีทเทคนะ เห็นแต่พวกเสื้อโค้ทกันหนาวแบบบวมๆ เสื้อกันลม แนะนำคนขี้หนาวว่าให้ใส่บางๆ ทับหลายๆ ชั้นจะดีกว่า แล้วไปช่วงที่ใกล้จะเปลี่ยนฤดู เสื้อผ้าหน้าหนาวลดราคาพอดีเลย เราก็ลิงโลดได้ของถูกด้วย ยูนิโคล่ที่ตึกใหญ่ราว 4 ชั้นได้ค่ะ ของผู้ชายจะอยู่ชั้นบนสุด

เสื้อผ้าฮีทเทคทั้งหมด ถ้ายังหนาวให้มันรู้ไป เสื้อผ้ายูนิโคล่แบบที่เห็นเมืองไทย ที่เกาหลีก็ถูกกว่าค่ะ มีชุดเดรสที่ซื้อที่ไทยมาเปรียบเทียบราคาที่เกาหลีถูกกว่า 40-50 บาทค่ะ ค่าเสียหายหมดไป 65,600w อย่าลืมเตรียมเอาถุงมือไปด้วยนะ เวลาหนาวมากๆ ถุงมือช่วยได้เยอะเลยค่ะ หัวหูก็เป็นส่วนสำคัญ หาหมวกหรือเสื้อที่มีฮู้ดปิดก็จะช่วยกันหนาวได้อีกแรง

ได้เสื้อโค้ทลดราคาจากห้างล็อตเต้ยี่ห้อ Soup มาในราคา 179,000w

ไปต่อที่ร้านรองเท้า NEW BALANCE รองเท้าแบรนด์นี้แบบที่เกาหลีจะใหม่และเป็นแบบที่ไทยไม่มี คนขายขาวสูงหุ่นดี ตี๋ หล่อน่ารักมากคอนเฟิร์ม กรี๊ดอ่ะ แต่หนุ่มแว่นข้างๆ ก็พอเพียงสำหรับเราละ 55+ ได้รุ่น 501 มา 1 คู่ ในราคา 89,000w ใส่เดินสบายเท้ามาก คล่องตัวดี สีเจ็บจี๊ดดดด

เดินไปเริ่มหมดพลัง ขอเติมพลังชีวิตด้วยแป้งทอด ร้านนี้อร่อยอ่ะ ไม่มันมาก ไส้หวานเหมือนน้ำผึ้ง อันละ 700w ใครผ่านเปิดท้ายขายแป้งทอดร้านนี้อย่าลืมชิมนะ มันกรอบอร่อยดี คนเกาหลีเขาซื้อแล้วยืนกินอยู่แถวนั้นเลย ระหว่างรอคิวเราเห็นเฮียคนหนึ่งยืนกินตั้งหลายชิ้นแน่ะ ส่วนเราซื้อเสร็จเดินไปกินไป 55+ อย่าได้แคร์เพราะเรามีภารกิจต้องไปทำต่อ

เก็บภาพบรรยากาศข้างทาง กับผู้คนที่มาท่องเที่ยว เวลาเดินที่นี่ให้ระวังพนักงานร้านเครื่องสำอางฉุดตัวนะคะ คุณจะเสียทรัพย์โดยที่ไม่ได้วางแผน โชคดีเราไหวตัวทัน ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มและท่าทาง พร้อมคำว่า NO พนักงานเลยยอมปล่อยตัว ไปหาข้าวเย็นกินกันดีกว่า

เราไปกินที่ร้าน Myeongdong Kyoja (명동교자) เมียงดงคะโยจา ร้านอาหารเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1966 และเป็นร้านอาหารที่ได้รับรางวัลการันตีและโล่เกียรติคุณต่างๆ จากรัฐบาลเกาหลี

วิธีการเดินทางไป จากสถานีรถไฟใต้ดินเมียงดงทางออก 8 เดินตรงไปร้านอยู่ขวามือเลยค่ะ ร้านเปิด 10.30 น. ปิด 21.30 น. หยุดเฉพาะวันปีใหม่และวัน Chuseok (15 ของเดือนที่ 8)

เมนูแนะนำก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยวน้ำ เป็นบะหมี่เส้นสดทำมือ เส้นอร่อยนุ่มนิ่ม น้ำซุปหอมกลมกล่อมแต่กินเยอะรู้สึกเลี่ยน

เกี๊ยวนึ่งกลมๆ คล้ายๆ เสี่ยวหลงเปา ข้างในเป็นไส้หมูสับ อร่อยๆ แต่ระวังมันร้อนมาก

เครื่องเคียงเป็นกิมจิแบบเผ็ดมากๆ กินไม่ไหวเข้มข้นเกิน และมีหอมดองด้วย คนท้องถิ่นโต๊ะข้างๆเติมแล้วเติมอีก อย่างเมามัน

ข้างในตามร้านอาหารจะมีเครื่องฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น รู้สึกร้อนขึ้นมาทันที ขอแหวกเสื้อสักนิด มีบางสิ่งที่อยากจะเตือนสำหรับคนกระเพาะเล็ก ให้สั่งไม่ต้องเยอะเพราะมันใหญ่มโหฬาร ดูจานชามอาหารกับขนาดผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่คนที่โน่นกินกันทั้งหญิงชายคนละชามได้เกลี้ยงเลย ชะนีไทยนั่งงงค่ะ และตาแว่นนั่งมองชายข้างโต๊ะ นอกจากสั่งเหมือนกันแบบนี้แล้ว ยังสามารถสั่งอย่างอื่นเพิ่มได้อีกด้วย ((มือทาบอก)) มื้อนี้กินไป 16,000w

โดยรวมเป็นร้านอาหารที่แนะนำให้ไปลองนะคะ รับรองไม่ผิดหวังเลยค่ะ ขอปิดรีวิวลากล้อเที่ยวกินชิมช้อป เกาหลีหมีหมัดเมา Part 1 ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ รีวิวหน้าเราจะเดินทางออกนอกเมืองกันไปที่ไหนอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปจ้า

อ่านบล็อกเพิ่มเติมที่ www.bloggang.com/mainblog.php?id=meevingt
พูดคุยไลค์เพจได้ที่ www.facebook.com/meematmao

 

ลากล้อเที่ยวกินช้อป.. เกาหลี ..หมีหมัดเมา was last modified: May 18th, 2022 by Editor.Mushroom Travel
Exit mobile version