ครั้งนี้มัชรูมทราเวลได้รับเกียรติจาก Guest สุดพิเศษ ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ เที่ยวภาคใต้ของเมืองไทย โดยนำมอเตอร์ไซค์ ขึ้น รถไฟ ไปด้วย การเดินทางครั้งนี้จะน่าสนุกแค่ไหน ไปติดตามกันค่ะ
คนบ้ารถไฟ พาแบกมอไซ ขึ้น รถไฟ ไปแว๊นกลางด้ามขวาน
สวัสดีครับ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาส พาจักรยานยนต์คู่ใจ มาเที่ยวไทยโดย ขึ้น รถไฟ ไปแว๊นเที่ยวภาคใต้ อยู่ 4 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง
รถจักรยานยนต์ของผมก็ไม่ใช่รถสำหรับเดินทางระยะไกลมาก แค่รถขี่ไปทำงานคันนึง เป็นเจ้า Yamaha Jupiter RC 115cc
โดยทริปนี้ ผมนำรถจักรยานยนต์ มาเที่ยวไทย ระวางไปบนรถไฟ ทั้งขาไปและขากลับ เนื่องจากไม่ใช่สายแว๊นระยะไกลมาก ง่ายๆ ขี่ไม่ไหวอะนะ 55555+
ตอนนั้นเป็นกลางเดือนกุมภาพันธ์ ค่อนมาปลายเดือนและผมรู้สึกเบื่อหน่าย และเครียด กับงานที่ทำ เบื่อนาย ไม่มีความสุขจsะทำงานเอาซะเลย แล้วตอนนั้นทำงานอยู่ๆโดนนายว่า ยิ่งทำให้เครียดเข้าไปอีก เอาไงล่ะ ว่าแล้วก็นึกอยากไปพักผ่อน อยากไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เพราะที่ทำงานอากาศมันไม่บริสุทธิ์เอาซะเลย (ผมทำงานกับรถจักรดีเซล) นึกได้ก็อยากจะไปนอนที่คีรีวงซักคืน เคยไปที่นั้นเมื่อปีที่แล้วตอนนั้นยังเรียนอยู่ไม่เคยไปนอนค้างซักกะที เอาวะ ต้นเดือนนี้ขอลางานซัก 3 วัน ไปเที่ยวดีกว่าวุ๊ย แล้วจิตก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย อยากจะไปที่นู่นที่นี่ นึกขึ้นได้ก็เอาวะ เอามอไซคู่ใจ ไปด้วยแล้วกัน เอาไปแว๊นเที่ยวด้วยกัน ได้ไม่ต้องเสียเวลาต่อรถ
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้รับคำสั่งให้ไปทำงานที่ราชบุรี 1คืน พักกลางวันเลยต้องกลับบ้านมาเตรียมเสื้อผ้า เสร็จแล้วก็กลับมาทำงานภาคบ่ายต่อ ระหว่างทางผ่านสถานีรถไฟบางบำหรุ เลยแวะเข้าไปจองตั๋วรถไฟ ขาไปก่อน
ตอนนั้นก็วางแผน จะแบกมอไซขึ้นรถไฟไปลงสุราษ แล้วค่อยขี่ไปนคร คีรีวง แล้วค่อยขี่กลับมา กทม. ก็เลยได้ตั๋วนี้มา
ตอนแรกผมก็ว่าจะขี่กลับนั่นแหละ พอนึกถึงแหล่งท่องเที่ยวที่นั่นที่นี่แล้ว ก็เลยนึกเอา แบก ขึ้น รถไฟ ทั้งไป ทั้งกลับ ก็ได้วะ
พอกลับจากทำงานที่ราชบุรีแล้ว เบิกเบี้ยเลี้ยงได้แล้ว ก็นำมาซึ่งตั๋วกลับ ขึ้นที่เมืองทับเที่ยง สรุปก็คือ ทริปนี้ ต้องขี่มอไซยังไงก็ได้ จากพุนพิน ถึงเมืองตรัง ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
ก่อนเดินทางมีเวลาวางแผนอยู่ราวๆ 1 สัปดาห์ ปรับนู่นเปลี่ยนนี่ไปเรื่อย เมื่อแผนลงตัว ถึงวันเดินทางก็เริ่มเดินทางกันครับ
##ทริปนี้ผมเดินทางคนเดียวนะครับ เพื่อนไม่คบ
1 มีนาคม 2560 วันเงินเดือนออก ออกมาแล้วก็ออกจากกระเป๋าไปซะดื้อๆเลย
มารอขึ้น รถไฟ ที่สถานีบางบำหรุ อันเป็นสถานีที่มีรายได้ ความใหญ่โต มากที่สุดในฝั่งธนบุรี
จากนั้น ก็ดำเนินการติดต่อ ที่ช่องจำหน่ายตั๋ว แจ้งความประสงค์จะนำจักรยานยนต์ระวางไปด้วย
เสมียนก็ขอหลักฐาน 3 อย่างเพื่อใช้ในการดำเนินการ
1 ตั๋วรถไฟที่เราโดยสาร ที่จะนำจักรยานยนต์ระวางไปด้วย
2 บัตรประชาชน
3 เล่มทะเบียน หรือสำเนาเล่มทะเบียน
ยื่นหลักฐาน 3 อย่างไปแล้ว เสมียนก็จะขีดๆเขียนๆ กรอกข้อมูลต่างๆ และยื่นใบนี้มาให้ มันคือ ใบรับรถ เป็นหลักฐานที่เราจะยื่นให้เสมียนสินค้าที่สถานีปลายทาง เพื่อที่เราจะได้รับรถคืน
ตั๋วพร้อม ใบรับรถพร้อม ก็รอเวลารถมา
สำหรับค่าระวางรถจักรยานยนต์ จากบางบำหรุ-สุราษฎร์ธานี รถขนาดไม่เกิน 125cc เบ็ดเสร็จ 833 บาท (จากกรุงเทพก็ต่างกันไม่กี่บาท) ไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นใดอีก ถ้ายังมีคนมาเรียกนู่นเรียกนี่ ก็ยื่นคำขาดไปเลยว่า “จะให้ผมเขียนรายงานต่อผู้บังคับบัญชามั๊ยครับ”
ที่รถเรา จะมีป้ายติด บอกสถานีส่งขึ้นและลง
บังเอิญว่าผมค่อนข้างคุ้นเคยกับคนที่สถานี เลยเดินคุยพร้อมกับช่วยจับจูงรถ มายันถึง ณ ชานชาลา
ผมเดินทางไปกับขบวน 173 เป็นรถเร็ว เดินระหว่าง กรุงเทพ-นครศรีธรรมราช
คนการแจ้งกับผมว่า รถจะเดินทางไปกับขบวน 83 ซึ่งเดินระหว่าง กรุงเทพ-ตรัง นะ เพราะเกรงว่ารถบรรทุกสัมภาระของขบวน 173 จะเต็ม อีกทั้งขบวน 83 ก็ออกก่อนขบวน 173 อยู่ถึง 39 นาที
ขบวน 83 มาถึงบางบำหรุ ช้าอยู่ราวๆ 30 นาที รถจักรทำขบวนเป็นรถจักร Hitachi หมายเลข 4505 เข้ามาประจำการ พ.ศ. 2536 พร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ Cummins 16 สูบ 1250 HP 2 เครื่อง แรงหายห่วง
รถผมถูกยกขึ้นตู้ บพห. เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเดินทางล่วงหน้า ไปรอที่พุนพิน (สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี อยู่ใน อ.พุนพิน หลายๆคนติดปากเรียกว่าพุนพิน รวมถึงตัวผม)
อ่อ สำหรับหมวกกันน็อค เราต้องนำติดตัวไปเองนะครับ ไม่ได้ระวางไปกับรถ
ตัวผมเองเดินทางไปกับขบวน 173 มาถึงบางบำหรุ 18.43 ก็ช้าอยู่ราวๆ 18 นาที มาถึงก็มืดแล้ว ผมไม่ได้ถ่ายรูปเอาใว้นะครับ
ราวๆสองทุ่มเศษๆ รถก็มาถึงราชบุรี ก็ไม่พลาดที่จะซื้อของอร่อยที่นี่กิน
“ก๋วยเตี๋ยวรถไฟราชบุรี” กล่องละ 10 บาท ทำขายตั้งแต่ช่วงเช้าๆ-สายๆ ที่มีขบวนรถเข้าเยอะๆ แล้วก็จะเริ่มทำอีกรอบ ช่วงบ่ายกว่าจะหมดก็ค่ำๆ
แนะนำว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยวราชบุรีอย่างเอร็ดอร่อย ก็ให้โดยสารขบวนพวกนี้ครับ ขบวน 84 170 172 252 38/46 32 255 171 262 31 37/45 169 นอกนั้นก๋วยเตี๋ยวก็จะลดความอร่อยลงไปมั่ง หรือหมดไปเลยมั่ง กรณีผม ผมว่าผมเป็นคนซื้อ 2 กล่องสุดท้ายนะ 55555+
ผมมารถนอนพัดลม (บนท.32 ) หลับๆ ตื่นๆ มาตลอด รู้ตัวอีกทีถึงสถานีมะลวน เก็บข้าวเก็บของ (มองไม่เห็นป้ายสถานีหรอก แต่ใช้สัมผัสที่ 6 พวกบ้ารถไฟ มองทางหลีกแล้วดูจากภูมิประเทศ ถนนหนทาง ก็รู้ทันที แบบที่คุณแฮม แฟนพันธุ์แท้รถไฟไทย ได้เคยบอกใว้นั่นแหละ)
05.57 ขบวน 173 ก็มาถึงพุนพิน ช้าเพียง 9 นาที
ที่พุนพิน ขบวน 173 จะตัดเอารถที่มีปลายทางสุราษฎร์ธานี ออก 2 คัน กลายเป็นรถหัวหาย
รถผมก็มารออยู่ที่พุนพินแล้ว สำรวจรถ ดูร่องรอยความเสียหาย ไม่มี ก็รับรถด้วยความสบายใจ
รับรถเสร็จก็ล้างหน้าแปรงฟัน พลันดูเวลา 06.20 ขบวน 447 สุราษฎร์ธานี-สุไหงโก-ลก ก็เคลื่อนตัวออกจากต้นทาง เจ้ารถท้องถิ่นที่มีระยะทางทำขบวนไกลที่สุดในประเทศไทย (508 กม) ทำขบวนโดยรถจักร Alsthom หมายเลข 4147 พร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ MTU ออกตัวแรง เสียงดังกังวาล
พอขบวน 447 ออกเดินทางไป เราก็ออกเดินทางตาม เป้าหมายแรก อยู่ที่ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี ครับ ไปสักการะ ให้เป็นศิริมงคล ขอพรให้เดินทางโดยปลอดภัย
หน้าสถานีรถไฟ จากที่นี่ไปบ้านดอน(ตัวเมืองสุราษฎร์ธานี) 12 กม
จะมีรถเมล์ สีส้ม ฉายา 45 นาที คอยรับส่ง จากพุนพิน-บ้านดอน วิ่งอยู่ตลอด คนขายาวๆแบบผม ทำใจ เพราะเข่าท่านอาจชนกับเบาะหน้า สนนราคาค่าโดยสาร 15 บาท วิ่งไปจอดไป 45 นาทีก็ถึงบ้านดอน
ระหว่างทาง จากพุนพิน-บ้านดอน ผมแวะเติมน้ำมันแถวๆบ่อนไก่ เติมให้เต็มถังพร้อมสำรองใส่ขวด 350ml ใว้อีกขวด ทั้งหมด 90 บาท
ปักษ์ใต้ยามเช้า มักมีสายหมอกล่องลอยมา มันเป็นเสน่ห์อันน่าหลงไหล แต่หมอกยามเช้าแบบนี้ เมื่อคืน หรือเมื่อวานเย็น มันต้องมีฝนแน่ๆ
ขี่มาเรื่อยๆราวๆ 20 นาที เราก็มาถึงศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี แต่มาถึงก่อน 7 โมง ศาลยังไม่เปิด ถึงจะเหลือเวลาอีกไม่นาน แต่ผมต้องทำเวลา จึงได้แต่ยกมือไหว้สักการะ ขอพรอยู่นอกรั้ว
แม่น้ำตาปี หน้าศาลหลักเมือง
ว่าแล้วก็มุ่งหน้าไปหามื้อเช้ากิน เป็นร้านติ่มซำ ริมถนนตลาดใหม่ ก่อนถึงไทยสมุทรฯ
สนนราคาถ้วยละ 12 บาท หยิบๆเลือกๆ แล้วส่งให้พ่อค้า
แล้วพ่อค้าก็จะนำไปนึ่ง รอซักพัก ก็จะมาเสิร์ฟในเข่งแบบนี้ ส่งทานพร้อมชาร้อน สนนราคาหมดโต๊ะ 99 บาท
หลังจากกินเสร็จแล้ว 07.25 ก็เดินทางต่อ ปลายทางแรกคือ น้ำตกกรุงชิง ครับ
เส้นทางเดินทาง ตามแผนที่นี้ เป็นเส้นทางลัด ซึ่งใกล้กว่าทางหลัก ราวๆ 60 กม.
09.40 ก็มาถึงน้ำตกกรุงชิง โดยหมดสภาพ ช้ากว่าแผนอยู่ 10 นาที
ทางเดินขึ้นน้ำตก เป็นทางเดินระยะทางราวๆ 4 กม
ระหว่างทางเดิน ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำจากฝนที่เทลงมาเมื่อเช้า ผมไปถึงก็เริ่มมีแดดออกแล้ว
ระหว่างทาง สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดคือ ทาก ทากดูดเลือด เพียบเลย ผมป้องกันโดยการใส่รองเท้าหุ้มข้อ กางเกงขายาว สวมถุงเท้าขึ้นมาห่อขากางเกงใว้ ฉีกสเปรย์ตะไคร้หอม แต่ก็ไม่พ้นพวกมันอยู่ดี ยังอุตส่าแทรกตัวผ่านใยถุงเท้า มาดูดเลือดกันได้อีก โดนไปหลายแผล -*-
ชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ อย่าพูดถึงทากกันอีกเลย
มีหลา(ศาลา) ให้นั่งพักอยู่ 1 หลัง ชื่อ หลาดงชิง นะครับ
ใครจะนั่งก็เชิญ ผมบาย 555+
เดินมาราวๆ 2 กม ทางจะเปลี่ยนเป็นทางดิน เดินมาเรื่อย เราก็พบรอยตีนสัตว์ ลองสวมรอยพรานป่าดู นี่มันสัตว์มีกีบเท้า น่าจะพวกกวาง ผมก็เลยเดินไปต่อ คนเดียว นี่ถ้ามันเป็นรอยมีเล็บจิกแบบตีนแมว หรือใหญ่ๆแบบช้าง ผมคงเผ่นลงเดี๋ยวนั้น
มีทางลงไปมากกว่านี้ แต่ทั้งลื่น ทากก็เยอะ ผมก็เลยหยุดแค่นี้ดีกว่า ชมน้ำตกประมาณ 5 นาที ก็เดินกลับ ขากลับช่วงแรกเป็นทางขึ้นบันไดชันมากๆ เดินไปสามสี่ก้าว หอบแฮกๆ พักแป๊บเดียวทากก็มาเกาะกันอีก ต้องมารบกับทากอีก
รีบๆเดินลง 12.55 ก็ลงมาถึงข้างล่าง ลงมาถึง ฝนก็เทลงมาซักประเดี๋ยวก็หยุด
ผมก็กลับมาที่รถ สู้รบกับทากที่คอยดูดเลือดอยู่ จนแน่ใจว่าไม่มีแล้ว ก็ได้เวลาเดินทาง ต่อไปยังเมืองนครศรีธรรมราช
เส้นางจากกรุงชิง-นครศรีธรรมราช ใช้เส้นทาง 4186 ผ่านนบพิตำ ไปออกแยกนาเหรง เลี้ยวขวาไป ผ่านอำเภอพรหมคีรี แยกโรงเรียนเบญจมฯ หัวอิฐ แล้วก็เข้าสู่เมืองนครศรีธรรมราชครับ ระหว่างทางแวะเติมน้ำมันก่อนถึงพรหมโลก 70 บาท
ระหวางทาง พบเจอความเสียหายจากน้ำท่วมเมื่อต้นปี ที่นบพิตำนี่โดนหนักทีเดียว
เรื่อยๆเปื่อยๆ
ตามประสาคนบ้ารถไฟ บ้านเมืองใดมีรถไฟ ก็เข้าไปเยี่ยชมสถานีเขาก่อน
สถานีนครศรีธรรมราช เป็นปลายทางของแยกสายนครศรีธรรมราช โดยแยกจากเส้นทางหลักที่ สถานีชุมทางเขาชุมทอง อ.ร่อนพิบูลย์ อยู่ที่ กม 816 จากธนบุรี หรือ 832 กม.จากกรุงเทพ
ผมมาถึงสถานีนครศรีธรรมราช 15.10 มาหลังขบวนรถด่วนที่ 86 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพ ออกไปเพียง 10 นาที สถานีนครศรีธรรมราชที่คึกคัก ก็เงียบเหงาถนัดตา
มีริ้วขบวน 455 นครศรีธรรมราช-ยะลา รอทำขบวนเดินทางในวันรุ่งขึ้น
รถจักรทำขบวน เป็นรถจักร Alsthom หมายเลข 4213 เป็นรุ่น AHK. หรือ Alsthom Henschel Krupp
รถจักรรุ่นนี้นำเข้ามาในปี 2523 เป็นรถจักร Alsthom รุ่นที่ 2 จาก 4 รุ่น ที่นำเข้ามาใช้การในประเทศไทย มีทั้งสิ้น 30 คัน รุ่น AHK. นี้ต่างจาก Alsthom รุ่นอื่นๆคือ ผลิตจากเยอรมันนี ไม่ใช่ฝรั่งเศส
Alsthom เป็นรถจักรที่เข้ามาใช้การมากที่สุดในประเทศไทย เป็นรถขนาดกลาง ม้างานหลัก ใช้งานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ลากรถสินค้า รถโดยสาร ท้องถิ่น ยันด่วนพิเศษ เข้าออกได้แทบทุกเส้นทางในประเทศ
คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์เดิม Pielstick 16 สูบ 2250HP เสียคำรามไพเราะ แต่ขึ้นเขาเบาๆแล้วกัน เดี๋ยวน้ำร้อนขึ้นมาจะลำบาก
ปัจจุบันรถจักร Alsthom ถูกเปลี่ยนเครื่องยนต์ทดแทนแล้วหลายคัน เนื่องจากเครื่องเดิมอะไหล่ขาดแคลน และเก่ามากแล้ว โดยเครื่องที่เปลี่ยนจะมีมิติที่ใกล้เคียงกับเครื่องเดิม ปัจจุบันมีรถจักร Alsthom ที่ใช้เครื่องยนต์ MTU จากเยอรมันนี และ Caterpillar จากสหรัฐอเมริกาอยู่หลายๆคัน
การสังเกตุว่ารถจักร Alsthom ว่าคันไหนใช้เครื่องยนต์ใดนั้นไม่ยาก
ให้ดูที่แถบคาดสี คันนี้สีขาว เป็นเครื่องยนต์ Pielstick ของเดิม
คันที่คาดสีน้ำเงิน MTU และคันที่คาดสีแดง Caterpillar
แต่สำหรับคนบ้ารถไฟ คนพวกนี้มีประสาทสัมผัสที่จะแยกแยะเครื่องยนต์พวกนี้ได้แต่ไกล เช่นการฟังเสียง ทั้ง 3 รุ่น เสียงจะไม่เหมือนกัน หรือบางทีแค่มีคนบอกเลขมา คนพวกนี้หลายๆคนก็จะตอบได้ทันทีว่า เครื่องยนต์อะไร บางคนเหนือชั้น ฟังแค่หวีด ก็บอกเลขรถจักรได้แล้วก็มี
จากสถานีนครศรีธรรมราช พักเหนื่อยซักพัก ก็เดินทางต่อไปยังวัดพระบรมธาตุ ไปไหว้พระธาตุเมืองนคร
ออกจากวัดพระบรมธาตุ 16.20 ก็เดินทางต่อไปคีรีวง ตามเส้นทางนี้ครับ
17.00 ก็ถึงคีรีวง ผมพักที่โฮมสเตย์ เพ็ชรคีรี สนนราคาคืนละ 400 บาท มีอาหารคำ
จะเป็นอย่างไร ว่ากันทีหลัง มาถึงก็พารถเละๆ มาล้างในคลองท่าดีก่อน ลุยทางลัดที่นบพิตำมา เละมาก 55555+
ล้างรถเสร็จก็มาถ่ายรูปแถวๆสะพาน เป็นธรรมเนียม เย็นๆใกล้ค่ำแบบนี้ ไม่ค่อยมีคนมาที่สะพาน เหมาะแก่การถ่ายรูปนัก
กลับมาถึงที่พัก กินก่อนเลย
เมนูมื้อค่ำมี
กูดหลน แกงส้ม เหลียงผัดไข่ ปลาแดดเดียวทอด และน้ำพริกกะปิ กินกับข้าวร้อนๆ หรอยแรงนิ
ด้วยความที่ข้าวกลางวันไม่ได้กิน บวกกับความเหนื่อย จัดไป 3 จาน
อิ่มแล้วก็นอน นี่คือห้องนอน เรียบๆง่ายๆ แบบนี้ ถูกใจผมยิ่งนัก
ก็ด้วยความเหนื่อยนั่นแหละ หลับแต่หัวค่ำ ตื่นเช้ามา ก็เตรียมไปหาของกินที่ตลาดไปถึงยังไม่สว่างดี ออกมาถ่ายรูปก่อน
ฝายข้ามคลองหน้าวัด พังจากอุทกภัยเมื่อต้นปีนี่เอง
สะพานอันเป็นแลนด์มาร์ค
ถ่ายรูปเสร็จก็มาจ่ายตลาด
อาหารเช้าที่ผมชอบกิน ยามลงมาปักษ์ใต้ ไม่ข้าวยำ ก็ติ่มซำ 2 อย่างนี้
วันนี้มาสะดุดติ่มซำอีกแล้ว
ร้านปลาเค็ม มาตามหาปลากระป๋องแดดเดียวที่กินเมื่อวานเย็น สุดท้ายก็ซื้อกลับไปครึ่งโล กว่าจะถึงบ้านแทบเน่า 5555+
ในเมื่อหมดเนื้อหมดตัวจากการจ่ายตลาดแล้ว ก็กลับ
ระหว่างทางผ่านฝายข้ามคลอง
มาถึงหน้าที่พัก ก็พบกับไฮยีน่าตัวหนึ่ง มันทั้งขี้อาย และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
โอ๊ยนั่น!! มันจะกินโผมมม แว๊กก!! ..พอแล้ว!!
สำรวจที่พักครับ เพ็ชรคีรีโฮมสเตย์
ด้านหลังบ้านเป็นภูเขา มีสวนมังคุดอยู่
ห้องนอนอื่นๆ
คุณตากำลังกั้นห้องเพิ่ม
กล้วยแขวนให้นก
เสร็จจากการสำรวจ ก็มาทานมื้อเช้า
เติมพลังเต็มที่แล้ว เช้านี้เราก็ไปตะลุยกัน
ข้ามฝายไป
ก่อนถึงหนานหินท่าหา
ขี่รถมาเรื่อยๆ ก็ถึงหนานหินท่าหา
หนานคือชั้นน้ำตก หนานหินท่าหา กับน้ำตกท่าหา ก็คือที่เดียวกันนั่นเอง
พานแขวน
คีรีวงคือดินแดนแห่งมอไซวิบาก
จะเข้าไปสะพานแขวน คนก็เยอะจริงๆ
ต่อไป ด้วยความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถามพี่เขา ประบนมีไหร เขาก็ตอบมาว่ามีน้ำตก ก็ลองขึ้นไป
ผ่านบ้านสวน อยากมีแบบนี้ซักหลังจริงๆ
แล้วก็ผ่านเข้าไปในสวน นี่ขี่รถเข้ามานะครับ
และแล้วทางก็ชันขึ้นมากๆ ต้องใส่เกียร์ 1 ขึ้นไป ขึ้นไปประมาณ 50 เมตร ก็มองเห็นน้ำตกแห่งนึง น่าจะเป็นน้ำตกสอยดาว ยังคงเห็นมีทางขึ้นไปอีก แถมมีรถเจ้าถิ่นขึ้นไปด้วย ส่วนตัวผมหยุดแค่นี้ดีกว่า
ตอนขึ้นคือยากแล้ว ตอนลงนี่สิ สยอง
ใส่เกียร์ 1 แล้วกำเบรก ค่อยๆปล่อยลงเลย
ลงมาอย่างปลอดภัย ขาลงเจอลำธาร แวะถ่ายรูป
จากนั้นก็กลับลงมา มาถึงสะพานแขวน ตอนนี้หาหม้ายคน
กลับมาที่ฝาย มาเล่นน้ำ มาถ่ายรูปรถมอไซวิบากแห่งคีรีวง
ถ่ายไปเรื่อย
มาที่สะพาน แลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่
มีเด็กๆมาทัศนศึกษา
แรงกว่าสายแปด ก็รถสายเมืองคอนนี่แหละ
กลับมาที่พัก 11 โมงเศษๆ เราต้องมารำลาคุณยาย แล้วออกเดินทางกันแล้ว ปลายทางวันนี้อยู่ที่เกาะลันตา จ.กระบี่ ครับ
แลนด์มาร์คที่นี่ กลางวันๆ คนเริ่มเยอะ
ให้น้องๆกลุ้มซ้ายมือถ่ายรูปให้ ขอบคุณครับ
จากคีรีวง มุ่งหน้าสู่ลานสกา
มาถึง อ.ลานสกา รู้สึกชอบอำเภอนี้จริงๆ
มุ่งหน้าต่อไป เราจะไปพักกันที่คลองจันดี
คลองนี้ชื่อเหมือนนิสัย จขกท. ขอซักหน่อย 5555555555+>
ขี่มาเรื่อยๆ ตอนเที่ยง ผมก็มาถึงสะพานข้ามทางรถไฟตรงวัดธาตุน้อย ขอซักแชะ
ระหว่างที่กำลังถ่ายรูปอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหวีดอันคุ้นหู เหว้อ เหว้ออออออ
รถไฟมา คนบ้าอย่างเรา ต้องจอดถ่าย
เป็นขบวนรถท้องถิ่นที่ 445 ชุมพร-ชุมทางหาดใหญ่ ทำขบวนโดยรถจักร General Electric หรือว่า GE หนึ่งในจ้าวแห่งการผลิตรถไฟนั่นเอง รุ่นนี้มีชื่อย่อว่า GEA นำเข้ามาเมื่อปี พ.ศ.2538 (อายุเท่าผมเลย) มีทั้งสิ้น 38 คัน หมายเลข 4523-4560 คันนี้หมายเลข 4534 รถรุ่นนี้มีเครื่องยนต์เดียวกับ Hitachi คือ Cummins 16 สูบ 1250HP จำนวน 2 เครื่อง แรงหายห่วง การออกแบบภายในเนี๊ยบดีมาก สมกับเป็นผู้นำ เสียอย่างคือ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของรถจักรรุ่นนี้ชอบรวน ทำให้พังกลางทางและไม่สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้อยู่บ่อยๆ เสียงหวีดเป็นเอกลักษ์มาก
ตอนรถออกตัวมา ผมก็ว่า ทำไม่รถไม่ค่อยวิ่งเร็วนั่ก อ่อ วัว เฮ่ยยยยยย วัวววววววววววววววว
เจ้าวัวตัวนี้รอดไปได้ หลบทัน อยากจะฝากถึงผู้เลี้ยงสัตว์ริมทางรถไฟนะครับ กรุณาล่ามให้ดี หรือให้สัตว์อยู่ห่างๆทางรถไฟ โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ นอกจากจะทำให้รถไฟเสียเวลาเพราะต้องหยุดรอเคลียร์เรื่องแล้ว สัตว์ใหญ่ๆ ยังอาจทำให้อุปกรณ์รถไฟบางส่วนชำรุด เช่น ตะแกรงหน้าหลุด อันนี้ยังพอแก้ไขได้
แต่ถ้าท่อลมแตก รถจักรจะไม่สามารถเร่งเครื่องได้ ไม่สามารถเบรกได้ ไม่สามารถเปิดหวีดได้ ไม่สามารถใช้การที่ปัดน้ำฝนได้ ง่ายๆคือไม่สามารถใช้งานระบบลมทั้งหมดได้ รถจะไม่สามารถทำขบวนได้เลย
หันมาอีกฝั่ง เปลี่ยนเลนส์ด้วยความรวดเร็ว ขอมุมนี้หน่อยเหอะ
มาถึงวัดธาตุน้อย ก็มาสักการะ สรีระ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์
ในระหว่างที่สักการะอยู่นั้น รถไฟอีกขบวนก็ผ่านไป
แม้จะไม่เห็นป้ายข้างรถแต่คนบ้ารถไฟอย่างผมก็บอกได้เลยว่า เป็นขบวนรถท้องถิ่นที่ 446 ชุมทางหาดใหญ่-ชุมพร
ดีเซลทำขบวนเป็นปู่สุดเก๋า GE แต่ไม่ทราบหมายเลข GE คันนี้มีอายุถึง 53 ปี หลายๆคนจึงเรียกว่าปู่ มีขุมพลังเคลื่องยนต์ Cummins 12สูบ 660HP 2เครื่อง คันแค่นี้ ทำตั้งแต่ขบวนรถสินค้า รถโดยสารท้องถิ่น ชานเมือง รถธรรมดาเป็นส่วนใหญ่
แต่เมื่อไหร่ที่พวก Alsthom GEA Hitachi พังกันกลางทาง ปูตัวนี้ก็มักเป็นอัศวินลากขบวนเสมอๆ เอาเข้าจริงเอา GE ไปลากด่วนพิเศษบางขบวนยังได้เลย
พระนอนที่วัดธาตุน้อย
หลังจากสักการะพ่อท่านคล้ายที่วัดธาตุน้อยเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปหามื้อกลางวันที่ตลาดจันดีครับ
สะพานข้ามคลองจันดี ฟากที่ถ่ายรูป ต.หลักช้าง อ.ช้างกลาง ฟากนู้น ต.จันดี อ.ฉวาง
บ้านเมืองนี้มีรถไฟ เราต้องแวะชมสถานี
สถานีคลองจันดี ตั้งอยู่ ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เป็นสถานีขนาดเล็ก ที่สร้างรายได้เข้าการรถไฟ ได้มากพอๆกับสถานีประจำจังหวัด หลายๆสถานีเลยทีเดียว
ที่นี่สามารถลงรถไฟแล้วต่อรถไปได้หลายๆที่ เช่น เมืองนคร ลานสกา พิปูน นาบอน ทุ่งใหญ่ ถ้ำพรรณรา ช้างกกลาง หรือจะเป็น จ.กระบี่ ก็ได้ จึงเป็นสถานีที่มีผู้ใช้บริการมากแห่งหนึ่ง
แวะกินข้าวหน้าสถานี ต้มหนาง ผัดผักบุ้ง
ต่อไป มุ่งหน้าสู่ จ.กระบี่ ที่แรกที่จะไปคือ สระมรกต ระหว่างทางต้องผ่าน อ.ทุ่งใหญ่ ลำทับ
จากจันดี ก็มุ่งหน้าไปทาง อ.ทุ่งใหญ่ ครับ ระหว่างทาง เติมน้ำมันที่จันดีไป 70 บาท
ทางหลวงหมายเลข 41 อีก 10 กม ตรงไป
มาถึง ทล 41 ก็ไปตามป้าย ทางลัดไป อ.ทุ่งใหญ่ ครับ
ราวๆ 10 กม จากทางหลวง 41 เราก็มาถึง อ.ทุ่งใหญ่
เจอป้ายลำทับไปทางไหน ก็ไปทางนั้น
ประมาณ 20 กม เราก็เข้าสู่เขต จ.กระบี่ อ.ลำทับ
หลังจากนั้นก็ผ่าน อ.ลำทับ
แล้วก็เข้าเขต อ.คลองท่อม
เจอป้ายสระมรกตก็ตามไป
14.30 น. ในที่สุดก็มาถึงสระมรกตครับ ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่ 2
ซื้อตั๋วเข้าก่อน
มีทางเดินตามลำธารไป ทางนี้มีระยะทางไกลกว่า ใครจะไปก็ไป ส่วนผมมาคราวนี้ เดินทางนอกใกล้ๆดีกว่า ฮี่ๆๆ
เดินประมาณ 600 เมตร ก็มาถึง
เนื่องจากมีเวลาน้อยมาถึงคราวนี้ก็มาเดินดูเฉยๆ แป๊บๆก็เตรียมเดินทางต่อ
จากนั้นก็รีบเดินทางต่อไปเกาะลันตาครับ
ระหว่างทางต้องผ่าน อ.คลองท่อม เลี้ยวซ้ายไปทางตรัง ไปถึงห้วยน้ำขาว ก็เลี้ยวขวา
ตลาดคลองท่อม
จากห้วยน้ำขาวเลี้ยวขวาเข้ามา ถนนร่มรื่น น่าขับดีจริงๆ
จ.กระบี่ ผมชอบอยู่อย่างนึง คือ ถนนหนทางค่อนข้างดี ขับรถสบาย ปลอดภัย
มาถึงบ้านหัวหินก่อนถึงจุดนี้ก็แวะซื้อตั๋วแพก่อน แล้วก็ตรงไป เตรียมลงแพ
รอข้ามแพ ที่ท่าเรือบ้านหัวหิน
ตั๋วข้ามฟาก จยย 5 บาท คน 3 บาท รวม 8 บาท
เริ่มข้ามแพ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ข้ามฟากไปเกาะลันตาน้อยได้
ข้ามสะพานสิริลันตา
ข้ามมาถึงเกาะลันตาใหญ่ ก็ไปทางบ้านศาลาด่าน ไปหาที่พักในค่ำคืนนี้
ไปได้รีสอร์ทก่อนถึงหาดพระแอะ “วันเดอร์ฟูลรีสอร์ท” สนนราคา 900 บาท/คืน
สภาพห้อง
ตกเย็นก็ไปเที่ยวหาดพระแอะ
ที่นี่มองเห็นเกาะ พีพีเล พีพีดอน ด้วย
คำคืนนี้ขอตัวพักผ่อนก่อนนะครับ
กระทู้ชักจะยาว ไปตั้งกระทู้ต่อ Part 2 ดีมั๊ยเนี่ย
ขอบคุณรีวิวจาก Guest สุดพิเศษ คุณ HID 4505 สังกัด Pantip จากกระทู้ “[CR] คนบ้ารถไฟ พาแบกมอไซ ขึ้นรถไฟ ไปแว๊นกลางด้ามขวาน” ที่มามอบประสบการณ์จัดเต็มแบบนี้ รับเสียงปรบมือจากเราไปเล้ย !!
ระดับความน่าไป : ✩✩✩✩✩