The Cafe Apartment นั่งดิ่มกาแฟคูลๆใน คาเฟ่อพาร์ทเม้นท์ที่เวียดนาม!!
ถ้าจะพูดถึงประเทศน่าเที่ยวในละแวกเพื่อนบ้านของไทยเราสักหนึ่งประเทศ เวียดนามคงเป็นหนึ่งในลิสต์ที่อยากไปค่ะ เพราะอาหารอร่อย บรรยากาศดี และราคาไม่แพงเกินเอื้อม แต่ มาเวียดนาม ทั้งที ก็ต้องแวะไปที่ The Cafe Apartment เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกำลังนิยมไปเช็คอินกันอยู่ในตอนนี้! เอ๊ะ มันคืออะไรเป็นที่พักเหรอ?
ย้อนไปเมื่อปี 1950 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นู้นค่ะ ในสมัยนั้นสถานที่นี้เป็นที่พักของทางรัฐบาลและทหาร แต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกรีโนเวทให้กลายเป็น The Cafe Apartment ที่มีทั้งหมด 9 ชั้น ดูภายนอกแอบคล้ายกล่องช็อคโกแลตที่มีเป็นช่องๆ ให้เลือกหยิบ โดยที่ไม่อาจรู้เลยว่าช็อคโกแลตแต่ละชิ้นสอดไส้อะไรไว้ และในแต่ละชั้นก็จะมีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ซึ่งแต่ละร้านก็จะตกแต่งด้วยสไตล์ที่แตกต่างกันไป เหมาะมากสำหรับการไปพักผ่อนนักจิบชา กาแฟ กินเค้ก หรือดื่มด่ำกับบรรยากาศชิคๆ สัมผัสกลิ่นอายวินเทจๆ ปนโมเดิร์น
หนุ่มสาวออฟฟิศที่อยากจะพักจากงานที่กองท่วมหัว หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน ก็สามารถบอกลาเจ้านายแล้วไปเซย์ไฮ The Cafe Apartment กันได้นะคะ แต่ถ้าไม่อยากจะหอบงานไปทำ แค่ต้องการพักผ่อนชิลๆ ก็สามารถควงคุณแฟนไปเดทที่นี่ได้เหมือนกัน แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปในตัวตึก แนะนำว่าให้ถ่ายรูปด้านหน้าตึกไว้ก่อนนะคะ เพราะเดี๋ยวจะเลือกร้านไม่ถูกกัน เกิดเดินเข้าไปแล้วหลงทางไม่รู้ด้วยน๊า ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีระเบียงที่ติดชื่อป้ายร้านไว้อย่างชัดเจน นี่แหละเหมาะกับการเป็นแผนที่สำรวจร้านแต่ละร้านเลยล่ะ หรือใครที่ชอบการพจญภัย ยูก็ตรงหรี่เข้าไปเลยค่ะ
เอาล่ะวันนี้ทาง Mushroom Travel จะพาทัวร์ว่าแต่ละชั้นมีร้านอะไร แบบไหนบ้าง ตามกันมาเลยค่ะ เริ่มกันที่ทางขึ้น The Cafe Apartment ซึ่งจะอยู่ที่ด้านซ้ายมือของร้านขายหนังสือ Fahasa Bookstore เป็นทางเล็กๆ โดยแต่ละชั้นจะเชื่อมต่อกันด้วยบันไดวนที่ทำจากหินเก่าๆ สไตล์วินเทจ แต่ถ้าขี้เกียจเดินขึ้นบันไดก็สามารถเลือกใช้ลิฟต์ โดยจะมีค่าบริการในการขึ้นอยู่ที่ 3,000 ดง หรือราวๆ 4 บาทกว่าๆ ค่ะ
เมื่อขึ้นมาชั้นแรกจะพบกับร้านขายเสื้อผ้าและของกระจุกกระจิก The Maker ซึ่งเป็นเพียงร้านค้าร้านเดียวที่อยู่ชั้นนี้ ภายในร้านจะถูกตกแต่งด้วยผนังอิฐสีขาว และดวงไฟห้อยระย้าจากเพดานไล่ไปตามผนัง
ไปกันต่อที่ ชั้น 2 ค่ะ
ไล่จากฝั่งขวาของชั้นจะมีร้าน Chicbae ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้า ถัดมาเป็นร้านเสริมสวย Beauty Secret เมื่อมองไปฝั่งซ้ายของบันไดชั้น 2 จะพบกับร้าน Saigon Vieux เป็นร้านกาแฟที่มีการตกแต่งภายในแบบโมเดิร์น ห้องถัดไปเป็นร้าน The Dark Eye เป็นร้านขายเสื้อผ้าซึ่งอยู่ติดกับร้าน The Balcony Cafeteria ที่ภายในฉาบด้วยปูนเปล่าสไตล์ลอฟต์ เป็นร้านที่ขายทั้งเสื้อผ้าบูติกและคาเฟ่ค่ะ
ต่อไปเราจะพากันขึ้นไปที่
ชั้น 3
ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของตึกเลยก็ว่าได้ ฝั่งขวาจะมีร้านเสื้อผ้า Baddest Blue ร้านขายเครื่องประดับ Shimmer Silver และฝั่งซ้ายของบันไดคือร้าน Mango Tree ร้านนี้แค่มองจากข้างล่างก็น่าเข้าแล้วจริงมั้ยคะ เป็นร้านขายของหวานค่ะ และร้านสุดท้ายของชั้น 3 คือร้าน The Maker เป็นหนึ่งในคาเฟ่ที่กว้างขวางและเป็นที่นิยมของลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ The Cafe Apartment แห่งนี้ ตกแต่งภายในแบบ Industrial สไตล์คือสไตล์ดิบๆ อิฐขาวๆ และห้อยดวงไฟตามผนัง โดยทางร้านมีทั้งเครื่องดื่ม ขนมหวาน และกาแฟสไตล์ตะวันตกที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งยังมีระเบียงขนาดใหญ่ให้ลูกค้าได้มองออกไปดูบรรยากาศของ Walking Street ด้านล่าง
ชั้นที่ 4
ทางฝั่งขวาของบันไดก็จะมีร้านขายเสื้อผ้าเช่นกันคือร้าน Maison de Jenny และร้าน Cosette ซึ่งเป็นร้านตัดและขายเสื้อผ้า อีกฝั่งของชั้นจะมีร้าน Mekong Pizza ตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์จีนๆ เมนูแนะนำของทางร้านคืออาหารสไตล์อิตาเลี่ยน ทั้งพิซซ่า พาสต้า สเต็ก และของหวานอย่างพานาคอตต้า แถมราคาก็น่ารักสมเหตุสมผล ร้านถัดไปเป็นร้านคาเฟ่ Thinker & Dreamer แหมแค่ชื่อก็โรแมนติกเบาๆ ภายในและภายนอกร้านตกแต่งแบบด้วยกระถางต้นไม้ให้ความรู้สึกชิลล์ราวกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
ร้านค้าที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ Partea ร้านที่ตกแต่งสไตล์อังกฤษ เป็นร้านขายชาซึ่งอยู่ถัดจากร้าน Thinker & Dreamer ไป 2 ห้อง ตกแต่งด้วยบรรยากาศคิ้วท์ๆ ที่มีทั้งถ้วยชา กระปุกใส่ชาชนิดต่างๆ ตุ๊กตาหมี อลิสอินวันเดอร์แลนด์ก็มา คู่รักที่แวะเวียน มาเวียดนาม ต้องมาร้านนี้พูดเลอ! นอกจากชาอร่อยๆ แล้ว ยังมีเค้กชาครีมหนานุ่มราดสตอเบอร์รี่ที่ควรลิ้มลอง ใครมา The Cafe Apartment แล้วไม่มาร้านนี้คือพลาด!
ไปต่อกันที่ชั้น 5
ก็เช่นเคยค่ะ ทางฝั่งขวาจะมีร้านเสื้อผ้า The Twin และร้าน Tôi Làm Mộc ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ มองกลับมาที่ฝั่งซ้ายมีร้านคาเฟ่ Saigon Ơi ที่ตกแต่งภายในด้วยเฟอร์นิเจอร์อีลีเก้นต์ๆ ผสมผสานสไตล์คลาสสิกกับลอฟต์ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ดูสว่างสะอาดตาและน่าดึงดูดให้เดินเข้าไปเป็นอย่างมาก เป็นร้านขายเครื่องดื่ม พวกน้ำผลไม้ เค้ก และเฮลตี้สลัดค่ะ
ขึ้นไปที่
ชั้น 6
มีร้านคาเฟ่อย่าง The Letter Cafe ที่ตกแต่งร้านแบบเจแปนนีชสไตล์มีกลิ่นอายของแดนอาทิตย์อุทัยเป็นอย่างมาก ถัดมาคือร้าน Mêlee เป็นร้านขายไก่กับเบียร์ญี่ปุ่นสไตล์ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และพลาสติก ดึงความเป็นเอเชียลุคส์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยค่ะ
เยื้องย่างไปที่
ชั้น 7
ฝั่งขวาของบันไดมีร้านขายยีนส์ชื่อเท่ๆ ว่า Men in Blue และฝั่งซ้ายมีร้านคาเฟ่ที่สายแอลไม่ควรพลาดคือร้าน Buihaus Cafe ที่มีลิสต์เครื่องดื่มให้เลือกกินเพียบ! ถัดไปเป็นร้าน Muteki ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นอีกร้านที่ตกแต่งได้อย่างสวยงามทั้งภายในร้านและมุมระเบียง เหมาะแก่การดินเนอร์สุดๆ ค่ะเดินต่อไปที่
ชั้น 8
ใกล้จะถึงชั้นบนสุดแล้ว ก็สามารถพักเหนื่อยนั่งชมวิวเบาๆ ที่ร้าน Metsign พร้อมจิบกาแฟเวสต์เทิร์นสไตล์ ที่มุมหน้าต่างของร้าน ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมาก นอกจากร้านนี้แล้วยังมีร้าน Boo Cafe ซึ่งเป็นร้านขายชานม และอีกหนึ่งร้านที่กำลังจะเปิดใหม่อยู่ระหว่างสองร้านนี้คือ Blackwell & Elegantine หลังจากหายเหนื่อยกันไปแล้วก็รีบเดินขึ้นไปบันได้ไป
ชั้นที่ 9 กันเลยค่ะ
ก็คล้ายๆ กับทุกชั้นที่ฝั่งขวาของชั้นจะเป็นร้านขายเสื้อผ้า Ailuuros และฝั่งซ้ายจะเป็นชั้น 2 ของร้านคาเฟ่ Boo Cafe ถือว่าเป็นจุดที่นั่งชมวิวจากชั้น 9 เลยล่ะค่ะ และสุดทางจะมีร้าน Double Double และ Suvitality ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้า เคสโทรศัพท์มือถือและเล็ปท็อป รองเท้ารูปสัตว์ต่างๆ
อย่าลืมนะคะ มาเวียดนาม ทั้งทีก็ต้องแวะมาเช็คอินกันที่ The Cafe Apartment แค่ที่เดียวก็คุ้มเว่อร์เหมือนได้แวะชิมแวะช็อปเวียดนามไปเกือบครึ่งแล้ว แถมอาคารนี้เค้าเปิดตั้งแต่เช้ายันเย็นตั้งแต่ 8.00 จนถึง 22.00 น. เราจะได้ดื่มด่ำบรรยากาศทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนที่สวยงามประดับประดาด้วยแสงไฟ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ายิ่งดึกยิ่งคึกค่ะ สำหรับใครที่อยากเดินทางมาสัมผัสบรรกาศเก่าๆ ชิคๆ แบบนี้ด้วยตัวคุณเอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะเดินทางยังไง งั้นให้ mushroomtravel.com พาคุณไปนะค๊า