“ว่าวจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะเหตุที่ต้านลม ถ้าหมดลมว่าวก็ตก มนุษย์เราจะขึ้นสูงอยู่ได้ ก็เพราะต้องต่อสู้อุปสรรค ชีวิตที่ไม่เคยพบอุปสรรค จะหาทางก้าวหน้าไม่ได้เลย”
คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ครับว่ากว่าที่สตีฟ จอบส์ อดีตซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. จะประสบความสำเร็จจนเป็นที่จดจำของผู้คนจากทั่วโลกแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้วนั้น ชีวิตเขาไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ เลย ต้องต่อสู้และเผชิญกับปัญหานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักปรัชญาแห่งพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาเริ่มศึกษามาตั้งแต่ในช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ ที่ทำให้เขาสามารถต่อสู้กับอุปสรรคและผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ด้วยดี จนประสบความสำเร็จในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมเดินทางมายัง ซุยกันจิ
วัดเซนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในภูมิภาคโทโฮกุ เพื่อมาตามหาแรงบันดาลใจ จากปรัชญา และคำสอนตามวิถีแห่งเซน ซึ่งผมเชื่อว่าหลังจากจบทริปนี้ มันคงจะทำให้ผมได้อะไรกลับเมืองไทยไปบ้าง อย่างน้อยก็ความสงบในจิตใจและแรงบันดาลใจที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ นั่นเอง
ตอนที่ผมเดินทางไปถึงวัดซุยกันจิในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา น่าเสียดายที่บางส่วนของวัดได้ถูกปิดปรับปรุงไปครับ สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าเขาจะปิดปรับปรุงยาวจนถึงเดือนมีนาคม 2018 เลยครับ แต่ยังโชคดีที่ตอนผมไปนั้น ในส่วนของเมนฮอล์ที่ปิดปรับปรุงมานานตั้งแต่ปี 2009 เพิ่งเปิดให้ให้ชมได้เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้เอง
ก่อนที่จะเดินทางไป แน่นอนครับว่าผมก็ได้ศึกษาหาข้อมูลของวัดมาก่อนแล้ว จนได้รู้ว่าวัดซุยกันจิเป็นวัดเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคโทโฮกุ โดยเฉพาะตรงประตูบานเลื่อนที่ลงรักปิดทองอย่างสวยงาม ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างวัดในปี 828 นั้นวัดนี้เป็นวัดของนิกายเทนไดครับ ก่อนจะมาถูกดัดแปลงให้เป็นวัดเซนในช่วงสมัยคามาคุระ (1192-1333) ในภายหลัง
วัดซุยกันจิถือเป็นวัดที่เป็นดังภาพสะท้อนความงามตามธรรมชาติของมัตสึชิมะ เมืองทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเซนไดในภูมิภาคโทโฮกุ เมื่อคุณมาถึงหน้าบริเวณวัด สิ่งแรกเลยคือจะมองเห็นเส้นทางที่ทอดยาวเข้าไปในวัดสู่ห้องโถงใหญ่หรือเมนฮอลล์ของวัดครับ เป็นเส้นทางที่สงบและร่มรื่นด้วยสองข้างทางนั้นเรียงรายไปด้วยต้นสนซีดาร์ที่สูงเฉียดฟ้า ซึ่งเมื่อก่อนเขาว่ามีเยอะกว่านี้มากครับ แต่หลังจากเหตุการณ์สึนามิในปี 2011 ต้นสนบางส่วนก็ได้ถูกตัดทิ้งไปเนื่องจากได้รับความเสียหายจากความเค็มของน้ำทะเลนั่นเอง จากเส้นทางนี้ก็มีเส้นทางอื่นแยกอ้อมไปสู่ถ้ำที่แต่ก่อนเขาใช้เป็นที่สำหรับทำสมาธิด้วยครับ ความรู้สึกของผมเมื่อเดินผ่านเส้นทางนี้เข้าไปในวัดเรื่อยๆ คือความสงบ สบายใจ และความเย็นสบาย มันเหมือนกับความกังวลหรืออะไรหลายๆ อย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจผม มันละลายหายไปท่ามกลางต้นสนซีดาร์เลยล่ะครับ จะว่าผมเวอร์ก็ได้นะ 555
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงโถงใหญ่ของวัดที่โผล่ขึ้นเมื่อสุดปลายทางของต้นสนซีดาร์ครับ โชคดีที่มันเพิ่งซ่อมแซมเสร็จและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพอดี นั่งร้านก็ถูกย้ายออกไปแล้ว นักท่องเที่ยวก็เลยมีโอกาสได้ถ่ายรูปสวยๆ ของเมนฮอลล์สมใจ ภายในห้องโถงจะมีส่วนที่เป็นห้องครัวแบบเซนด้วยครับ ซึ่งเป็นห้องครัวที่เอาไว้ใช้จัดเตรียมอาหารสำหรับนักบวชในอดีต ซึ่งปัจจุบันทั้งเมนฮอลล์และตรงส่วนห้องครัวนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นสมัติของชาติเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้นภาในวัดซุยกันจิยังมีพิพิธภัณฑ์ด้วยนะครับ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการบางส่วนของสมบัติของวัด รวมทั้งประตูบานเลื่อนลงรักปิดทองที่มีชื่อเสียงด้วย อ้อ ผมลืมบอกไปว่าก่อนจะเข้าชมวัด รวมทั้งพิพิธภัณฑ์นั้นจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชมในราคาคนละ 700 เยนนะครับ โดยทางวัดจะเปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00- 17:00 น. ไม่มีวันหยุด
ผมเดินสำรวจไปรอบๆ วัด ทั้งส่วนของห้องโถงจนถึงบริเวณถ้ำที่มีเสาไม้ล้อมเอาไว้ รวมถึงรูปปั้นพระในนิกายเซน ซึ่งภายในถ้ำที่ผมสังเกตเห็นจะมีแบ่งเป็นช่องๆ ครับเหมือนตั้งใจเจาะเอาไว้ เพราะในอดีตทางวัดจะใช้ถ้ำตรงนี้เป็นที่นั่งทำสมาธิสำหรับพระสงฆ์หรือผู้ที่มาปฏิบัติธรรมครับ บรรยากาศดูสงบร่มเย็นมากครับ
อ้อ… ผมลืมบอกไปว่าในวัดยังมีต้นซากุระด้วยนะครับ เป็นต้นซากุระที่ใหญ่มากจนต้องใช้เสาไม้ค้ำยันเอาไว้ ดูๆ แล้วน่าจะเป็นต้นซากุระเก่าแก่ แต่ผมไม่ทราบว่ามีอายุมากี่ปีแล้ว เพราะไม่ได้ถามใคร แต่ช่วงที่ผมไปนั้นดอกซากุระยังไม่บานเลยนะครับ คิดว่าน่าจะบานในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนในช่วงนั้นน่าจะได้มีโอกาสเห็น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.japan-guide.com
——————-
Mushroom Travel มีโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ให้เลือกมากที่สุด
โทร. 02-105-6234 (30 คู่สาย)
[email protected]
Line id : @mushroomtravel